สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 230 ลู่อี้ถูกจับ
บทที่ 230 ลู่อี้ถูกจับ
บทที่ 230 ลู่อี้ถูกจับ
ณ ห้องชันสูตรศพ ศาลาว่าการ
หลังจากผู้ชันสูตรศพอธิบายสาเหตุการตายของหลินต้าจ้วงแล้ว นายอำเภอฉินก็ไม่มีคำสั่งอื่นใดอีก
ลู่อี้ขยับไปด้านข้างนายอำเภอฉิน
นายอำเภอฉินเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ลู่อี้ เจ้ามีอะไรจะกล่าวหรือไม่?”
ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าน้อยทำร้ายหลินต้าจ้วงจริงขอรับ แต่ข้าน้อยรู้จักความพอดี ไม่ได้ตีจนซี่โครงเขาหักแน่นอนขอรับ”
“หากไม่ใช่เจ้า เช่นนั้นก็เป็นผู้ติดตามของเจ้าแล้ว” นายอำเภอฉินส่งเสียงหึอย่างเยือกเย็น “ผู้ที่มาแจ้งบอกว่าเจ้ากับผู้ติดตามของเจ้าทุบตีหลินต้าจ้วง จากนั้นก็โยนเขาลงแม่น้ำ”
“ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง ผู้ติดตามของข้ามาถึงทีหลัง เขาเพียงแค่กระทืบไปครั้งเดียวเท่านั้น หลินต้าจ้วงจึงล้มลงริมแม่น้ำ เขาเป็นคนกระโดดลงน้ำแล้วหนีไป”
“หากไม่ใช่พวกเจ้า แล้วยังจะมีผู้อื่นอีก? หลินต้าจ้วงซี่โครงหักห้าซี่แล้วจมน้ำตาย เจ้าบอกว่าเจ้ารู้จักความพอดี นี่หรือที่เรียกว่าความพอดีของเจ้า?”
ลู่อี้เงียบสนิท
มู่ซืออวี่รออยู่ที่หน้าประตู จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด ข้างนอกเหลือแค่เพียงสีเทาอ่อนทึม ๆ เฟิงเจิงและจือเชียนที่ออกไปหาข่าวคราวก็ยังไม่กลับมา
ตึก ตึก…
เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ใกล้เข้ามา
“เถ้าแก่เนี้ย มีคนมาหาขอรับ” เฟิงเจิงเดินนำนักการเกาเข้ามา
“พี่ใหญ่เกา รีบเข้ามาเร็วเข้า” มู่ซืออวี่เห็นนักการเกาก็รีบเชิญเขาเข้ามา
นักการเกามองไปรอบ ๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีคนตามมาจึงเดินตามเข้าไป
“เฟิงเจิง นี่ก็เริ่มค่ำมืดแล้ว เจ้าไปเรียกจือเชียนกับพี่ใหญ่เซี่ยกลับมาเถอะ สองคนนั้นเฝ้าอยู่นอกศาลาว่าการ”
เฟิงเจิงรับคำแล้วจากไป
ตอนที่มู่ซืออวี่กำลังรินชานั้น นักการเกาก็เอ่ยขึ้น “วันนี้หลังจากข้าพาจู่ปู้ลู่ไปศาลาว่าการ นายอำเภอฉินก็ส่งข้าออกไปทำงาน ทันทีที่ข้ากลับมาก็พบเฟิงเจิง ข้ากลับไปถามเสมียนเวิน จึงได้รู้สาเหตุการตายของหลินต้าจ้วงมาแล้ว เขาซี่โครงหักห้าซี่ ขาดอากาศหายใจตายจากการจมน้ำ”
“จากนั้นเล่า?”
มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าเป็นการกระทำของลู่อี้หรือไม่ ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าลู่อี้ไม่ใช่คนที่ไม่รอบคอบเช่นนั้น แต่เมื่อคนเดือดดาลก็มักจะไม่ยับยั้งชั่งใจ เมื่อขาดความยับยั้งชั่งใจก็ง่ายที่จะพลั้งพลาด นางจึงไม่ถามว่าหลินต้าจ้วงตายได้อย่างไร เพียงแต่ถามว่าลู่อี้จะทำอย่างไรต่อไป
“เบาะแสร่องรอยทั้งหมดที่มีไม่เป็นผลดีต่อจู่ปู้ลู่เลย แต่เนื่องจากหลินต้าจ้วงทำร้ายแม่ของท่านก่อน จู่ปู้ลู่ทำลงไปเพราะความกตัญญู ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยได้ ผสมกับความจริงที่ว่านายอำเภอฉินให้ความสำคัญกับเขา บางทีหากอาศัยความเมตตา เขาอาจไม่ได้รับโทษร้ายแรงนัก”
“คดีนี้ต้องป่าวประกาศหรือไม่?”
