สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 246 ลู่เซวียนลาออก
บทที่ 246 ลู่เซวียนลาออก
บทที่ 246 ลู่เซวียนลาออก
มู่ซืออวี่ที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในห้องครัวได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นอันอวี้ นางจึงส่งยิ้มให้ “นอนหลับสบายหรือไม่?”
อันอวี้พยักหน้าเบา ๆ “ข้าไม่เคยนอนเตียงที่นุ่มเช่นนี้เลย”
“ตอนเช้ามีแป้งทอดต้นหอมกับข้าวต้มผักเป็นอาหารเช้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ หากเจ้ามีของที่อยากกินก็บอกข้าได้ ข้าจะทำให้” มู่ซืออวี่กล่าว “เมื่อวานนี้กินของมันเยอะเกินไป วันนี้จึงอยากจะกินอะไรเบา ๆ เสียหน่อย”
“ข้ากินได้หมดจ้ะ” อันอวี้กล่าว “พี่มู่ ข้าอยากเรียนทำอาหารจากท่าน หากข้าทำเป็นแล้ว ภายหน้าข้าจะได้ทำอาหารเช้าให้ท่าน”
“ข้าชอบทำอาหาร เจ้าอย่าได้มาแข่งกับข้าเชียว” มู่ซืออวี่เอ่ยยิ้ม ๆ “ที่บ้านยังมีอย่างอื่นอีกมาก เจ้าทำอย่างอื่นก็ได้”
ประตูเล้าไก่ยังไม่ได้เปิด ลู่ฉาวอวี่จึงไปเปิดประตูเล้าไก่ ไก่กว่ายี่สิบตัววิ่งส่งเสียงจิ๊บ ๆ ออกมา
เสี่ยวเฮยวิ่งไล่ไก่ไปทั่วทั้งลานบ้าน
“เสี่ยวเฮย อย่าซนสิ” ลู่จื่ออวิ๋นส่งเสียงฮึดฮัด “หากเจ้าทำให้พวกมันกลัวจนวันนี้ไม่ยอมออกไข่ ดูซิว่าวันนี้ข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
อันอวี้ได้ยินเสียงของสองพี่น้องจึงถามมู่ซืออวี่ว่า “วันนี้ฉาวอวี่ไม่ต้องไปที่สำนักศึกษาหรือจ๊ะ?”
“พอดีว่าเป็นวันหยุดน่ะ อีกสองวันค่อยกลับไป” มู่ซืออวี่กล่าว “แป้งทอดใกล้เสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าแบ่งบางส่วนไปให้ท่านแม่และพี่ชายของเจ้าด้วย”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ” อันอวี้ปฏิเสธ “พี่ชายข้าอยู่ที่บ้าน ท่านแม่ข้าคงทำของอร่อย ๆ ให้เขาทานแล้ว”
มู่ซืออวี่ไม่บังคับ เพียงแค่ตอบรับว่า ‘อืม’
กลิ่นของต้นหอมอบอวลขึ้นมา และโชยเข้าจมูกพวกเขาทันที
อันอวี้ที่นั่งเติมฟืนอยู่ตรงนั้นเพียงได้กลิ่นหอมหวน ท้องของนางก็ส่งเสียงร้องออกมา
เมื่อไม่กี่วันก่อน ถึงแม้นางจะหิวเพียงใดก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร เหตุใดวันนี้เมื่อได้กลิ่นหอมนี้ท้องกลับส่งเสียงขึ้นมาเล่า?
หลังจากนำข้าวต้มและแป้งทอดต้นหอมไปวางบนโต๊ะแล้ว สุดท้ายจึงยกผักดองที่มู่ซืออวี่ทำด้วยตนเองไปที่โต๊ะ
เซี่ยคุนช่วยพยุงอันอวี้นั่งลง จับมือนางไปไว้ตรงถ้วย จากนั้นจึงส่งแป้งทอดต้นหอมแผ่นหนึ่งให้นาง
“น้าอวี้ อีกเดี๋ยวอวิ๋นเอ๋อร์จะพาท่านไปดูรอบ ๆ! ถึงแม้ท่านจะไม่ได้มาบ้านเราเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้ท่านยังไม่เคยเดินไปดูรอบ ๆ คงไม่ค่อยคุ้นกับที่นี่นัก” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น
อันอวี้พยักหน้าอย่างเขินอาย “อืม ขอบคุณอวิ๋นเอ๋อร์”
“ข้าอยากพาอันอวี้ไปรักษาที่เมืองซูโจว” เซี่ยคุนเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “หลังจากไปเยี่ยมบ้านภรรยาครั้งแรกแล้วค่อยไป ได้หรือไม่?”
