สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 232 ลู่เซวียนสอบได้ซิ่วไฉแล้ว
บทที่ 232 ลู่เซวียนสอบได้ซิ่วไฉแล้ว
บทที่ 232 ลู่เซวียนสอบได้ซิ่วไฉแล้ว
“คุณหนู คนผู้นี้ไม่รู้จักซาบซึ้งในความหวังดีของท่าน ปล่อยเขาไว้เถอะเจ้าค่ะ” ชิวสุ่ยเอ่ยขึ้น
เฉินซือจวินออกคำสั่งเสียงเบา “ทิ้งตะกร้าอาหารไว้ พวกเราไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” ชิวสุ่ยชำเลืองมองลู่อี้ แล้วส่งตะกร้านั้นให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้าง ๆ
เฉินซือจวินเอ่ยกับเจ้าหน้าที่คุมขังว่า “ข้าเชื่อว่าจู่ปู้ลู่ไม่ได้ฆ่าคน ก่อนที่เรื่องนี้จะตรวจสอบออกมาได้ชัดเจน ต้องรบกวนทุกท่านคอยดูแลจู่ปู้ลู่แล้ว”
“คุณหนูเฉินโปรดวางใจ พวกเรารู้ว่าจู่ปู้ลู่เป็นคนอย่างไร เราไม่กล้าละเลยเป็นอันขาด”
“ใช่แล้วขอรับ” คนอื่น ๆ เห็นพ้องต้องกัน
เฉินซือจวินเหลือบมองชิวสุ่ย “มอบรางวัล”
ชิวสุ่ยนำถุงเงินออกมา จากนั้นเทเหรียญเงินออกมาแบ่งให้เจ้าหน้าที่คุมขัง
หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว เจ้าหน้าที่คุมขังก็เอ่ยกับลู่อี้ “พี่อี้ ของกินพวกนี้…”
“เอาไปแบ่งให้ทุกคนเถิด” ลู่อี้เอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
“เช่นนั้นเงิน…”
“ในเมื่อคุณหนูเฉินตบรางวัลให้ พวกเจ้าก็เก็บไว้เถอะ”
คุณหนูอยากใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเอง เขาไม่อาจขวางเส้นทางการได้เงินของเจ้าหน้าที่คุมขังเหล่านี้ได้ อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทางยอมรับความช่วยเหลือนี้
ลู่อี้ปิดหนังสือ เขามองผ่านช่องเล็ก ๆ ออกไป
เซี่ยคุนคงถึงที่นั่นแล้วใช่หรือไม่?
นักการเกาส่งจดหมายไปให้มู่ซืออวี่ทุกวัน มู่ซืออวี่ค่อย ๆ คลายความกังวลที่มีในตอนแรกลงทีละน้อย แต่หากเขายังไม่ออกมา แม้เพียงแค่หนึ่งวันนางก็ไม่อาจวางใจได้ทั้งหมด ดูเหมือนเขาจะวางแผนการไว้เป็นอย่างดีแล้ว นางจึงไม่พะวงไปไกลมากนัก
นางส่งอาหารไปให้นักการเกาทุกวัน
ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยให้ชัดเจน นักการเกาก็รู้ว่าอาหารนี้เอามาให้ใคร
ณ หมู่บ้านตระกูลลู่
ลู่เซวียนผลักประตูออกแล้วตะโกนเข้าไปข้างใน “อวิ๋นเอ๋อร์ พี่สะใภ้… ไปไหนกันนะ?”
