สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 243 มู่เจิ้งอี้ถูกไล่ออกจากสำนักบัณฑิต
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 243 มู่เจิ้งอี้ถูกไล่ออกจากสำนักบัณฑิต
บทที่ 243 มู่เจิ้งอี้ถูกไล่ออกจากสำนักบัณฑิต
บทที่ 243 มู่เจิ้งอี้ถูกไล่ออกจากสำนักบัณฑิต
ลู่อี้กอดภรรยาผู้หอมรัญจวนใจของตน สูดกลิ่นจากเรือนผมเข้าปอด
หลังจากผ่านพ้นความเร่าร้อนไปแล้ว เขาก็ลูบไล้จมูก แก้ม และริมฝีปากแดง ๆ ของนางอย่างรักใคร่
“บ้านหลังนี้…” มู่ซืออวี่หันไปข้าง ๆ เพื่อจ้องมองบุรุษรูปงามตรงหน้านาง “ท่านจะไม่อธิบายหน่อยหรือ?”
“นี่เป็นบ้านของเรา” ลู่อี้ตอบ “บางครั้งเรากลับดึกเกินไป ไม่สามารถออกจากเมืองได้ จะได้มาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว เช่นนี้แล้วจะได้ไม่ต้องให้เจ้าพักในโรงเตี๊ยมบ่อย ๆ”
“แพงมากใช่หรือไม่?” ถึงแม้เมืองฮู่เป่ยจะไม่สามารถเทียบกับเมืองซูโจวได้ ทว่าบ้านหลังใหญ่โตที่มีทางเข้าออกหลายทางเช่นนี้ย่อมไม่สามารถใช้เงินเพียงแค่ไม่กี่ร้อยตำลึงเงินซื้อได้
นอกจากซื้อบ้านแล้ว ยังต้องซื้อของเตรียมงานแต่งในสวนแห่งนั้นอีกมากมาย ไม่ว่าที่ใดล้วนต้องใช้เงิน
เงินเดือนของจู่ปู้ไม่ได้มากมาย ถึงแม้เขาจะทำงานนานนับทศวรรษก็ยังไม่สามารถซื้อบ้านดี ๆ เช่นนี้ได้ ที่มาของเงินนี้ย่อมไม่แน่ชัด
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าหาเงินได้”
แต่หาเงินได้อย่างไรนั้น เรื่องนี้ย่อมไม่อาจบอกนางได้ ประเดี๋ยวนางจะเป็นกังวลอีก
มู่ซืออวี่ชกไปที่อกเขาเบา ๆ “ไม่ว่าท่านกำลังทำอะไร จะต้องจดจำไว้อย่างหนึ่ง ท่านต้องปกป้องตนเองให้ดี ท่านเป็นเสาหลักของครอบครัวเรา ไม่อาจล้มได้เป็นอันขาด”
“ข้ารับปากเจ้า” ลู่อี้ก้มลงจูบหน้าผากนางอย่างแผ่วเบา
เขาจะไม่มีวันล้ม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องกลับมาหานางอย่างปลอดภัย
บ้านใหม่แห่งนี้ชื่อว่าเรือนลู่ หลังไม่เล็ก จำเป็นต้องดูแลหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ
ในตอนแรกยังไม่มีคนรับใช้ แต่วันต่อมา นักการเกาก็ส่งคนรับใช้มาสองคน บอกว่าเป็นของขวัญสำหรับบ้านใหม่ของพวกเขา
“ในเมื่อมีบ้านในเมืองแล้ว ไหนจะเรื่องที่พวกเรารับปากกับท่านอาจารย์เหวินไว้แล้วครึ่งปี มิสู้พวกเราให้ฉาวอวี่และน้องหานย้ายมาอยู่ที่บ้านใหม่ จากนั้นค่อยพาเขาไปหาพวกอวิ๋นเอ๋อร์ที่หมู่บ้านตอนที่ได้พักผ่อนเล่า” มู่ซืออวี่ปรึกษาลู่อี้
“ย่อมได้”
หลังจากส่งลู่อี้ไปที่ศาลาว่าการ มู่ซืออวี่ก็ไปที่ตลาด ซื้อเมล็ดพันธุ์ดอกไม้หลากหลายพันธุ์มาปลูกไว้ในสวน
จากนั้นนางจึงเริ่มตกแต่งภายในบ้านใหม่ อย่างเช่นหากมีพื้นที่บริเวณใดที่ว่างเปล่า นางวางแผนจะทำเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ให้เด็ก ๆ เล่น
ห้องน้ำและห้องครัวในบ้านจะต้องทำใหม่ สำหรับมู่ซืออวี่แล้ว นอกจากห้องนอนแล้ว ห้องน้ำและห้องครัวเป็นพื้นที่ที่ต้องใช้มากที่สุดในทุก ๆ วัน ดังนั้นห้องเหล่านี้จึงสำคัญเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามนี่เป็นงานใหญ่โต ไม่สามารถทำให้เสร็จเพียงข้ามคืน ก่อนอื่นก็ค่อย ๆ วางแผนเสียก่อน จากนั้นค่อยลงมือทำใหม่ทีละเล็กละน้อยราวกับมดทำรัง ทั้งหมดนี้ย่อมต้องออกมาอย่างที่นางต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด บ้านก็เป็นสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบ เพราะไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยด้วย
“พี่สะใภ้อี้ เมื่อครู่นี้เป็นแม่เฒ่าเจียงใช่หรือไม่?” ลู่เจินเจินที่ออกมาซื้อของกับมู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นพลางกระตุกแขนเสื้อของมู่ซืออวี่
“ที่ใด?” มู่ซืออวี่มองไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ให้ดู “ไม่เห็นมีใคร เจ้ามองผิดกระมัง?”
