สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 249 ความกระวนกระวายของลู่อี้
บทที่ 249 ความกระวนกระวายของลู่อี้
บทที่ 249 ความกระวนกระวายของลู่อี้
“รักษาได้หรือไม่?”
มู่ซืออวี่ยกก๋วยเตี๋ยวมีดตัด*[1] มาให้ท่านหมอจู
ท่านหมอจูเองก็ไม่ได้เกรงใจ เขาเพียงล้างมือแล้วนั่งลงกิน “ก็ยากจะกล่าว ไม่ใช่โรคร้ายแรงหรอก แต่พวกเขากลับเลี้ยงไข้จนยืดเยื้อเพียงนี้ สุดท้ายก็เหลือเพียงลมหายใจร่อแร่แล้ว”
“ป่วยวัณโรคหรือ?”
“จะเป็นวัณโรคไปได้อย่างไร หากเขาเป็นวัณโรค มีหรือจะอยู่รอดมาจนถึงวันนี้” ท่านหมอจูกล่าว “เดิมทีบัณฑิตผู้นั้นสุขภาพย่ำแย่ เป็นแค่หวัดธรรมดาทั่วไป แต่ไปเจอหมอปลอมเข้าน่ะสิ หมอปลอมออกใบสั่งยาเยอะแยะมากมาย ไม่เพียงแต่ไม่อาจรักษาโรคของเขาได้เท่านั้น แต่ยังทำเขาอาเจียนเละเทะ ไอค่อกแค่กไม่หยุด สภาพน่าสะพรึงกลัว ครอบครัวทิ้งไม่รักษา โยนเขาเข้าห้องมืด ๆ ชื้น ๆ ซ้ำยังไม่ได้กินอาหารดี ๆ นอนหลับไม่เหมาะสม ไร้การรักษาเยียวยาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้”
“ป้าข้าว่าอย่างไรบ้าง?”
“นางก็ไม่สู้คนเหมือนแม่เจ้านั่นแหละ ข้าบอกนางไปว่า หากย้ายเขาออกไปอยู่ห้องอื่นแล้วให้ดูแลเขาดี ๆ บางทีเขาก็อาจอยู่ต่อได้อีกสองสามปี ถ้านางไม่ทำ…”
มู่ซืออวี่นึกไปถึงถงซื่อเมื่อกาลก่อน หากหูซื่อไม่กล้าเหมือนถงซื่อ เกรงว่าท่านลุงที่ไม่เคยพบหน้ากันผู้นี้อาจจะต้องตาย…
หวังว่าท่านป้าจะยืนหยัดเพื่อสามีของนาง!
“จะว่าไป ท่านหมอจู เราตั้งใจจะย้ายเข้าเมือง ข้ากลับมาเพราะลู่เซวียนกับอวิ๋นเอ๋อร์อยู่บ้าน แต่ยามนี้ลู่เซวียนไปเรียนแล้ว ข้าว่าจะพาอวิ๋นเอ๋อร์เข้าเมือง”
“ได้ เช่นนั้นข้าจะไปเปิดร้านยาในเมือง” ท่านหมอจูกล่าวอย่างราบเรียบ
“ท่านจะเปิดร้านยาหรือ?”
“มันเคยเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ในเมื่อยามนี้พวกเจ้าเข้าเมืองไปกันหมด แล้วเหตุใดข้าจะไม่เข้าไปในเมืองบ้างเล่า?”
“เช่นนั้นก็ตามนี้ เรื่องตู้ยาร้านท่านให้ข้าจัดการเองเถิด”
“เจ้านี่นะ มาทำกิจการบนหัวข้าเสียแล้ว” ท่านหมอจูถลึงตามองนางอย่างดุดัน
“ข้าคิดเพียงค่าวัสดุ ค่าแรงไม่คิด แทนที่ท่านจะจ้างวานผู้อื่นให้เสียเงินมากมาย ส่งให้ข้าจัดการจะไม่ประหยัดกว่าหรือ?” มู่ซืออวี่ตะล่อม
ท่านหมอจูเองก็จงใจหยอกนาง ในเมื่อเขาคิดจะเปิดร้านยา แน่นอนว่าตู้กล่องต่าง ๆ ย่อมต้องยกให้นางจัดการ หากปล่อยให้ผู้อื่นทำคงไม่ใช่เรื่องง่าย
คืนนั้นลู่อี้กลับบ้านดึก เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดในห้อง เขาก็ย่องไปดูที่ห้องลู่จื่ออวิ๋น ก่อนจะพบว่าคู่แม่ลูกนอนกอดกันกลมตามคาด
เขาย่องกลับไปนอนที่ห้องของตนตามลำพัง รู้สึกเพียงความเหน็บหนาว แม้จะแสนง่วงงุนก็ไม่อาจหลับตาลงได้
นานเพียงไรไม่อาจทราบได้ ขณะที่เขากำลังเคลิ้ม ๆ อยู่นั้น จู่ ๆ ก็มี ‘หมอน’ อุ่น ๆ มาอยู่ในอ้อมแขน
เมื่อลืมตาขึ้นมอง เขาก็พบว่ามู่ซืออวี่มาอยู่ตรงนี้เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้ นางมุดเข้ามานอนในอ้อมแขนของเขา
ลู่อี้พลันตาสว่าง มองเมียรักในอ้อมแขนตน ความเหนื่อยล้าอันสั่งสมมาหลายวันหายลับไปทันที
“ซืออวี่…”
“หืม…”
ลู่อี้ลูบแก้มนาง “เจ้าจะทิ้งข้าไปหรือไม่?”