ลู่เซวียนเข้าไปดื่มน้ำข้างใน แต่เมื่อเห็นโต๊ะปกคลุมด้วยฝุ่น เขาก็สังเกตได้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ชายหนุ่มกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง จึงพบว่าเตาไม่ถูกใช้เป็นเวลานานแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
อันอี้หางก็กลับไปที่บ้านเช่นกัน อวี้ซื่อนำชามาให้พร้อมรินให้เขา จากนั้นจึงถามว่า “หางเอ๋อร์ หิวแล้วใช่หรือไม่? แม่จะต้มไข่ให้เจ้า”
“ไม่ต้องหรอกท่านแม่ ข้ากินมาจากในเมืองแล้ว” อันอี้หางตอบ
“เช่นนั้นก็กินอีกหน่อย” อวี้ซื่อยิ้มแล้วเดินเข้าไปง่วนอยู่ในครัว
อันอี้หางไปเคาะประตูห้องอันอวี้ “น้องสาวข้าล่ะ”
อวี้ซื่อที่กำลังก่อไฟชะงักค้าง
นางยินดีมากเกินไปจนลืมเรื่องการหายตัวไปของอันอวี้
ทำอย่างไรดี?
“ท่านแม่ น้องสาวข้าเล่า?” อันอี้หางเคาะประตูเป็นเวลานานแต่ไม่ได้รับการตอบกลับมา เขาจึงเปิดประตูเข้าไปดู พบว่าข้างในไม่มีใครอยู่ “น้องออกไปข้างนอกหรือ?”
“นางหรือ ตอนนี้นางเป็นคนของครอบครัวลู่แล้ว ข้าจะรู้ว่านางอยู่ที่ไหนได้อย่างไร?” อวี้ซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
ถูกแล้ว เด็กคนนั้นออกไปเอง ไม่ใช่ว่านางไล่ออกไปเสียหน่อย เหตุใดต้องรู้สึกผิดด้วยเล่า?
“ท่านแม่ น้องข้าแซ่อัน หากนางยังไม่แต่งงานก็คือคนที่ครอบครัวอันต้องดูแล นี่ท่าน…” อันอี้หางขมวดคิ้ว
“ข้าแค่เพียงพูดเรื่องคนครอบครัวลู่ไม่กี่คำ นางก็มาโมโหใส่ข้าแล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่านางไปที่ใด? บางทีนางอาจจะไปหาคนครอบครัวลู่แล้วกระมัง” อวี้ซื่อกล่าว
“เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวลู่?” อันอี้หางถาม
“เจ้ากลับมาได้ทันเวลาพอดี ข้ากำลังจะจัดการเรื่องการแต่งงานระหว่างน้องสาวของเจ้ากับคนแซ่เซี่ยคนนั้น ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นก็จัดการเรื่องนี้ให้จบเถอะ”
“ก่อนหน้านี้คุยกันแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ก่อนหน้าก็คือก่อนหน้า ตอนนี้ก็คือตอนนี้ เจ้าไม่รู้ว่าลู่อี้ผู้นั้นทำอะไรไว้” อวี้ซื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ให้เขาฟัง
อันอี้หางได้ยินแล้วก็ตกตะลึง
หากจะกล่าวแล้วเรื่องนี้ก็ไม่อาจตำหนิลู่อี้ได้ เพราะหากมีคนรังแกคนในครอบครัวของเขาเช่นนี้ เขาก็จะต้องตามหาตัวมาคิดบัญชีให้ได้เช่นกัน ส่วนเรื่องที่ลู่อี้ฆ่าคน เขาคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
คนอย่างลู่อี้จะฆ่าคนได้อย่างไร? อีกฝ่ายมีวิธีมากมายที่จะจัดการให้ชีวิตของศัตรูทรมานมากกว่าตาย วิธีเช่นนั้นยังดีกว่าฆ่าศัตรูให้ตายไปเปล่า ๆ มากนัก
“น้องสาวข้าไม่ยอมถอนหมั้นใช่หรือไม่?”
