สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 247 อวิ๋นเอ๋อร์ทุกข์ใจ
บทที่ 247 อวิ๋นเอ๋อร์ทุกข์ใจ
บทที่ 247 อวิ๋นเอ๋อร์ทุกข์ใจ
ครึ่งชั่วยามต่อมา หวังซื่อก็ออกจากบ้านตระกูลลู่ไป
มู่ซืออวี่ลูบใบหน้า ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหันหลังกลับ
หวังซื่อเป็นมารดาของจ้าวหรงเอ๋อร์จากหมู่บ้านข้าง ๆ และหนนี้นางมาเพื่อบอกลา
ช่วงนี้นางต้องพบเรื่องทำนองนี้บ่อยครั้ง และชาชินกับการรับมือ แต่ไม่ว่าจะคุ้นชินเพียงไรก็นับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากพอตัว
ลู่จื่ออวิ๋นกลับมาจากข้างนอกอย่างห่อเหี่ยว ดูมิได้เบิกบานนัก
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่ซืออวี่นั่งลงแล้วเอ่ยถาม “ผู้ใดทำหวานใจของเราขุ่นเคือง?”
ที่เรียกอย่างนี้เพราะลู่จื่ออวิ๋นเป็นคนปากหวาน มู่ซืออวี่เอ่ยหยอกว่าเจ้าตัวเล็กถูกปั้นขึ้นจากน้ำตาลเสียด้วยซ้ำ
“เอ้อร์หนิวจะต้องไปเป็นสะใภ้เด็กในเมือง” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “พ่อแม่ของนางจะส่งนางไปที่บ้านตระกูลเจียงแล้ว”
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “อย่างนี้นี่เอง!”
“ท่านแม่ สะใภ้เด็กคืออะไรหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม “เหอฮัวบอกว่านางเป็นสะใภ้ของบ้านอื่นเหมือนป้าจางบ้านต้าจู้ แต่ป้าจางเป็นผู้ใหญ่ เป็นลูกสะใภ้ใครย่อมไม่แปลก แต่เอ้อร์หนิวอายุมากกว่าข้าสองปีเองนะเจ้าคะ”
“บ้านที่กินอยู่อย่างอดอยากจะส่งบุตรสาวของตนเป็นสะใภ้เด็กเข้าบ้านอื่น เมื่อพวกนางเติบโตก็จะแต่งงานกับบุตรของบ้านนั้น” มู่ซืออวี่ไขข้อข้องใจแก่ลู่จื่ออวิ๋นโดยไร้ปิดบัง
“แต่น้องชายของเอ้อร์หนิวมีข้าวขาว เนื้อสัตว์ และขนมอบให้กิน แค่แบ่งของเหล่านั้นให้เอ้อร์หนิวบ้าง เอ้อร์หนิวมิต้องอดตายแท้ ๆ นี่นับว่าแก้ปัญหาได้แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”
มู่ซืออวี่ลูบเรือนผมของลู่จื่ออวิ๋น “ไม่หรอก นั่นเพราะพวกเขาใจดำเกินไป แม่รู้ว่าอวิ๋นเอ๋อร์สงสารเอ้อร์หนิว แต่ทุกผู้ล้วนมีชะตาของตน เราทำอะไรไม่ได้หรอกนะ”
“ท่านแม่ ช่วยเอ้อร์หนิวหน่อยไม่ได้หรือ? เขากล่าวกันว่าบุตรชายบ้านเจียงเป็นคนโง่เง่า ชอบต่อยตีคนเป็นที่สุด หากให้เอ้อร์หนิวไป นางต้องถูกรังแกแน่ ๆ เจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นกระตุกมือของมู่ซืออวี่เป็นการเร่งเร้า
มู่ซืออวี่ลังเล “เจ้าอยากให้ข้าช่วยนางอย่างไร?”
