สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 236 แม่เฒ่าเจียงอยู่บนเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 236 แม่เฒ่าเจียงอยู่บนเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ
บทที่ 236 แม่เฒ่าเจียงอยู่บนเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ
บทที่ 236 แม่เฒ่าเจียงอยู่บนเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ
ประตูหลังจวนตระกูลหวัง สาวใช้ในชุดผ้าแพรไหมเดินออกมา นางหันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ จึงยื่นถุงเงินให้แม่เฒ่าเจียงที่รออยู่ตรงประตู
“นี่เป็นเงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของอนุแล้ว อย่าได้มาอีก อนุของพวกเราไม่มีของให้เจ้าแล้ว”
แม่เฒ่าเจียงเปิดถุงเงินอย่างตื่นเต้นดีใจ เมื่อเห็นจำนวนเงิน สีหน้าของนางพลันมืดครึ้มลงทันที “เท่านี้เองหรือ? นังเด็กต่ำช้ามู่ซือเจียวนั่นกินอยู่ที่จวนหวังอย่างสุขสบาย นางไม่สนใจไยดีครอบครัวของตนเองเลยใช่หรือไม่? เงินเพียงน้อยนิดนี่นับอย่างไรก็น้อยกว่าสามตำลึง คิดว่าให้ขอทานหรือไร”
“ขอทานงั้นรึ? ขอทานที่ใดจะโลภเช่นพวกเจ้า? อนุใช่ว่าจะอยู่ในจวนหวังอย่างสุขสบาย นางต้องอุ้มท้องใหญ่โต กินไม่อิ่มนอนไม่หลับ พวกเจ้ายังจะมาขอเงินนางอีก”
สาวใช้คนนั้นเดินเข้าไปแล้วปิดประตูอย่างแรง ไม่รอให้แม่เฒ่าเจียงเปิดปากเอ่ยสิ่งใด
สีหน้าของแม่เฒ่าเจียงดำทะมึน นางตะโกนด่าทอข้ามประตูข้างหลัง สาปแช่งด้วยถ้อยคำหยาบคายที่ทั้งน่ารังเกียจและสกปรกโสมมเท่าที่จะสรรหาได้ออกมา
ภายในจวนหวัง แม่นมได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงออกมาดูสถานการณ์ “มีเรื่องอะไร?”
“ไม่ต้องสนใจนางหรอกเจ้าค่ะ แค่เพียงขอทานคนหนึ่ง ขอเงินคนอื่นไม่ได้ก็เลยสาปแช่งคนอื่นเขาเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นั้นเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด
“หญิงขอทานเร่ร่อนจากที่ใดกัน?” แม่นมผู้นั้นเอ่ยขณะที่นางเปิดประตูหลังออกมา
แม่เฒ่าเจียงเห็นประตูกำลังเปิดออกจึงวิ่งหนีไป
หลังจากวิ่งมาไกลพอสมควรแล้ว นางก็หยุดฝีเท้าก้มลงมองถุงเงินในมือ ในใจยังรู้สึกขุ่นเคือง
เงินเล็กน้อยเท่านี้ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องไปหาหมอ กระทั่งใช้ซื้อข้าวซื้อบะหมี่ยังซื้อได้ไม่มากนัก เป็นเช่นนี้คงไม่ได้การ! ขาของตงหยวนจะต้องได้รับการรักษา มิเช่นนั้นต่อไปคงไร้ประโยชน์แล้วจริง ๆ
“คดีวันนี้ช่างทำให้คนหวาดเสียวจริง ๆ” คนที่เดินผ่านไปเอ่ยถึงเรื่องคดีของหลินต้าจ้วง
แม่เฒ่าเจียงได้ยินก็หยุดชาวบ้านที่เดินผ่านคนนั้นไว้ “พวกเจ้าบอกว่าหลินต้าจ้วงไม่ได้ถูกลู่อี้ฆ่างั้นรึ?”
“ใช่น่ะสิ หลินต้าจ้วงลักลอบคบชู้กับภรรยาคนอื่น เขาเลยถูกสามีบ้านนั้นฆ่าเอาน่ะสิ”
“เช่นนั้นลู่อี้ไม่เป็นอะไรแล้วหรือ?”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว ต้องขอบคุณท่านหมอชื่อเสียงโด่งดังจากเมืองซูโจวผู้นั้น ท่านหมอผู้นั้นชื่ออะไรนะ? ใช่แล้ว ท่านหมอลี่ ท่านหมอท่านนั้นเก่งกาจมาก สิ่งที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรตรวจสอบออกมาไม่ได้ เขากลับตรวจสอบออกมาได้”
“ท่านหมอลี่?” แม่เฒ่าเจียงรู้สึกประหลาดใจระคนยินดี
“ท่านป้า ท่านอยากไปหาท่านหมอลี่รึ? เช่นนั้นท่านต้องรีบหน่อยแล้ว ข้าได้ยินว่าท่านหมอลี่จะพักอยู่ที่เมืองฮู่เป่ยเพียงห้าวัน หลังจากห้าวันก็จะกลับไปเมืองซูโจวแล้ว”
“ท่านป้า ท่านมีเงินไปหาหมอหรือไม่? ท่านหมอลี่ผู้นี้คิดค่ารักษาแพงมากนะ!”
