สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 23 คนไม่มีหัวใจ
บทที่ 23 คนไม่มีหัวใจ
บทที่ 23 คนไม่มีหัวใจ
เมื่อเห็นว่าแม่ของตนดูกระวนกระวาย มู่เจิ้งหานจึงรีบช่วยพยุงร่างผอมบางให้ลุกขึ้น
สองแม่ลูกไปถึงห้องนอนก็พบว่าแม่เฒ่าเจียงเจอกากหมูที่ห่อไว้อย่างดีซ่อนอยู่ใต้หมอนเสียแล้ว
มือเหี่ยวย่นของหญิงชราสั่นเทาด้วยความโกรธ นางหันกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของถงซื่อ
ดวงตาแดงก่ำของแม่เฒ่าเจียงจ้องถงซื่อเขม็ง ราวกับว่าจะเจาะอีกฝ่ายให้ทะลุด้วยสายตาน่ากลัวนั้น ดูราวกับใกล้จะลุกเป็นไฟอยู่รอมร่อ
“นังสารเลว! กล้าดียังไงถึงได้แอบซ่อนเนื้อเอาไว้ลับหลังข้า ไหนบอกมาซิว่ามีอะไรที่เจ้าแอบซ่อนเอาไว้อีก” หญิงชรายัดกากหมูไว้ในอกเสื้อพลางรื้อค้นข้าวของในห้องด้วยความโกรธ
“ท่านแม่ อย่ารื้อของอีกเลย ข้าไม่ได้ขโมยไข่จริง ๆ ไก่ออกไข่ทุกวัน ต้องมีบางวันที่ได้ไข่ไม่ครบบ้างไม่ใช่หรือ ไม่ใช่เรื่องแปลก” ถงซื่อร้องไห้สะอึกสะอื้น
ถังซื่อและมู่ซือเจียวยังไม่สาแก่ใจ พวกนางเดินเข้ามาช่วยรื้อค้นของในห้องอย่างขันแข็ง
เมื่อเห็นกระเป๋าใบใหม่ที่เพิ่งปักเสร็จในตะกร้าเย็บผ้า ถังซื่อก็ยึดเอามาเป็นของตนเอง พลางคิดว่าจะเอาไปขายที่ตลาด น่าจะได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใช้เอง
แม้ว่าถงซื่อจะดูโง่เง่าไร้ทางสู้ แต่กลับทำงานเย็บปักได้สวยงามไร้ที่ติ ถ้าใช้วัสดุที่ดีกว่านี้คงทำเงินได้ไม่น้อย
เสียงโครมครามจากด้านในเกิดจากบรรดาสตรีที่กำลังรื้อค้นข้าวของไม่หยุดหย่อน
แน่นอนว่ามู่ต้าไห่ ลูกชายคนโตของบ้านไม่ได้เข้าไปร่วมรื้อค้นของในห้องน้องชายเหมือนคนอื่น
เมื่อเห็นว่าแม่เฒ่าเจียงกำลังรื้อของในห้อง มู่ต้าซานเพียงเหลือบมองภรรยาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าไปหยุดแม่ของตน
ครอบครัวนี้แม่เฒ่าเจียงมีอำนาจมากที่สุด แม้แต่ลูกชายก็ยังไม่กล้าขัดแม่ตัวเอง นับประสาอะไรกับลูกสะใภ้ ไม่ว่าแม่สามีจะทำเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ก็เพียงแต่ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมไปเท่านั้น
บาดแผลที่ถูกโจ๊กลวกของถงซื่อสาหัสมากจนนางไม่มีแรงจะยืนด้วยตัวเอง นางทำได้เพียงยืนพิงประตูเอาไว้ มองห้องส่วนตัวที่ป่นปี้ไปด้วยข้าวของกระจุยกระจายเกลื่อนกลาดอย่างเศร้าใจด้วยน้ำมือของคนทั้งสาม
มู่เจิ้งหานคว้ามือแม่ของตนไว้ ก่อนจะลากออกมาเต็มแรง “ท่านแม่ ข้าจะพาท่านไปหาหมอ ปล่อยคนพวกนั้นไป อยากทำอะไรก็เชิญ”
ห้องของสองสามีภรรยาซอมซ่อที่สุดในบ้านนี้แล้ว นอกจากเสื้อผ้าขาด ๆ สองสามตัวกับผ้าห่มเก่า ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรให้รื้อค้นอีก ว่ากันตามตรงแม้แต่หนูก็ยังไม่อยากจะเข้ามาอยู่ในห้องนี้เลยด้วยซ้ำ
“แต่…” ถงซื่อร้องห้าม “ไปหาหมอต้องมีเงิน เราจะไปเอาที่ไหนมาจ่าย”
แม่เฒ่าเจียงค้นของหมดทุกซอกทุกมุม สภาพห้องเหลือเพียงความยับเยิน ไม่ต่างอะไรจากกองขยะ
หญิงชรารีบตรงเข้ามาตบหน้าลูกสะใภ้รองอย่างแรง
เพี๊ยะ!