มู่ซืออวี่ลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง “เหตุใดจึงถามเช่นนี้เล่า?”
“ไม่มีอะไร” ลู่อี้กอดนางไว้แน่น “เจ้าไม่ทิ้งข้าไปไหนหรอก”
เขาเองก็ไม่มีทางปล่อยนางไปเช่นกัน
มู่ซืออวี่ลูบแขน “ท่านกลับมาเมื่อใด?”
“ยามโฉ่ว*[1]”
“ย้ายครอบครัวไปในเมืองกันเถอะ เราจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอีก รออันอวี้กับเซี่ยคุนกลับมาก่อน เราจะพาพวกเขาไปอยู่ในเมืองด้วย หากพวกเขาอยากอยู่ในชนบทต่อก็สุดแท้แต่พวกเขา”
“ได้ คำเจ้าถือเป็นเด็ดขาด” ลู่อี้จุมพิตหน้าผากนาง
มู่ซืออวี่ง่วงงุนเกินไป นางผล็อยหลับไปอีกครั้ง
นางอยากอยู่คุยกับลู่อี้ต่ออีกหน่อย ทว่าเพราะความง่วงครอบงำ นางจึงไม่อาจกล่าวคำใดได้อีก
วันต่อมา มู่ซืออวี่ตื่นมาพบว่าลู่อี้ยังอยู่ นางมองลู่อี้ที่หันหลังให้พลางเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยสายตาประหลาดใจ
ลู่อี้ได้ยินด้านหลังเงียบไปก็หันมามอง
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่อี้เดินมาหานาง “ไม่ใช่ว่าเจ้าจะย้ายบ้านหรือ? ข้าจะอยู่ช่วยเจ้าย้าย”
“ย้ายวันนี้เลยหรือ?”
“อืม ย้ายวันนี้เลย” ลู่อี้กล่าว “นำติดตัวไปสองสามชุดพอ ที่เหลือเอาไว้ไปซื้อในเมือง บ้านนี้เราสร้างมากับมือ กลับมาพักสักสองสามวันก็ได้”
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นว่าลู่อี้ยังอยู่บ้าน จึงโผเข้ากอดเขาอย่างดีอกดีใจ
ลู่อี้อุ้มบุตรสาวของเขาให้ขึ้นขี่คอ ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะคิกคัก ความเศร้าเมื่อวันวานดูจะเลือนหายไปมากกว่าครึ่ง
เมื่อครู่มู่ซืออวี่บอกลู่อี้เรื่องของเอ้อร์หนิว และยังบอกเรื่องหูซื่อด้วย ลู่อี้จึงจงใจสร้างเสียงหัวเราะให้ลู่จื่ออวิ๋น ไม่อยากให้นางคิดถึงเรื่องทุกข์ใจเหล่านั้นอีก
หลังจากเก็บของที่จำเป็นเสร็จสิ้น พวกเขาก็รีบขนย้าย
จือเชียนช่วยถือสัมภาระน้อยใหญ่ขึ้นรถม้าแล้วเดินทางไปก่อน ลู่อี้บังคับรถม้าตามหลังพร้อมมู่ซืออวี่และลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นนอนหลับซบตักของมู่ซืออวี่ไปตลอดทาง
…
เมื่อเข้ามาในเมือง ก็ต้องเก็บกวาดบ้านกันอีกหน
ถงซื่อแสนยินดีเมื่อเห็นว่าพวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง
“อะไรก็ผู้อาวุโส ๆ ไม่ปล่อยให้ข้าทำอะไร ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย” ถงซื่อบ่นกับมู่ซืออวี่ “เข้าเมืองมาไม่กี่วันก็รู้สึกเหมือนไร้สิ่งใดให้ทำเสียแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทีรวดร้าวใจของถงซื่อ มู่ซืออวี่ก็หัวเราะ ทว่าหลังจากที่ภาพหูซื่อแวบผ่าน นางก็ขำไม่ออกแล้ว
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะบอก”
“อะไรรึ?”
