สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 222 เฉินซือจวิน
บทที่ 222 เฉินซือจวิน
บทที่ 222 เฉินซือจวิน
อวี้ซื่อได้ยินคำพูดของอันอี้หางแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เซี่ยคุนคนนั้นเป็นคนใช้ของครอบครัวลู่หรือ?”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นการแต่งงานของน้องสาวของเจ้า คงไม่กระทบกับเส้นทางการเป็นขุนนางของเจ้ากระมัง” อวี้ซื่อขมวดคิ้ว
ภายในใจอันอี้หางยุ่งเหยิงซับซ้อน เขาได้แต่ถอนหายใจออกมา “ไม่ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี” อวี้ซื่อกล่าว “ขอแค่ไม่ส่งผลต่อลู่ทางของเจ้า และเซี่ยคุนคนนั้นยินดีให้ 100 ตำลึงเงินเป็นสินสอด งานแต่งครั้งนี้ก็นับว่าดีแล้ว”
ภายหน้านางจะได้ไม่ต้องมัวแต่ปรนนิบัติดูแลลูกสาวตาบอด เพื่อจะได้จดจ่อกับการดูแลเอาใจใส่หางเอ๋อร์ สำหรับนางแค่นี้ก็โล่งใจแล้ว
อันอี้หางหวังว่าอวี้ซื่อจะนึกได้เสียที ในเมื่อรู้ ‘สถานะ’ ของเซี่ยคุนแล้ว นางคงเป็นห่วงสถานการณ์ของอันอวี้ขึ้นมาบ้าง ผลคือเป็นเขาที่หวังมากเกินไป
ช่างเถอะ บางทีอาจเป็นอย่างที่ฮูหยินลู่กล่าว เซี่ยคุนปฏิบัติต่ออันอวี้ด้วยความจริงใจ หากอันอวี้แต่งงานกับเซี่ยคุณคงดีกว่าอยู่ข้างกายอวี้ซื่อ
“ในเมื่อท่านไม่คัดค้าน เช่นนั้นหากจู่ปู้ลู่กลับมา งานแต่งก็เป็นที่แน่นอนแล้ว” อันอี้หางกล่าว “ข้าจะต้องไปทบทวนบทเรียน ขอกลับห้องก่อน”
มู่ซืออวี่กำลังล้างจาน เมื่อเห็นมารดาที่อยู่ข้าง ๆ เหม่อลอย จึงเอื้อมมือไปแตะแขนของอีกฝ่าย “ท่านแม่ ท่านมีเรื่องกังวลหรือ?”
“หืม มะ… ไม่มี!” ถงซื่อรู้สึกกระดากอาย “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าเซี่ยคุนกำลังจะแต่งงานกับแม่นางอันอวี้ที่อยู่ข้างบ้านหรือ เมื่อไหร่จะจัดงานล่ะ?”
“รอลูกเขยของท่านกลับมาค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังไม่รีบร้อน พอมีการแต่งงานครั้งนี้ อวี้ซื่อที่อยู่ข้างบ้านก็ดีกับอันอวี้มากขึ้น ตอนนี้ชีวิตของนางง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว”
“ไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไร ลูกสาวน่าสงสารเช่นนั้น มารดากลับไม่เอาใจใส่ให้มากเข้าไว้ เอาแต่ตาไม่เหมือนตา จมูกไม่เหมือนจมูก*[1] อยู่ทั้งวัน”
มู่ซืออวี่เห็นหมู่นี้ถงซื่อเปลี่ยนไปมากแล้ว อีกทั้งยังมีความคิดเห็นเป็นของตนมากขึ้น นางก็รู้สึกพึงพอใจ
“พ่อของเจ้า…” ถงซื่อเหลือบตามองมู่ซืออวี่ “ได้ยินว่าเขาเข้าไปทำงานในเมืองแล้ว”
“ถึงว่าช่วงนี้ไม่พบเขา” มู่ซืออวี่กล่าว “ที่แท้เขาไม่อยู่ในหมู่บ้านนี่เอง”
“ข้าก็ได้ยินมาจากชาวบ้าน” ถงซื่อถอนหายใจเบา ๆ “แต่งงานมาหลายปี ไม่นึกว่าเมื่อเริ่มแก่เฒ่าแล้ว พวกเราถึงได้เข้าใจ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”
ลู่อี้ออกไปคราวนี้นานถึงสิบกว่าวัน ตอนแรกมู่ซืออวี่ยังไม่ได้คิดอะไร อย่างไรเสียก็รู้ว่าเขาเดินทางไปทำงาน ทว่านับแต่วันที่สามเป็นต้นไปนางก็เริ่มอยู่ไม่สุข
“เถ้าแก่เนี้ยคิดถึงพี่อี้หรือ?” เฟิงเจิงเอียงเข้ามาหาแล้วเอ่ยว่า “ผู้อื่นล้วนแต่กล่าวว่า การกลับมาพบกันใหม่หลังจากห่างกันไปน่ะดียิ่งกว่าข้าวใหม่ปลามันเสียอีก รอพี่อี้กลับมาแล้วจะต้องถนอมท่านยิ่งกว่าเดิมแน่นอน”
“ออกไป อย่ามากวนข้า” มู่ซืออวี่ผลักหน้าของเฟิงเจิงออก “วันนี้ไม่มีลูกค้าเลย!”
“ดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตก” เฟิงเจิงมองท้องฟ้าข้างนอก “คงไม่มีลูกค้าเข้ามาแล้วล่ะ”
“ได้ หากฝนตกมาจริง ๆ พวกเจ้าก็กลับไปพักเร็วหน่อย”
ขณะที่มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น นางก็เห็นร่างหนึ่งเดินผ่านหน้าต่างไป ร่างนั้นดูคุ้นตาเล็กน้อย จะเป็นใครไปได้นอกจากหลี่หงซู
สาวใช้คนที่มักจะติดตามหลี่หงซูไม่อยู่ด้วย นางเดินอยู่คนเดียวราวกับซากศพที่กำลังเดินไป
มู่ซืออวี่ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าฝนกำลังเริ่มลงเม็ดแล้ว นางจึงเอ่ยกับเฟิงเจิงว่า “เจ้าเอาร่มไปให้คุณหนูหลี่ผู้นั้นหน่อย”
“ได้เลยจ้ะ” เฟิงเจิงหยิบร่มในร้านวิ่งตามออกไป
ไม่นานนักเขาก็กลับมาบอกว่า “คุณหนูหลี่ปฏิเสธความหวังดีของเราแล้ว”
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ” มู่ซืออวี่มองตามหลังหลี่หงซู “เก็บข้าวของเตรียมปิดประตู”
ฝนกระหน่ำเทลงมา ก่อนจะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ มู่ซืออวี่ที่กำลังจะปิดประตูหน้าต่างเห็นหลี่หงซูนั่งอยู่ตรงมุมไม่ไกลออกไป ท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างมาก
นางหยิบร่มขึ้นมาแล้วเดินออกไป
“ท่านทำอะไรอยู่ตรงนี้? ถึงแม้จะเกิดเรื่องหนักหนาสาหัสเพียงใดก็อย่าทรมานร่างกายตนเองสิ ไปหลบฝนในร้านของข้าเถอะ!”
หลี่หงซูเงยหน้ามอง “ท่านจะมาสนใจข้าทำไม? พี่ชายของข้าทำร้ายท่าน สามีของท่านทำร้ายพี่ชายข้า พวกเราไม่ควรเกี่ยวข้องกันอีก”
“ท่านพูดอะไรน่ะ? สามีของข้าทำร้ายอะไรพี่ชายท่าน?” มู่ซืออวี่ไม่พอใจ
“ท่านไม่รู้หรือไง พี่ชายของข้าถึงแม้จะชมชอบดื่มสุราดอกท้อ แต่เขาก็ชอบเพียงสตรี วันนั้นเขากลับไปเรือนนายโลมราวกับประสาทกลับ เป็นเพราะแผนของสามีท่าน เขาทำเรื่องนี้โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น แต่ก็ยังถูกท่านพ่อของข้าตรวจสอบออกมาได้ หมู่นี้สามีของท่านไม่อยู่แล้วนี่ เกรงว่าเขาจะไม่ได้กลับมาง่าย ๆ แล้ว”
“พ่อของท่านจะทำอะไรกับเขา?” มู่ซืออวี่ตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว
“ข้าไม่รู้” หลี่หงซูปิดตาลง เงยหน้าขึ้นปล่อยให้หยาดฝนกระทบใบหน้า “ข้าไม่สนใจเรื่องความขัดแย้งของบุรุษ แม้แต่ข้าก็ยังเป็นเพียงแค่เครื่องมือ เรื่องของผู้อื่นข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
ตอนแรกมู่ซืออวี่สงสารหลี่หงซู แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้แต่ความใจดีหยดสุดท้ายที่มีก็เลือนหายไปแล้ว
ตระกูลหลี่คิดจะจัดการกับลู่อี้ เช่นนั้นลู่อี้ยังอยู่ดีหรือไม่?