ร่างบางของถงซื่อสะบัดไปตามแรงมือจนถลาล้มลงกับพื้น
ในขณะที่มู่เจิ้งหานถลาเข้าไปรับผู้เป็นแม่อย่างรวดเร็ว
ร่างกายผอมบางราวกิ่งไม้แห้งของนางมีน้ำหนักเบามากจนแม้แต่เด็กชายร่างเล็กก็รองรับเอาไว้ได้
มู่เจิ้งหานกอดร่างผอมบางของมารดาไว้ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
แต่เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเขาจะทำอะไรได้อีกเล่า
“สารเลว! กล้าขโมยเนื้อมาแอบเก็บไว้ ที่หาไข่ไม่เจอเพราะเจ้าแอบกินมันเข้าไปแล้วล่ะสิ” แม่เฒ่าเจียงกัดฟันกรอด จ้องลูกสะใภ้ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้เอาไข่ไปจริง ๆ บางทีไก่อาจจะออกไข่แค่สามตัวก็ได้” ถงซื่อเอ่ยอย่างเศร้าใจ “มันอาจจะแค่ต่างจากวันอื่นเท่านั้นเอง”
“แล้วเนื้อหมูนี่ล่ะ?” แม่เฒ่าเจียงเข้ามาตบตีลูกสะใภ้ระหว่างที่ก่นด่า “ข้าจะฆ่าเจ้า! เจ้ามันผีส่งมาเกิด! เป็นผีที่อดตายมากระมังถึงได้ตะกละนัก มาดูซิว่าจะยังกล้าขโมยอาหารอีกไหม คนแบบเจ้าต้องเอาให้ตาย…”
มู่เจิ่งหานเข้ามาขวางเอาไว้ “ท่านย่า ท่านแม่บาดเจ็บอยู่ อย่าตีนางอีกเลย”
“หลบไปให้พ้นไอ้เด็กเหลือขอ! ลืมแซ่ตัวเองไปแล้วงั้นรึ” หญิงชรายกขา หมายจะเตะหลานชายออกไปให้พ้นทาง
แต่มู่เจิ้งหานรู้ทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายดีจึงหลบได้ทัน
“นี่กล้าหลบข้างั้นหรือ!” แม่เฒ่าเจียงโมโหยิ่งกว่าเดิม “มู่ต้าซาน ไอ้ลูกเลว เมียเจ้าขโมยทั้งไข่ทั้งเนื้อ ยังมีลูกชายเป็นเด็กเหลือขออีก ข้าคลอดลูกชายที่ไร้ประโยชน์แบบเจ้าออกมาได้อย่างไรกัน”
มู่ต้าซานพยายามห้ามปรามแม่ตนเองอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ เมื่อวานข้าเป็นคนซื้อเนื้อมา คนที่ปรุงมันก็คือท่านเอง แม่ของหานเอ๋อร์จะขโมยมันมาได้อย่างไร ท่านอาจจะเข้าใจอะไรผิดไปก็ได้”
“แล้วกากหมูนี่จะอธิบายว่าอย่างไร ต้องแอบซ่อนไว้โดยที่ข้าไม่เห็นแน่ ๆ”
ถงซื่อที่ถูกเตะซ้ำบริเวณแผลที่ถูกลวกก็ร้องออกมาเสียงดังทันที
“โอ๊ย!”
“ท่านแม่!…” มู่เจิ้งหานรีบเข้าไปหานางทันที “ท่านแม่…”
แม่เฒ่าเจียงยังกระทืบเพิ่มอีกสองสามครั้งอย่างโกรธเคือง
“ทำเป็นสำออยรึ จะแกล้งตายหนีความผิดหรือไง คิดว่าข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปงั้นหรือ ข้าจะฆ่าเจ้า! นังสารเลวจอมตะกละ ยังจะขโมยของกินอีกรึ!”