“ยิ่งกว่าไม่ยอมเสียอีก นางแทบจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าแล้ว คนเขากล่าวกันว่ามีลูกสาวนั้นขาดทุน พูดได้ไม่ผิดจริง ๆ”
“ท่านแม่!” อันอี้หางเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าไม่อยากได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก”
“เอาล่ะ ข้าไม่พูดแล้ว ข้าจะไปต้มไข่ให้เจ้า”
“ข้าจะออกไปสักเที่ยว ไม่ต้องต้มไข่แล้ว ข้าไม่หิวจริง ๆ” ถึงแม้จะหิว ตอนนี้ก็หมดอารมณ์จะกินแล้ว
เขานึกถึงลู่เซวียนขึ้นมาได้ ครั้งนี้พวกเขาออกไปข้างนอกด้วยกันและกลับมาพร้อมกัน
อันอี้หางเดินไปถึงหน้าประตู จู่ ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมาเอ่ยกับมารดา “ท่านแม่ เดินทางไปครั้งนี้ข้าถูกคนวางยาถ่าย หากตอนนั้นไม่ใช่ลู่เซวียนที่พาข้าไปหาท่านหมอ เกรงว่าการสอบขุนนางครั้งนี้คงต้องล้มเหลวแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้ความจริงเป็นอย่างไร รู้แค่เพียงคนในครอบครัวลู่เป็นผู้มีพระคุณของข้า ในเมื่อน้องข้าไม่อยากถอนหมั้น เช่นนั้นก็ไม่ต้องถอน”
“หางเอ๋อร์ ใครวางยาเจ้า? เจ้าต้องไปหาคนร้ายมานะ เหตุใดมันถึงไร้ปัญญา ทำตัวไร้ยางอายถึงเพียงนี้?”
“ไม่ใช่ทุกสิ่งในโลกที่สามารถเข้าใจได้ ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นผู้ใด รู้เพียงว่ามีคนคิดจะทำร้ายข้า ท่านแม่ ลู่เซวียนสอบได้ซิ่วไฉแล้ว ข้าก็สอบได้แล้วเช่นกัน ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ข้าได้รู้จักกับลู่เซวียนมากกว่าเดิม เขาเป็นคนที่มีความสามารถมาก จะต้องไม่หยุดอยู่แค่ซิ่วไฉอย่างแน่นอน ลู่เซวียนคนหนึ่งก็เยี่ยมยอดเพียงนี้แล้ว พี่ชายของเขาเกิดมาเป็นเด็กเปี่ยมพรสวรรค์ที่โด่งดัง อนาคตย่อมไร้ขอบเขต ท่านเชื่อข้าสักครั้ง อย่าได้สร้างความขุ่นเคืองให้ครอบครัวลู่เลย”
อวี้ซื่ออ้าปากพะงาบ ๆ สุดท้ายก็กล่าวสิ่งใดไม่ออก
นางเป็นเพียงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านั้น ลูกชายนางกล่าวเช่นไรนางก็ทำเช่นนั้น นางไม่เชื่อคนอื่น เชื่อแค่เพียงลูกชายของตน
ครั้นอันอี้หางออกจากบ้านไปบ้านข้าง ๆ ก็เจอกับลู่เซวียนที่ออกมาพอดี
“สหายอัน ครอบครัวของข้าไม่อยู่ ข้าจะเข้าไปถามในหมู่บ้านสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น” ลู่เซวียนดูไม่เหมือนปกติ เห็นได้ชัดว่ากำลังร้อนใจ
“ข้าได้ยินบางสิ่งมาจากท่านแม่ ท่านอยากฟังหรือไม่?”
ลู่เซวียนฟังอันอี้หางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน
“ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเมืองหรือ?”