“ได้สิ! ข้าเห็นด้วย” มู่ซืออวี่ตอบตกลงทันที “ระยะนี้ข้ายุ่งนัก ท่านไปเถอะ อีกอย่าง หากดึกเกินไปข้าก็คงอยู่ในเมือง”
ที่บ้านยังมีลู่เซวียน ให้เขาดูแลอวิ๋นเอ๋อร์เพียงชั่วครู่ชั่วยามย่อมไม่มีปัญหา ลู่เซวียนก็ไม่ใช่คนไม่ได้เรื่องได้ราวอันใด ตอนที่เจ้าของร่างเดิมยังอยู่ ร่างกายของลู่เซวียนอ่อนแอเพียงนั้นยังสามารถเข้าครัวทำอาหารทานได้
“ข้า… ข้าไม่ไป” อันอวี้รู้ว่าเซี่ยคุนอยากรักษาดวงตาของนาง ทว่าค่ารักษานั้นแพงเกินไป
“เชื่อฟังข้าเถิด” เซี่ยคุนคว้ามือของอันอวี้มากุม “หากดวงตาของเจ้าหายดีแล้ว ก็จะสามารถช่วยงานได้หลายอย่าง เจ้าไม่อยากช่วยทุกคนหรือ?”
“ถ้าหาก… ถ้าหากจ่ายค่ารักษาไปแล้วตาของข้ายังไม่หายดีเล่า?” นี่เป็นสิ่งที่อันอวี้กลัวที่สุด
“ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน” เซี่ยคุนตอบ “จะต้องหายดีเป็นแน่”
“หากเจ้าไม่ลองดูก็ยอมแพ้แล้ว เช่นนั้นจะไม่เสียดายไปชั่วชีวิตหรือ? หากลองแล้วไม่เกิดผล อย่างไรก็ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เจ้าก็ต้องลองดู”
อันอวี้เป็นสะใภ้ใหม่ ยังไม่คุ้นชินกับบ้านใหม่หลังนี้
ลู่จื่ออวิ๋นจึงพาอันอวี้ไปเดินทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในบ้านด้วยตนเอง นางจะได้เข้าใจส่วนต่าง ๆ ของบ้านมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่อันอวี้จะแต่งเข้ามา ทุกพื้นที่ในบ้านที่มีสิ่งกีดขวางก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนใหม่แล้ว
อันอี้หางนั่งอ่านหนังสืออยู่ในลานบ้าน หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงผ่อนคลายของอันอวี้ดังมาจากบ้านข้าง ๆ หัวคิ้วของเขาค่อย ๆ คลายลง
อวี้ซื่อเพิ่งกลับมาจากซักผ้า ครั้นได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากบ้านข้าง ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “แต่งลูกสาวออกจากบ้านประหนึ่งสาดน้ำออกไปจริง ๆ”
“ท่านแม่ ท่านอยากกลับไปที่เดิมที่เคยอยู่หรือจะหาที่ใหม่อยู่ขอรับ?” อันอี้หางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากอยากไปอยู่ที่เดิม แล้วที่นั่นยังไม่ถูกคนอื่นเช่า เช่นนั้นข้าจะกลับไปคุยอีกครั้ง”
“ไม่ต้อง เปลี่ยนเป็นที่อื่นเถอะ” อวี้ซื่อขมวดคิ้ว “ที่นั่นยุ่งเหยิงวุ่นวาย อยู่ไม่สบาย”
“ขอรับ”
“จะย้ายจริง ๆ หรือ? ข้าคิดว่าที่นี่ก็ดีไม่น้อย”
ลูกสาวอยู่บ้านข้าง ๆ หากมีเรื่องอะไร นางก็สามารถไปหาได้ทันที ถึงแม้ลูกเขยจะดูเย็นชา แต่ในเมื่อนางเป็นแม่ยาย จะสั่งอะไรเขาไม่ได้เลยเชียวหรือ? เหตุใดต้องย้ายไปที่ที่ไม่คุ้นเคยด้วย?
อันอี้หางไม่ตอบ ทว่าความคิดเขากลับชัดเจนแล้วว่า ‘เรื่องนี้ตัดสินใจแล้ว’
ยามบ่าย มู่ซืออวี่กำลังจะไปส่งอาหารให้ลู่เซวียน ทว่ากลับเห็นลู่เซวียนโมโหกลับมาพร้อมลู่จื่ออวิ๋น
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม “ไปทะเลาะกับผู้ใดมา?”