“นั่นสิ นางคงไม่มีอารมณ์ออกมามีความสุขอยู่ข้างนอก ทั้ง ๆ ที่บ้านของนางเกิดเรื่องร้ายเช่นนั้นหรอก” ลู่เจินเจินมองไม่ค่อยชัด จึงคิดว่าตนเองอาจมองผิดไป
แม่เฒ่าเจียงยืนแอบอยู่กับผนัง นางรอให้มู่ซืออวี่และลู่เจินเจินผ่านไปก่อนจะเดินออกมา นางมองไปรอบ ๆ อย่างลุกลี้ลุกลน จากนั้นวิ่งไปพร้อมกับถุงเงินในมือ
เมื่อวิ่งมาจนถึงตรอกห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง นางก็เปิดถุงเงินออก พบว่าข้างในมีเพียงหนึ่งตำลึงเงิน ที่เหลือล้วนเป็นเหรียญอีแปะ
“ถุย! แต่งกายราวกับผู้ดี นึกไม่ถึงว่าจะมีเงินเพียงน้อยนิดแค่นี้” แม่เฒ่าเจียงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก “ไม่ได้การ ข้าต้องหาเจ้าคนหน้าโง่คนอื่น”
หากได้เจอเจ้าอ้วนคราวก่อนก็คงดี เขาเป็นหีบสมบัติเดินได้เช่นนั้น แค่คว้ามาได้สักชิ้นคงก็นำไปแลกได้หลายตังค์แล้ว
“ได้ยินหรือไม่? มีบัณฑิตคนหนึ่งถูกโยนออกมาจากเรือนวสันต์ เห็นว่าไม่มีเงินยังคิดจะไปครอบครองแม่นางของพวกเขา ถูกตีอย่างหนักเชียวล่ะ!”
“เรือนวสันต์เป็นสถานที่เช่นใด? เป็นสถานที่ที่มีแต่นายท่านถึงไปได้ ขนาดจะแตะแม่นางชั้นสาม ยังต้องสิ้นเปลืองเงินถึง 100 อีแปะเลย ดื่มสุราเพียงหนึ่งจอกยังต้องใช้เงินถึง 500 อีแปะ จุมพิตริมฝีปากเล็ก ๆ นั่นต้องใช้ถึง 2 ตำลึงเงิน หากจะค้างคืน… ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ที่มีลำดับขั้นสูง ๆ หากคิดจะครอบครองเหล่าบุปผา สิบสองโฉมสะคราญละก็หนักกว่านี้เสียอีก”
แม่เฒ่าเจียงบังเอิญได้ยินชายหนุ่มหลายคนกำลังพูดคุยกันพอดี สมองของนางสว่างวาบขึ้นมา “ใช่แล้ว หากเอ่ยถึงคนมีเงิน ก็ต้องไปที่ที่คนมีเงินเหล่านั้นรวมตัวกัน”
แม่เฒ่าเจียงรีบปรี่ไปที่เรือนวสันต์ทันที
ตุ้บ!
คนผู้หนึ่งถูกโยนออกมาพอดี
“โอ๊ย รนหาที่ตาย…” แม่เฒ่าเจียงกำลังจะสาปส่ง ทว่าเมื่อมองเห็นชายหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นก็อุทานด้วยความตกใจ “อี้เอ๋อร์!”
ถึงแม้จมูกของชายหนุ่มผู้นั้นจะฟกช้ำ หน้าตาปูดบวมจนไม่สามารถแยกแยะใบหน้าเดิมได้ แต่แม่เฒ่าเจียงก็ยังจำเขาได้ในแวบแรกทันที
มู่เจิ้งอี้!
มู่เจิ้งอี้นึกไม่ถึงว่าแม่เฒ่าเจียงจะมาเห็นสภาพน่าอับอายเช่นนี้ของตนเข้า เขารีบปิดหน้าปิดตาตนเอง “ท่านจำคนผิดแล้ว”
เขาถูกต่อยฟันหลุดออกไปสองซี่ เสียงของเขาจึงฟังดูแปร่ง ๆ
แม่เฒ่าเจียงรุดเข้าไปหา “เจ้าอย่าคิดจะโกหกข้า มู่เจิ้งอี้ เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ มารดาส่งเจ้าเข้าไปเล่าเรียนศึกษาในสำนักบัณฑิต นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมาเที่ยวเสเพลอยู่ในสถานที่เช่นนี้อีก เจ้าควรค่าแก่ค่าเล่าเรียนที่พวกเราจ่ายออกไปหรือ? เหตุใดเจ้าไม่สู้เพี่อลาภยศ หา!”