“เรื่องนี้ยากที่จะบอก วันนี้ลูกชายของหลินต้าจ้วงก็มาก่อความวุ่นวายในศาลาว่าการเที่ยวหนึ่ง ร้องขอให้จู่ปู้ลู่ชดใช้ด้วยชีวิต” นักการเกาขมวดคิ้ว
เฟิงเจิงกลับมาแล้ว เขาเดินนำจือเชียนกลับมา ทว่าไม่เห็นเซี่ยคุนกลับมา
“ข้าก็ไม่รู้ว่าพี่คุนไปที่ใดแล้ว” จือเชียนกล่าว “วันนี้ข้าเห็นพี่คุนระหว่างทาง เขาปลดรถม้าออกแล้วขี่ม้าจากไปแล้ว”
“ไปแล้ว?” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว
“ขอรับ ไปแล้ว ออกไปจากเมืองแล้ว” จือเชียนตอบ “แต่ข้าเชื่อใจพี่คุน เขาจะต้องมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการเป็นแน่”
“สะใภ้ลู่ คนติดตามของเจ้าผู้นั้นคงไม่ได้หวาดกลัวจนหนีไปแล้วกระมัง?” นักการเกาเอ่ยถาม “หลินต้าจ้วงคนนั้นคงไม่ได้ถูกเขาฆ่าหรอกนะ?”
“เป็นไปไม่ได้” จือเชียนแย้งด้วยความโมโห “พี่คุนไม่ใช่คนไร้น้ำใจต่อมิตรสหาย หากเขาเป็นคนฆ่าจริง ๆ ป่านนี้พี่คุนคงมอบตัวไปแล้ว”
“ข้าก็เชื่อว่าไม่ใช่เขา” มู่ซืออวี่กล่าว “บางทีอาจมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำจริง ๆ!”
นักการเกานั่งอยู่ไม่นาน หลังจากพูดคุยเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของลู่อี้แล้วก็จากไป เขายังกล่าวอีกว่าหากมีความคืบหน้าอะไรจะส่งคนมาแจ้งพวกเขา ทั้งยังบอกพวกเขาว่าอย่าเพิ่งไปศาลาว่าการ
“ลูกอวี่ ลูกเขยคงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” ถงซื่อถามด้วยความกังวล
“ไม่เป็นอะไรแน่นอน” จะเกิดอะไรขึ้นกับลู่อี้ได้อย่างไร?
เขาเป็นคนฉลาดเฉลียวเช่นนั้น ถึงแม้เขาจะเป็นคนทำจริง ๆ แต่ก็ต้องมีทางออกเป็นแน่
นางเชื่อในความสามารถของลู่อี้
แต่ว่าเซี่ยคุณไปที่ใดกัน?
แน่นอนว่านางก็เชื่อใจเซี่ยคุนเช่นกัน เพียงแต่เขาเตร็ดเตร่ไปทั่วเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง
ณ หมู่บ้านครอบครัวลู่
อวี้ซื่อได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู คิดว่าเป็นอันอี้หางกลับมาจึงลุกขึ้นอย่างดีอกดีใจ ทว่าเมื่อคิดได้ว่าอันอี้หางไปสอบฝู่ซื่อแล้ว นางจึงข่มความยินดีลงไป แล้วค่อย ๆ เดินไปเปิดประตู
“ใครน่ะ?”
อันอวี้อยู่ในห้องของตนเอง ไม่ออกไปนอกห้องตลอดทั้งบ่าย
อวี้ซื่อไม่ชอบไปมาหาสู่กับคนในหมู่บ้าน ปกติแล้วย่อมไม่มีใครมาเคาะประตูบ้านนาง วันนี้จู่ ๆ ก็มีคนมาเคาะประตู นางจึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
นางไม่ได้เปิดประตูทันที เพียงแต่ถามอยู่ข้างในอีกครั้ง “นั่นใครกัน?”