“สำนักศึกษาหมู่บ้านข้าง ๆ … เฮอะ ช่างน่าขันยิ่งนัก” ลู่เซวียนเอ่ยอย่างคับแค้นใจ “ถึงแม้จะอ้อนวอนร้องขอให้ข้ากลับไป ข้าก็ไม่กลับไปเด็ดขาด”
มู่ซืออวี่หันมามองลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นเบ้ปากแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์เฉินผู้นั้นช่างน่ารำคาญจริง ๆ เขาทำให้ท่านอาไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ่อย ๆ ทั้งยังกล่าวอีกว่าท่านอารับศิษย์หญิงเพราะมีเจตนาร้าย เดิมทีวันนี้มีหลายครอบครัวส่งลูกสาวของพวกเขามาเรียน เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ทุกคนก็ล้วนกลับไปหมดแล้ว”
“หากเป็นแค่นี้ก็แล้วไปเถิด แต่เขายังปล่อยข่าวลือว่าข้า…” ลู่เซวียนกล่าวต่อ “เขาเป็นคนจากหมู่บ้านข้าง ๆ หัวหน้าหมู่บ้านย่อมปกป้องเขา ต่อหน้าผู้คนมากมายก็ไม่ไว้หน้าข้า หึ!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำแล้ว” มู่ซืออวี่ไม่พอใจ “พวกเราไม่ได้ขาดแคลนเงิน แค่เพียงอยากหาเรื่องให้เจ้าทำฆ่าเวลา อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับทุกคน แต่บัดนี้ทำแล้วไม่มีความสุข เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำผิดต่อตนเอง”
“อืม” ลู่เซวียนพยักหน้า “ข้าไม่ทำแล้ว”
“น้องสามี เจ้าอยากไปเล่าเรียนที่สำนักบัณฑิตเขาเขียวต่อหรือไม่?” จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็เอ่ยถามขึ้นมา
ลู่เซวียนชะงักงันไปชั่วขณะ “หา?”
“ตอนนี้เจ้าได้เป็นซิ่วไฉแล้ว ภายหน้าจะต้องก้าวหน้ารุ่งเรืองมีชื่อเสียงเป็นแน่ บางทีครานี้อาจมีมือคอยผลักเจ้าให้ไปสู่อีกเส้นทาง เจ้าคิดอย่างไร?”
“แต่สำนักบัณฑิตเขาเขียว…” ลู่เซวียนไม่รังเกียจที่จะศึกษาเล่าเรียนต่อ เพียงแต่เขาออกมาหลายปีเพียงนี้แล้ว หากต้องกลับไปเรียนกะทันหัน ย่อมต้องมีเรื่องมากมายให้ต้องไตร่ตรอง
“เจ้าค่อย ๆ คิด อย่างไรเสียก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แต่ ‘คันฉ่องสองด้าน’ เล่มต่อไปต้องเขียนออกมาและส่งให้หอหนังสือหงเหวินโดยเร็ว”
ลู่เซวียนไม่ได้ไตร่ตรองนานนัก คืนนั้นหลังจากลู่อี้กลับมาแล้ว เขาก็เรียกลู่อี้ไปปรึกษาหารือเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าสองพี่น้องพูดคุยอะไรกัน แต่เรื่องที่ลู่เซวียนจะไปเล่าเรียนต่อนั้นเป็นที่แน่ชัดแล้ว
ลู่เซวียนกำลังจะไปศึกษาที่สำนักบัณฑิตเขาเขียว ลู่อี้จึงไปหาท่านอาจารย์ไป๋เหวยคังด้วยตนเองพร้อมส่งของขวัญน้อยใหญ่ให้มากมาย แทบไม่ต้องกล่าวอันใด อาจารย์ไป๋เหวยคังก็รับลู่เซวียนไว้ ส่วนสิ่งของส่วนใหญ่นั้นส่งกลับคืน รับไว้เพียงชาเท่านั้น
“มีคนอยู่หรือไม่?” เสียงของหญิงนางหนึ่งดังขึ้นจากข้างนอก “ลู่เซวียนอยู่บ้านหรือไม่?”
มู่ซืออวี่กำลังกวาดขี้ไก่ในขณะที่นางได้ยินเสียงประตูบ้านเปิดออก
“ท่านคือ…”
“ท่านเป็นพี่สะใภ้ของลู่เซวียนกระมัง?” หญิงสาวนางนั้นยิ้มแย้ม “ข้าชื่อหวัง มาจากหมู่บ้านข้าง ๆ เวลาที่ลู่เซวียนไม่ได้นำอาหารไป เขามักซื้อแต่อาหารบ้านเรา”