สถานการณ์เริ่มย่ำแย่ มู่ต้าซานจึงพยายามเข้าไปหยุดแม่ของตัวเอง “ท่านแม่ นางจะตายอยู่แล้ว หยุดทำร้ายนางเถิด”
“โอ๊ย สะใภ้รองจะตายง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ครั้งนี้เมียเจ้าทำความผิดก็สมควรจะได้รับการสั่งสอน ไม่อย่างนั้นในวันข้างหน้า มือสกปรกของนางจะฉกเอาอะไรไปอีกก็ไม่รู้”
“ถูกต้อง นางทำเกินไปแล้ว บ้านเราไม่ได้มีเนื้อมากมาย แต่นางกลับแอบซ่อนมันเอาไว้ ที่ท่านปกป้องนางเพราะนางแบ่งเนื้อให้ท่านใช่หรือไม่”
“ไร้สาระ ข้าไม่ได้กินด้วยเสียหน่อย” มู่ต้าซานตอบอย่างกระวนกระวาย “ข้าก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนเหมือนกัน…”
มู่เจิ้งหานกอดถังซื่อแล้วร้องไห้ออกมา “ท่านแม่… ท่านแม่…”
มู่เจิ้งหานรู้สึกผิดหวังในตัวพ่อของเขาอย่างยิ่ง
ภรรยาของตนเองกำลังจะตายอยู่แล้ว ยังจะมัวกลัวว่าตัวเองจะโดนหางเลขไปด้วยอยู่อีก เขาเคยคิดว่าท่านพ่อเป็นคนขี้ขลาด ไม่สามารถปกป้องครอบครัวได้ แต่ตอนนี้เขารู้ชัดแล้วว่าท่านพ่อไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เป็นคนไร้หัวใจต่างหาก
เรื่องความวุ่นวายในบ้านนี้เป็นที่รู้กันทั่ว เพราะไม่มีทางที่เพื่อนบ้านจะไม่ได้ยินเสียงโวยวายและเสียงร้องขอความเมตตาของถงซื่อ พวกเขารู้สึกเห็นอกเห็นใจแต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจกับเรื่องราวนี้
ในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสะใภ้ที่ถูกกดขี่ แน่นอนว่าไม่มีใครตกต่ำได้เท่าถงซื่ออีกแล้ว นางคงเป็นหญิงที่ไม่มีอะไรดีเอาเสียเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางยอมทนถูกปฏิบัติราวกับสุนัขไร้ค่ามาตลอดหลายปี
ทางด้านมู่ซืออวี่นั้น เวลานี้กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ที่พื้นในลานเล็ก ๆ หน้าบ้าน พลางมองดูลูกเจี๊ยบอย่างครุ่นคิด
ลู่จื่ออวิ๋นเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ในท่าเดียวกัน เสียงไพเราะหวานใสของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความสงสัย “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านกำลังจะเอามันไปทำอาหารหรือ พวกนี้ยังตัวเล็กเกินกว่าจะกินได้นะเจ้าคะ”
“ใครจะไปกินลูกเจี๊ยบแบบนี้เล่า” หญิงสาวบีบจมูกเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู “ข้ากำลังดูสภาพร่างกายพวกมันอยู่ต่างหาก เจ้าว่าสองตัวนี้ดูไม่ค่อยดีหรือเปล่า”
“เอ๋?” ลู่จื่ออวิ๋นมองลูกเจี๊ยบสองตัวที่ถูกชี้ จากนั้นก็พยักหน้าตาม “มันยังไม่ตายก็จริง แต่เหตุใดถึงดูเป็นแบบนั้นล่ะเจ้าคะ”
“เลี้ยงลูกไก่ให้เติบโตไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหนาวเกินไป ร้อนเกินไป หรือป่วยขึ้นมาก็ตายไปได้ง่าย ๆ แม่ว่ามันน่าจะป่วย ตัวนี้น่าจะเจ็บที่ขากับเท้า ข้าจะคอยดูมันอย่างใกล้ชิดกว่าตัวอื่น ๆ”
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังขึ้น
ลู่ฉาวอวี่เปิดประตูแล้วมองหน้าคนที่มาใหม่
อีกฝ่ายเป็นหญิงคนหนึ่งในหมู่บ้าน เมื่อเห็นว่าคนเปิดประตูเป็นลู่ฉาวอวี่ นางก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “แม่เจ้าอยู่หรือไม่ มีเรื่องเกิดขึ้นกับแม่ของนาง”
ลู่ฉาวอวี่มองไปยังมู่ซืออวี่ที่อยู่ในลานบ้าน
มู่ซืออวี่ได้ยินสิ่งที่หญิงคนนั้นพูดแล้วจึงลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงถามเพิ่มเติมว่า “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
หญิงคนนั้นมองมู่ซืออวี่ด้วยความประหลาดใจ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
และในขณะที่มู่ซืออวี่กำลังลุกยืนขึ้น นางก็รู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมา เพราะสายตาดูถูกที่กำลังจ้องมองมาอย่างไม่ปิดบัง