“ข้าเอง ข้าเป็นภรรยาของเฉิงเฉวียนน่ะ”
“เจ้ามีเรื่องอะไร?” อวี้ซื่อกำลึงนึกว่าใครกันที่เป็น ‘ภรรยาเฉิงเฉวียน’ ใบหน้าหลากหลายปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของนาง ทว่าไม่มีผู้ใดเข้าเค้า
“วันนี้ครอบครัวมารดาข้ามา เอาเต้าหู้มาให้นิดหน่อย ครอบครัวของพวกเราคงทานไม่หมด ข้านำมาให้ท่านลองชิมสักสองชิ้นน่ะ” หวังซื่อกล่าว
อวี้ซื่อเปิดประตู พินิจมองสตรีตรงหน้านางด้วยความหวาดระแวง
เมื่อเห็นหวังซื่อ อวี้ซื่อก็จำได้แล้ว คนผู้นี้เป็นคนที่ชอบนินทาว่าร้ายคนในหมู่บ้าน เมื่อไปซักเสื้อผ้าก็มักจะพบอีกฝ่ายอยู่เสมอ ไม่รู้พูดจาคุยโวไม่หยุดปากอะไรนักหนา
ยิ่งอีกฝ่ายเอ่ยถึงหางเอ๋อร์อย่างนู้นอย่างนี้ ก็สามารถคาดเดาความคิดได้ไม่ยากเย็น
“บ้านพวกเราไม่ชอบเต้าหู้” อวี้ซื่อสงวนท่าที
“โธ่ ไม่ชอบอะไรกัน?” หวังซื่อกล่าวแล้วยัดถ้วยใส่มืออวี้ซื่อ “เอ้า ลองชิมดูเถอะ ครอบครัวท่านแม่ข้าทำเต้าหู้เอง อร่อยเชียวล่ะ”
อวี้ซื่อมองเต้าหู้ขาวนุ่มนั้น สีหน้าพลันผ่อนคลายลงมาก “ขอบคุณ”
“จะเกรงใจไปทำไม คนหมู่บ้านเดียวกัน” หวังซื่อกล่าว “ข้าเป็นคนใจกว้างที่สุดแล้ว ไม่เหมือนครอบครัวลู่อี้ ตายล่ะ ครอบครัวของท่านกับครอบครัวลู่อี้ดองกันแล้วไม่ใช่หรือ? ลู่อี้ฆ่าคน อีกทั้งคนใช้ของเขาคนนั้น คนที่อันอวี้ลูกสาวของท่านกำลังจะแต่งงานด้วยก็ฆ่าคน เขาก็ต้องถูกประณามใช่หรือไม่?”
สีหน้าของอวี้ซื่อไม่น่าดูขึ้นมาทันที “พูดจาไร้สาระอะไร?”
“ข้าไม่ได้พูดจาไร้สาระ หลินต้าจ้วงตายแล้ว ทุกคนในหมู่บ้านเห็นลู่อี้และเซี่ยคุนไล่ตามเขาไป แล้วเหตุใดคนผู้นั้นก็ตายเสียแล้วเล่า? มีคนเห็นพวกเขาตีหลินต้าจ้วงแล้วโยนลงน้ำด้วยนะ ท่านบอกข้าที อันอวี้ที่เป็นแม่นางที่ดีเช่นนี้ จะให้นางแต่งกับผู้ร้ายฆ่าคนตายรึ?”
“ข้าไม่เอาเต้าหู้แล้ว เจ้าเอากลับไปซะ” อวี้ซื่อยัดถ้วยกลับคืนไป
“โธ่เอ๊ย อย่าเพิ่งโกรธสิ พวกท่านยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่สายเกินไป ลูกชายของท่านกำลังจะเป็นขุนนางขั้นสูง หากมีผู้ร้ายฆ่าคนตายเป็นน้องเขย ก็ไม่รู้ว่าจะกระทบกับอนาคตเขาหรือไม่?” แววตาของหวังซื่อวาบไหว
อวี้ซื่อขมวดคิ้ว “คดียังไม่ถูกตัดสิน ตัดสินแล้วค่อยว่ากัน”
“นั่นสินะ ข้าได้ยินว่าอันอวี้บ้านท่านได้สินสอดถึง 100 ตำลึง หากเป็นผู้อื่นคงไม่ใจกว้างเช่นนี้”
“100 ตำลึงอะไร?” อวี้ซื่อมีสีหน้าดำทะมึน
นางได้สินสอด 100 ตำลึงเงินจริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวลือ แต่รู้กันทั่วแบบนี้แล้ว นางจะไม่รำคาญใจได้อย่างไร?
“ข้าได้ยินหญิงครอบครัวลู่ผู้นั้นพูดกับแม่ของนาง หรือว่าไม่ใช่? หากไม่ใช่ เช่นนั้นพวกเขาก็พูดเกินไปกระมัง? ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขาพูดว่าอะไร? พวกเขาบอกว่าแม่นางตาบอดผู้หนึ่งกลับคิดจะเอาสินสอดถึง 100 ตำลึงเงิน หากพวกเขาไปหาแม่นางดี ๆ เอาข้างนอก นั่นสามารถซื้อได้ถึงสิบคนเชียว”
“จะรังแกกันเกินไปแล้ว” อวี้ซื่อเดือดดาล “ญาติเช่นนี้ข้าไม่ต้องการแล้ว!”