“เราซื้อนางดีหรือไม่เจ้าคะ? ตระกูลเจียงจ่ายเงินให้บิดาของเอ้อร์หนิว 50 ตำลึงเงินก็ซื้อตัวเอ้อร์หนิวได้แล้ว เราจ่ายมากกว่านั้นสักหน่อยก็อาจพาเอ้อร์หนิวกลับมาได้ เอ้อร์หนิวขยันขันแข็ง กระทำการได้มากมาย ซื้อนางไปมิเสียเปล่าแน่เจ้าค่ะ”
“ได้”
อวิ๋นเอ๋อร์น้อยเมตตาเพียงนี้ นางหรือจะปฏิเสธได้ลงคอ? นอกจากนั้นเอ้อร์หนิวยังน่าสงสารจริง ๆ
มู่ซืออวี่พกตำลึงเงินออกไป ก่อนจะขอให้อวิ๋นเอ๋อร์น้อยรอฟังข่าวที่บ้าน
ระหว่างนั้นเซี่ยคุนขับรถม้ากลับมา เทียบรถม้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงช่วยพยุงอันอวี้ออกมา
อันอวี้แต่งกายดุจสตรีผู้แต่งงานแล้ว สวมอาภรณ์ที่เซี่ยคุนซื้อให้นาง บนศีรษะปักปิ่นเงิน ดูสง่างามเปี่ยมราศี
หลังจากเซี่ยคุนพยุงอันอวี้ลงมา เขาก็เห็นลู่จื่ออวิ๋นอุ้มเสี่ยวเฮยด้วยสีหน้ามู่ทู่ จึงถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น
“เอ้อร์หนิว…” ลู่จื่ออวิ๋นเล่าเรื่องเกี่ยวกับเอ้อร์หนิวออกมา
เซี่ยคุนเข้าใจกระจ่าง “เช่นนั้น แม่เจ้าก็ไปเสียเที่ยวแล้วล่ะ”
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ?”
“เมื่อครู่นี้ยามข้าเข้าหมู่บ้าน ข้าเห็นรถม้าคันหนึ่งขับออกนอกหมู่บ้าน เอ้อร์หนิวนั่งอยู่ในนั้น”
จบประโยคนั้น มู่ซืออวี่ก็กลับมา
ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งไปหามารดาทันที “ท่านแม่”
มู่ซืออวี่ถอนใจ “ขอโทษนะอวิ๋นเอ๋อร์ แม่ไปถึงช้าไป เอ้อร์หนิวถูกพาตัวไปแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นดวงตาแดงรื้นคอตกอย่างทุกข์ใจ
“ข้าจะไล่ตามรถม้านั่นไป เช่นนี้ดีหรือไม่” เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ มู่ซืออวี่ย่อมทนไม่ได้ จึงตั้งใจจะลองใหม่อีกหน
ลู่จื่ออวิ๋นส่ายหน้า “ท่านแม่ ช่างเถอะเจ้าค่ะ ตระกูลเจียงมิได้ขาดเงินทอง คงไม่ส่งคืนแน่ ๆ”
มู่ซืออวี่เองก็คิดเช่นกัน ถ้าเอ้อร์หนิวยังไม่ถูกพาไป นางยังพอสู้ราคาไถ่ตัวจากบิดาของเอ้อร์หนิวได้ แต่เมื่อคนถูกพาไป เจ้าตัวก็เป็นคนของตระกูลเจียงแล้ว ตระกูลใหญ่เช่นนั้นจะถูกเงินอันน้อยนิดเพียงนี้ฟาดหัวได้อย่างไร
หากมู่ซืออวี่ไม่อาจช่วยเอ้อร์หนิวได้ เกรงว่าลู่จื่ออวิ๋นคงจิตตกอยู่นาน
เรื่องของเอ้อร์หนิวแพร่สะพัดไปในหมู่บ้าน บิดามารดาของเอ้อร์หนิวมิได้สนคำครหาของผู้ใด คิดเพียงว่าพวกตนได้แลกสิ่งไร้ค่า สูบกินเงินอย่างเปล่าประโยชน์ไปเป็นเงินหลายสิบตำลึงเช่นนี้ ย่อมส่งบุตรน้อยอ้วนจ้ำม่ำเข้าสำนักศึกษาในละแวกนี้ได้ วาดฝันว่าสักวันบุตรชายน้อยของพวกตนจะเผยแววเจิดจรัส ผู้ใดก็ไม่อาจดูถูกพวกตนได้อีก แล้วใครเล่าจะคิดถึงตัวถ่วงไร้ประโยชน์นั่นอีก
เซี่ยคุนพาอันอวี้กลับเข้าไปในบ้าน
ณ วันที่อันอวี้กลับสู่เรือน ผู้คนมากมายในหมู่บ้านก็มารวมตัวกันคับคั่ง เปรี้ยวปากตื่นเต้นกันยามเห็นถุงของขวัญน้อยใหญ่
“พี่สะใภ้อวี้ เขยของเจ้าประเสริฐแท้ พวกเราอิจฉาจะตายแล้ว”
“นั่นสิ ยามลูกสาวข้าหวนเยือนเรือนเก่า เขยของข้าเตรียมไข่มาสิบฟอง เงินสิบเหวินกับน้ำตาลหนึ่งถุง ตระหนี่เกินจะกล่าว”