แม่เฒ่าเจียงเอาแต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องไปหาท่านหมอลี่ที่เมืองซูโจวแล้ว เพราะท่านหมอลี่ผู้นั้นอยู่ที่นี่แล้ว แต่เงินเล่าจะทำอย่างไร? จริงสิ ได้ยินว่าลูกชายคนรองของนางมาหางานทำในเมือง เช่นนั้นเขาต้องมีเงินอยู่บ้างกระมัง?
ผู้จ้างมู่ต้าซานไม่ใช่ตระกูลอื่นใดแต่เป็นตระกูลเจิ้ง
เมื่อเจิ้งซินเยว่เดินผ่านไป มู่ตาซานก็รีบหยุดเดินแล้วค้อมหัวคำนับ “คุณหนูใหญ่”
แน่นอนว่าเจิ้งซินเยว่ย่อมไม่เก็บคนงานสัญญาจ้างระยะยาวต่ำต้อยคนหนึ่งมาใส่ใจ นางก้าวเหยียบบนหลังมู่ต้าซานแล้วขึ้นไปบนรถม้า
แม่เฒ่าเจียงเห็นฉากนี้เข้าพอดี สายตาของนางเต็มไปด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม
ตอนที่มู่ต้าซานกล่าวว่าเขาจะเข้าไปทำงานในเมือง แม่เฒ่าเจียงยังคิดว่าเขาจะมีอนาคตไกล บัดนี้ดูเหมือนว่านางจะหวังมากเกินไป ขยะอย่างมู่ต้าซานจะมีอนาคตไกลได้อย่างไร ชีวิตเช่นนี้เทียบไม่ได้แม้แต่สุนัขตัวหนึ่งด้วยซ้ำ
หลังจากรถม้าแล่นออกไปแล้ว มู่ต้าซานกำลังจะกลับไปทำงานที่จวนเจิ้งต่อ แต่ได้ยินเสียงคนเรียกเสียก่อน
เขาหันกลับไปมองก็เห็นแม่เฒ่าเจียงสาวเท้าเข้ามา
มู่ต้าซานขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
“อะไรกัน เจ้าไม่รู้จักกระทั่งแม่ตัวเองแล้วหรือไร?” แม่เฒ่าเจียงจ้องมู่ต้าซานเขม็ง
ถึงแม้มู่ต้าซานจะมีความคิดเรียบง่าย ทว่าเขาไม่เชื่อฟังนางอย่างเคยแล้ว
เขาทราบดีว่าในหัวใจของมารดาผู้นี้นั้นเขาไม่นับเป็นอันใดเลย วันนี้ที่มาหาเขาก็ไม่ใช่เพราะยังจำได้ว่ามีลูกชายคนรอง แต่เป็นเพราะมีเรื่องอยากไหว้วานมากกว่า
“ข้ายังต้องทำงาน ท่านแม่มีเรื่องอะไร? หากไม่มีเรื่องอื่นข้าจะไปแล้ว หากพ่อบ้านเห็นว่าข้าเกียจคร้าน ข้าจะถูกหักค่าจ้าง”
“ตอนนี้เจ้าได้ค่าจ้างรายเดือนเท่าไหร่หรือ?”
“ไม่มาก”
“ไม่มากแล้วมันเท่าไหร่?”
“300 อีแปะ”
“จะเป็น 300 อีแปะไปได้อย่างไรกัน? เจ้าเป็นคนงานที่แข็งแรงปานนี้ อีกทั้งยังถูกทำเหมือนสุนัขรับใช้ หากเจ้าไม่ได้ 2 ตำลึง อย่างน้อยก็ควรได้ 1 ตำลึงกระมัง?”
มู่ต้าซานหลุบตาลง “ไม่มี ข้ากินนอนอยู่ที่นี่ จึงได้รับเพียงแค่ 300 อีแปะ”
“เช่นนั้นเจ้าคงยืมเงินได้กระมัง? เจ้าไปหาสหายของเจ้า ยืมเงินมาให้ข้าสัก 10 ตำลึงเงิน” แม่เฒ่าเจียงสั่งราวกับเป็นเรื่องที่เขาจะต้องทำตามอย่างแน่นอน
“ไม่” มู่ต้าซานตอบเอื่อย ๆ “ข้าไม่มีสหาย ถึงแม้ข้าจะมี ก็ล้วนแล้วแต่มีชีวิตยากลำบาก พวกเขาล้วนไม่มีเงิน”
“จะไม่มีได้อย่างไร? เจ้านี่ไร้ประโยชน์เพียงนี้เชียวหรือ? กระทั่งสหายคนเดียวยังไม่มี”
นางนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเข้าไปใกล้ ๆ มู่ต้าซานแล้วกระซิบเสียงเบา “ตระกูลเจิ้งนี่รวยไม่ใช่หรือ? เจ้าเข้าไปขโมยของมา ข้าเอาไปขายก็มีเงินแล้ว”
มู่ต้าซานปรายตามองแม่เฒ่าเจียง “ท่านแม่ ท่านคิดจะฆ่าข้าหรือ? หากไม่มีเรื่องอะไรข้าจะไปทำงานแล้ว”
มู่ต้าซานเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
“นี่ เหตุใดเจ้าจึงไร้ประโยชน์เช่นนี้? ข้าไม่กินเจ้าหรอก เจ้ามันขยะ!” แม่เฒ่าเจียงสาปส่งไล่หลังเขา
มู่ต้าซานเดินไปไกลแล้ว แม่เฒ่าเจียงรู้สึกเสียดายขึ้นมา
หากรู้เช่นนี้นางจะฉวยเงินจากในมือของเขามาก่อน เพราะ 300 อีแปะก็เป็นเงินเช่นกัน เพียงพอให้ซื้อบะหมี่อยู่บ้าง ตอนนี้จบสิ้นแล้ว เจ้าลูกคนนั้นคงไม่ยอมออกมาอีกเป็นแน่
จะทำอย่างไรดี? ขาของตงหยวนเล่าจะทำอย่างไร?