นางรีบร้อนกางร่มไปศาลาว่าการ
ถึงตอนนี้ความคิดของนางเริ่มยุ่งเหยิงปนเป นอกจากไปศาลาว่าการแล้วก็คิดหนทางอื่นไม่ออก นางไม่รู้แม้กระทั่งว่าลู่อี้อยู่ที่ใด
“ฮูหยินลู่” เวินเหวินซงได้ยินว่ามีคนมาหาตน เมื่อเขารีบออกมาก็พบว่าเป็นฮูหยินลู่
มู่ซืออวี่คำนับเขา “พี่ใหญ่เวิน ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้สามีของข้าอยู่ที่ใด? นี่ก็เป็นเวลาสิบวันแล้ว เขายังไม่กลับมาอีก ข้าเป็นห่วงจริง ๆ”
เวินเหวินซงหัวเราะออกมา “อิจฉาความสัมพันธ์ของสหายลู่กับฮูหยินลู่จริง ๆ เชียว ฮูหยินลู่ไม่ต้องเป็นห่วง ครั้งนี้สหายลู่เดินทางไปไกล มีคนไปกับเขาไม่น้อย หนึ่งในนั้นยังมีนักการเกาที่เก่งที่สุดอีกด้วย”
“ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่?”
“ก็คง…” เวินเหวินซงมองไปข้างหลังนางแล้วยิ้มออกมา “ฮูหยินหันกลับไปสิ!”
เมื่อมู่ซืออวี่หันหน้าไป นางก็เห็นรถม้ากำลังหยุดอยู่ที่ประตูศาลาว่าการ จากนั้นลู่อี้ที่แต่งชุดเจ้าหน้าที่ทางการก็ออกมาจากรถม้า
ลู่อี้ออกมาจากรถม้าก็เห็นมู่ซืออวี่ สายตาของเขาเผยความประหลาดใจ
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?” เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แล้วหยุดอยู่ตรงหน้านางในลมหายใจเดียว
มู่ซืออวี่สวมกอดลู่อี้
เมื่อได้ยินว่าหลี่หงซูกล่าวว่าตระกูลหลี่จะจัดการเขา นางก็หวาดกลัวแทบตาย หัวใจของนางราวกับจะทะลุออกมา โชคดีที่เขาไม่เป็นอะไร
“อะแฮ่ม!” เวินเหวินซงกระแอมไอเบา ๆ “คือว่า… ฮูหยินลู่ ถึงแม้ข้าจะไม่ว่าอะไร แต่ยังมีคนอยู่อีกหลายคนนะ!”
รถม้าอีกคันหยุดลง สาวใช้ลงมาจากรถม้าก่อน จากนั้นจึงกางร่มให้หญิงสาวคนหนึ่งที่ออกมาจากข้างใน
หญิงสาวคนนั้นไม่เพียงแต่ใส่ชุดกระโปรงสีขาว แต่ยังประดับดอกไม้เล็ก ๆ สีขาวด้วยเช่นกัน สวมชุดเช่นนี้คงเพิ่งเสียญาติสนิทไป
นางมีใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากเล็กราวกับผลอิงเถา*[2] ร่างกายอ่อนแอบอบบาง แค่มองก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกรักหยกถนอมบุปผา
“พี่ใหญ่ลู่” หญิงสาวคนนั้นเรียกลู่อี้
ลู่อี้สังเกตได้ว่าร่างกายของมู่ซืออวี่แข็งทื่อขึ้นมา ทั้งยังหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาจึงกอดนางแน่นกว่าเดิม ก่อนจะหันไปกล่าวกับหญิงสาวคนนั้น “คุณหนูเฉิน ตอนนี้พวกเรามาถึงเมืองฮู่เป่ยแล้ว คุณหนูปลอดภัยแล้ว จะเตรียมคนไปส่งคุณหนูเฉินไปพบท่านตาเจียงเหล่าของท่านเดี๋ยวนี้”
เฉินซือจวินปรายตามองสตรีที่กอดลู่อี้ จากนั้นจึงพยักหน้าให้เขา “ได้ ขอบคุณพี่ลู่ที่คุ้มครองมาตลอดทาง”
“คุณหนูเฉินเป็นหลานสาวของเจียงเหล่า การคุ้มครองท่านมายังเมืองฮู่เป่ยเป็นงานที่เจียงเหล่ามอบหมายให้ เป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ทว่าคุณหนูเฉินฐานะสูงศักดิ์ เรียกข้าจู่ปู้เถิด ข้าไม่กล้ารับคำว่า ‘พี่ใหญ่’ และข้าไม่คุ้นชินกับการที่มีคนเรียกข้าเช่นนั้น”
“เช่นนั้นก็เอาเถิด จู่ปู้ลู่ เป็นซือจวินที่ไม่รู้มารยาทแล้ว” เฉินซือจวินเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “ข้าแค่เห็นว่าท่านอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ใหญ่ที่บ้านข้าเท่านั้น จึงเผลอเรียกเสียคล่องปาก”
[1] ตาไม่เหมือนตา จมูกไม่เหมือนจมูก หมายถึงอารมณ์ไม่ดี เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง
[2] อิงเถา คือ ผลเชอร์รี