“บ้านเจ้ายังมีเตรียมของ แต่บ้านข้าสิ ขนสักเส้นก็มินำพา ชวนให้ข้าโมโหแทบตาย”
อวี้ซื่อเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “เรื่องอื่นมิสำคัญ สิ่งสำคัญคือใจ หากไร้สิ่งอื่นใด ข้าขอมิเสวนาต่อ”
ว่าแล้วนางก็ปิดประตู
อันอี้หางอยู่บ้าน และอวี้ซื่อก็มิได้ใจร้าย นางทำอาหารรสชาติไม่เลวมาให้เป็นสำรับ
ที่โต๊ะอาหาร อันอี้หางกล่าวขึ้นว่าพวกเขากำลังจะย้ายเข้าเมือง
เขารินสุราแก่เซี่ยคุนแล้วกล่าวต่อ “น้องสาวข้า ลำบากน้องเขยดูแลแล้ว”
“นี่คือสิ่งที่ข้าควรกระทำแล้ว” เซี่ยคุนกล่าว “มีห้องพักแล้วหรือไม่? หากยังมิได้หา ข้าวานคนช่วยสืบหาได้”
“พบแล้วล่ะ ไม่รบกวนน้องเขยหรอก” อันอี้หางกล่าว “บ้านนี้ต้องฝากเจ้าแล้ว มันเก่าไปหน่อย แต่ก็ใช้เก็บของได้ พวกเจ้าจัดสรรกันเถอะ”
หลังจากกลับมาเยือนบ้าน เซี่ยคุนก็พาอันอวี้เข้าเมืองซูโจว
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ของหลินต้าจ้วงในคราวนั้น ถงซื่อก็ปิดบ้านเงียบมาตลอด มู่ซืออวี่จึงให้นางเข้าเมืองมาดูแลลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหาน ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็มีบ้านอาศัย ถงซื่อสบายใจมากกว่าเมื่ออยู่ที่นี่
ถงซื่อจากไปไม่ทันไรก็มีแขกมาเยือนถึงหน้าบ้าน
มู่ซืออวี่มองหญิงสาวร่างผอมบางผู้หนึ่งที่มาหานางถึงหน้าประตู
“ท่านคือ…”
“ข้าเป็นป้าฝั่งแม่ของเจ้า” หญิงสาวกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “แม่เจ้าอยู่ไหนหรือ?”
“นางไม่อยู่บ้าน”
“นางไปไหนหรือ?” หูซื่อกล่าวอย่างไม่สบายใจนัก “ข้ามีบางเรื่องต้องคุยกับนาง”
“มาหานางด้วยเหตุใดหรือ?” มู่ซืออวี่ยกน้ำชามา “หากมีเรื่องใด บอกข้าก็ได้”
หูซื่อเงยหน้ามองอีกฝ่าย “ข้า…”
“อย่าห่วงเลย ค่อย ๆ พูด” มู่ซืออวี่กล่าว
“ข้า… ข้าอยากยืมเงินสักหน่อย” หูซื่อหน้าแดง กล่าวอย่างละอาย “ข้ารู้ว่าวัน ๆ ของพี่สาวข้าก็มิใช่สบาย แต่นอกจากนางแล้ว ข้าก็หาที่พึ่งอื่นใดมิได้แล้ว”
“ท่านป้าพบเหตุลำบากใดมาหรือ?” มู่ซืออวี่เห็นว่าสตรีผู้นี้ดูซื่อสัตย์ จึงยังพูดกับอีกฝ่ายต่อไป
“สามีข้าล้มป่วย สกุลฝั่งเขาก็มิได้ให้เงินมารักษา ข้าทำได้เพียงต้องมาขอยืมจากพี่สาว” หูซื่อกล่าว “10 ตำลึงเงินได้หรือไม่?”
“ท่านอาศัยที่ใด? หากอยู่มิไกลนัก หมู่บ้านเรามีหมอท่านหนึ่ง เราเชิญเขาไปดูอาการสามีท่านเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปไหว้วานหมอในเมือง”
“ไม่ไกลนักหรอก ชั่วยามเดียวก็ถึงแล้ว” หูซื่อกล่าว “เสียแต่ว่าในยามนี้เราไม่มีเงินเลย”
“ข้าจะให้ท่านยืมไปก่อน เมื่อมีก็ค่อยคืน” มู่ซืออวี่กล่าว “ยามนี้ยังไม่สาย ข้าจะไปดูว่าท่านหมอจูอยู่บ้านหรือไม่ หากเขาอยู่ เราจะออกเดินทางกันเลย”
ขณะเดียวกัน มู่ซืออวี่ก็ยังคงสังเกตกิริยาท่าทางของหญิงคนนี้ เมื่อไม่พบว่านางแสดงความรู้สึกผิดหรือพิรุธใด ๆ จึงยอมเชื่อคำบอกเล่าของนาง
ระหว่างทางไปเยือนบ้านท่านหมอจู นางก็เสวนากับสตรีผู้นี้ไปตลอดทาง และเมื่อกล่าวถึงเรื่องระหว่างหูซื่อกับถงซื่อ คำพูดของอีกฝ่ายก็ฟังดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น