ถึงแม้ระยะนี้มู่ตงหยวนจะเฉยชากับนาง คำพูดคำจาแปลกพิกล ทำให้แม่เฒ่าเจียงรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงหน้าตาน่ารักและปากหวาน ๆ ของเขาตอนเด็ก ๆ แม่เฒ่าเจียงจึงอภัยให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า นางทึกทักเองว่าตอนนี้ที่เขาแปลกไปเช่นนี้เป็นเพราะเขาบาดเจ็บจึงเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย
ชายอ้วนเนื้อตัวประดับทองคำเต็มตัวเดินอาด ๆ ผ่านมา
ในมือถือของกินชิ้นหนึ่ง ปากของเขาเปรอะน้ำมันจนมันย่อง
สายตาของแม่เฒ่าเจียงถูกเครื่องประดับทองคำเหล่านั้นบนร่างกายของเขาดึงดูด สุดท้ายสายตาของนางจึงเลื่อนไปยังจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของเขา จี้หยกนั้นแกว่งไกวไปมา ราวกับว่ามันอาจจะหล่นลงพื้นได้ทุกขณะ
“ถ้าหาก…” แม่เฒ่าเจียงเลียริมฝีปาก มองจี้หยกบนเอวเขาอย่างละโมบ
นางเดินเข้าไปหาชายอ้วนผู้นั้นอย่างร้อนอกร้อนใจ
เจ้าอ้วนคนนั้นอ้วนเกินไปแล้ว อย่างน้อยก็ราว ๆ สองร้อยจิน*[1] กระทั่งเดินเหินยังไม่สะดวก เดินชนผู้อื่นไปเรื่อย
แม่เฒ่าเจียงเดินก้มหน้าเข้าไปชนอีกฝ่าย
“โอ๊ย ขออภัย ๆ” ขณะที่แม่เฒ่าเจียงพูด มือสั่นเทามือนั้นก็ยื่นออกไปคว้าจี้หยก
คว้ามาได้แล้ว!
นางรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ชายอ้วนผู้นั้นเคยชินกับการชนเช่นนี้แล้ว เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจ เพียงแต่กินอาหารในมือของตนต่อไป
“จี้หยกของข้าเล่า?” ชายอ้วนคนนั้นเดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าวก็พบว่าจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่เอวหายไป “ใครขโมยจี้หยกของข้าไปแล้ว? ไอ้เจ้าหัวขโมยชั่ว หากข้าจับได้ ข้าจะตัดมือของเจ้าเสีย”
แม่เฒ่าเจียงซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่งพลางมองชายอ้วนคนนั้นเดินจากไป จากนั้นนางจึงเดินออกไปอย่างระแวดระวัง
หน้าผากของนางอาบไปด้วยเหงื่อ ตามแผ่นหลังก็มีเหงื่อออกจนชุ่มแล้วเช่นกัน หัวใจของนางเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมา
แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือนางได้มันมาแล้ว
แววตาของนางเต็มไปด้วยความปีติยินดี
แม่เฒ่าเจียงเดินออกมาจากโรงรับจำนำ ในมือกำเงิน 50 ตำลึงเงินเอาไว้แน่น นางแทบจะลอยไปทั้งตัวแล้ว
นางจะต้องตามหาว่าท่านหมอลี่อยู่ที่ใดให้เร็วที่สุด จะได้ให้เขาตรวจดูขาของมู่ตงหยวน
…
ลู่อี้ไม่เป็นอะไรแล้ว มู่ซืออวี่จึงพาเขากลับไปยังบ้านที่นางเช่าเสียก่อน จากนั้นจึงทำอาหารรสเลิศมากมายเสียจนเต็มโต๊ะ แล้วเชิญทุกคนมาฉลองให้ลู่อี้ที่ล้างมลทินได้สำเร็จ
หลังจากทานอาหารมื้อนั้นแล้ว ท่านหมอลี่ก็ไปหาสหายของเขาเพื่อสนทนาเรื่องทักษะการแพทย์
ส่วนคนอื่น ๆ เก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับไปยังหมู่บ้าน