“ใช่ ข้าได้ยินว่าพี่สะใภ้ท่านเช่าบ้านหลังหนึ่ง ตอนนี้คนทั้งครอบครัวรวมถึงลูกสุนัขล้วนเข้าไปในเมืองหมดแล้ว”
“ขอบคุณท่านมาก”
“ท่านกำลังจะเข้าเมืองไปหาพวกเขาใช่หรือไม่ ให้ข้าตามไปด้วยเถอะ น้องสาวของข้าก็ไปหาพี่สะใภ้ของท่านแล้ว หากข้าไม่เห็นนาง ข้าก็ไม่สบายใจนักหรอก”
ณ บ้านเก่าครอบครัวมู่
แม่เฒ่าเจียงมองมู่ตงหยวนจัดการไข่ฟองสุดท้ายที่บ้านพลางกลืนน้ำลายตาม
วันเวลาผ่านไปไม่นาน นางก็ดูราวกับแก่ขึ้นไปอีกหลายปี
“ข้าปวดขายิ่งนัก” มู่ตงหยวนเอ่ยเสียงแหบแห้ง “ท่านไปหามู่ซือเจียวแล้วขอเงินนางมารักษาขาให้ข้าหน่อย”
“ข้าเคยไปแล้ว แต่นางไม่ยอมพบข้า” เมื่อเอ่ยถึงมู่ซือเจียว แววตาของแม่เฒ่าเจียงก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “นังเด็กใจไม้ไส้ระกำ ข้าอุตส่าห์รักใคร่อุ้มชูนางมาเสียหลายปี”
หากรู้ว่ามู่ซืออวี่จะมีอนาคตเจิดจ้าเช่นนี้ ตอนนั้นนางคงรักเด็กนั่นให้มากกว่านี้แล้ว บางทีนางอาจได้รับความเคารพยกย่องเหมือนถงซื่อในตอนนี้
“ท่านไปบอกนางว่า หากนางไม่ยอมมาพบท่าน ท่านจะเปิดเผยความลับของนาง ทำให้ความฝันที่จะได้เป็นนายหญิงของนางแตกสลาย” มู่ตงหยวนเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด
“ตงหยวน นี่เจ้าพูดถึง…”
“ในท้องของมู่ซือเจียวเป็นลูกของใคร คนในตระกูลหวังไม่รู้แม้แต่คนเดียว ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดคุณชายหวังจึงยอมรับเด็กคนนี้? เป็นเพราะเขาทำไม่ได้ เขาไม่สามารถมีลูกได้ นายท่านหวังยื่นคำขาดให้เขา หากเขาไม่มีทายาท เขาจะรับบุตรนอกสมรสกลับมาสืบทอดกิจการของตระกูล ข้าจึงได้เสนอความคิดให้คุณชายหวัง ขอให้รับมู่ซือเจียวไปเป็นอนุปลอม ๆ แท้จริงแล้วคุณชายหวังก็เหมือนขันที เขาไม่เคยแตะต้องมู่ซือเจียวแม้แต่น้อย”
“หา? นี่…” แม่เฒ่าเจียงนึกไม่ถึงว่าความมั่งคั่งของมู่ซือเจียวนั้นเป็นของปลอม นึกว่าถูกคุณชายหวังต้องตาต้องใจแล้วเสียอีก
สองสามวันที่ผ่านมานี้แม่เฒ่าเจียงก่นด่าคนแซ่หวังผู้นั้นว่าไม่ใช่คนมาโดยตลอด มู่ตงหยวนเป็นผู้ติดตามอีกฝ่ายมาหลายปีเพียงนี้ มู่ซือเจียวก็กลายเป็นอนุแล้ว สุดท้ายคุณชายผู้นั้นกลับไม่รู้จักดูแลมู่ตงหยวน ปล่อยให้คนต่อยตีลูกชายนางจนต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
ไม่ผิด! มู่ตงหยวนถูกคนอื่นทุบตีมา
กล่าวได้ว่าคุณชายหวังไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินเข้า อีกฝ่ายมีอำนาจมากมาย คุณชายหวังจึงผลักมู่ตงหยวนออกไปให้ฝ่ายนั้นได้ระบายโทสะ ตอนนี้มู่ตงหยวนไร้ประโยชน์แล้ว จึงถูกโยนทิ้งขว้างเหมือนเศษผ้าที่ใช้แล้วเช่นนี้
ทันทีที่แม่เฒ่าเจียงเดินออกไป นางก็พบมู่เจิ้งอี้ที่ผลักประตูเข้ามา แววตาของนางเป็นประกายขึ้นมาทันที “หลานรัก เจ้ากลับมาแล้วรึ”