“เล่าเรียนศึกษา?” บุรุษยกน้ำชาที่โยนมู่เจิ้งอี้ออกมาหัวเราะเยาะ “เขาถูกขับไล่ออกมาจากสำนักบัณฑิตแล้ว แม้แต่ไปสอบขุนนางยังไปสอบไม่ได้ ยังคิดฝันจะได้เป็นขุนนางสร้างชื่อเสียงจากการสอบอีกหรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” แม่เฒ่าเจียงสั่นสะท้านไปทั้งตัว “เพราะเหตุใด เหตุใดเจ้าถึงถูกไล่ออก?”
“เพราะเหตุใด? ท่านถามว่าเพราะเหตุใดน่ะหรือ” เมื่อเห็นผู้คนมากมายเริ่มชี้ไม้ชี้มือมา มู่เจิ้งอี้ก็เสียหน้าย่อยยับ ไม่เสแสร้งอีกต่อไป “ท่านคิดว่าแค่จ่ายค่าเล่าเรียนแล้วก็จะเรียนได้ดีเช่นนั้นหรือ? ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้อื่นเขากินอะไร สวมใส่เสื้อผ้าอย่างไร แล้วข้ากินอะไรสวมเสื้อผ้าอย่างไร? ทุก ๆ วันที่ข้าอยู่ในสำนักบัณฑิต ข้าถูกคนดูถูกเหยียดหยาม ถูกคนกลั่นแกล้งรังแก”
“เจ้า เจ้า… เจ้าไปที่นั่นเพื่อร่ำเรียน ไม่ใช่ไปเพื่อเปรียบเทียบความมั่งคั่งกับผู้อื่น” แม่เฒ่าเจียงหัวเราะเยาะอย่างคับแค้นใจกับหลานชายคนโตคนนี้
ผู้คนที่มุงดูทนไม่ได้อีกต่อไป เอ่ยตำหนิมู่เจิ้งอี้ว่า “เจ้าหนุ่ม ข้าเห็นเจ้ามักจะมาที่นี่อยู่บ่อย ๆ เกรงว่าเงินทั้งหมดที่ครอบครัวเจ้าให้มาคงเอามาใช้จ่ายที่นี่กระมัง เจ้าประพฤติตนไม่ดีเอง ยังกล้าตำหนิครอบครัวว่าให้เงินเจ้าน้อยอีกหรือ? การแต่งกายของย่าเจ้าดูไม่เหมือนมาจากครอบครัวที่มั่งมี สามารถส่งเสียให้เจ้าเรียนหนังสือได้ก็ไม่เลวแล้ว”
“นั่นสิ ในหมู่บ้านของพวกเราก็มีบัณฑิตเช่นกัน ครอบครัวของเขายากจน แต่ผู้อื่นเขาขยันหมั่นเพียร ครั้งนี้ยังสอบขุนนางได้ซิ่วไฉเชียวนะ!”
“ถึงแม้คนที่อยู่ในหมู่บ้านของพวกเราจะสอบไม่ผ่าน แต่เขาก็ยังตรากตรำร่ำเรียน เขาบอกว่าจะเข้าร่วมการสอบครั้งหน้า แต่ไม่เห็นได้ยินว่าเขาจะนำเงินที่ครอบครัวให้มาไปเข้าหอนางโลมเช่นนี้!”
มู่เจิ้งอี้เห็นผู้คนมากมายเริ่มด่าทอต่อว่า เขาไม่อยากทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าอยู่ที่นี่จึงคิดจะผลักแม่เฒ่าเจียงออกแล้ววิ่งหนีไป
แม่เฒ่าเจียงจะปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไร นางกอดเขาไว้อย่างแน่นหนา “เจ้าไปที่สำนักบัณฑิตกับข้า ข้าจะขอร้องให้ท่านอาจารย์รับเจ้ากลับไป เจ้าเป็นความหวังสุดท้ายของย่านะ! อี้เอ๋อร์!”
หากกล่าวว่ามู่ตงหยวนเป็นผู้ทำลายความภาคภูมิใจของแม่เฒ่าเจียง ความจริงที่ว่ามู่เจิ้งอี้ถูกขับไล่ออกจากสำนักบัณฑิตก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หัวใจของแม่เฒ่าเจียงแหลกสลาย
“เหตุใดเจ้าจึงน่ารำคาญนัก ยายแก่ใกล้ตายคนนี้นี่!” มู่เจิ้งอี้ผลักแม่เฒ่าเจียงออกไปอย่างหมดความอดทน “อย่ามาวุ่นวายกับข้า หากอยากสร้างความอับอายก็ทำไปคนเดียว”
แม่เฒ่าเจียงล้มลงบนพื้น ร้องไห้ฟูมฟายออกมาเสียงดัง “สวรรค์ ข้าทำผิดร้ายแรงอะไร เหตุใดจึงทำเช่นนี้กับข้า? ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”