ถงซื่อเห็นสีหน้าของนางค่อนข้างจริงจัง จึงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
มู่ซืออวี่เล่าเรื่องที่หูซื่อมาพบนาง
“ท่านหมอจูไปดูแล้ว เขาบอกว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก ป้าข้าอยากมาขอยืมเงิน ข้าจึงขอให้ท่านหมอจูไปดูท่านลุงสักหน่อยและจ่ายเงินให้เขา จากนั้นก็ให้นางยืมเงินอีกสองตำลึงเงิน จะได้ซื้อของอร่อย ๆ มาบำรุงท่านลุง”
เหตุที่ไม่ให้ยืมไปเยอะแยะนักก็เพราะรู้สึกว่าแม้จะให้ยืมมากไป ก็รังแต่จะตกสู่มือผู้อื่น คงไม่พ้นถูกผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบ ฉกฉวยผลประโยชน์เอาเสียเปล่า
“ข้าอยากไปหานาง” ถงซื่อโพล่งขึ้นมากะทันหัน “เราไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือด ทว่าเรามีเพียงกันและกัน ข้าไม่ได้เล่าเรื่องในครอบครัวของข้าให้เจ้าฟัง ก่อนหน้านี้เจ้าก็ฟังแต่ย่าเจ้า ไม่ได้รับรู้เรื่องราวของครอบครัวข้า วันนี้ข้าจะเล่าเรื่องเหล่านั้นให้เจ้าฟังแล้ว อยากฟังหรือไม่?”
“แน่นอน ข้าอยากฟัง” มู่ซืออวี่คว้ามือของถงซื่อ ปลอบใจนางอย่างเงียบ ๆ
สิ่งที่ถงซื่อเล่าให้นางฟังคล้ายคลึงกับที่เหยาซื่อเคยบอก ถงซื่อเล่าละเอียดกว่า ในขณะที่เหยาซื่อเล่ารวบรัดกว่า
“นับตั้งแต่ข้าแต่งงานกับพ่อเจ้า คนจากบ้านเกิดแม่ก็มาเยี่ยมเยือนไม่กี่ครั้ง และเมื่อเห็นว่าตักตวงผลประโยชน์จากข้าไม่ได้ พวกเขาก็ไม่มาหาอีก มีเพียงนางที่แวะเวียนมาหาข้าเป็นครั้งคราว หากไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุของลุงเจ้าเมื่อไม่กี่ปีก่อน ช่วงปีที่ผ่านมานี้เราคงไม่ต้องห่างเหินมากเพียงนั้น ข้าเองก็เคยไปแอบดูนางที่บ้าน เลยเห็นว่าสกุลที่นางแต่งเข้ารังแกนาง ข้าจึงไปโต้เถียงกับพวกเขา ทว่าทันทีที่ข้าจากมา พวกเขาก็ยิ่งแย่กับป้าเจ้าไปใหญ่ ข้าย่อมไม่กล้าสร้างเรื่องอีก”
“ท่านแม่ยังกล้าสร้างเรื่องอีกหรือ?”
“ข้า… ก็ข้าร้อนใจนี่!” ถงซื่อรำพึง “กระต่ายจนมุมยังกัดได้ นางเป็นผู้เดียวที่ดีกับข้า เห็นนางถูกรังแก แล้วข้าจะไม่ร้อนใจได้หรือ?”
“เอาเถิด ภายหลังข้าจะไปพบท่านป้ากับท่านด้วยนะ” มู่ซืออวี่กล่าว
“แล้วจะซื้ออะไรดีล่ะ?”
“ซื้อรึ? ไม่ซื้อทั้งนั้น” มู่ซืออวี่ตบหลังมือของถงซื่อเบา ๆ “ฟังข้านะ หากอยากให้นางหลุดพ้นจากบ้านนัั้น อย่าได้ซื้ออะไรไปเด็ดขาด”
[1] ก๋วยเตี๋ยวมีดตัด คือบะหมี่ที่ทำโดยการนวดแป้งให้เป็นก้อนกลมใหญ่ ๆ แล้วใช้มีดตัดแป้งออกเป็นเส้น ๆ
[2] ยามโฉ่ว คือเวลาประมาณตีหนึ่งถึงตีสาม