สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 254 การตอบโต้ของลู่เซวียน
บทที่ 254 การตอบโต้ของลู่เซวียน
บทที่ 254 การตอบโต้ของลู่เซวียน
สำนักบัณทิตเขาเขียว หลังจบคาบเช้า เหล่าศิษย์ก็พากันเดินออกมา หลายคนเสวนาถึงเรื่องที่ร่ำเรียนวันนี้
นี่คือการพักช่วงเที่ยง กลิ่นหอมยวนยั่วจากโรงครัวชักนำพวกเขาออกมา
ลู่เซวียนออกมาจากสุขาพอดี
มีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมาจากเขา และผู้อยู่ในละแวกนั้นก็รีบหลบไปไกลด้วยสีหน้ารังเกียจ
“ลู่เซวียน นี่เจ้าไปตกบ่ออาจมมาหรือ?”
สีหน้าของลู่เซวียนยากจะมอง ร่างซวนเซประหนึ่งใกล้ล้มลงเต็มที
เขาถูกขังไว้ในสุขามาตลอดวันนี้ จนกระทั่งเมื่อครู่มีผู้มาทำความสะอาดสุขามาพบเข้า เขาจึงถูกปล่อยตัว
ไม่รู้ว่าฝีมือใคร ตั้งแต่เขากลับมายังสำนักบัณฑิตเขาเขียว การกลั่นแกล้งเช่นนี้ก็เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน ลู่เซวียนกลั้นใจทน ไม่อยากก่อปัญหาให้แก่พี่ใหญ่ของเขา แต่วันนี้เขาไม่อยากทนต่อแล้ว
“นี่เป็นหนสุดท้าย” ลู่เซวียนกล่าวเสียงเย็น “หากข้ารู้ว่าผู้ใดทำ ข้าจะให้เขารู้ถึงจุดจบที่มาล่วงเกินข้า”
ทุกคนมองเขาด้วยสายตาพิกล ไม่มีผู้ใดถือเอาคำขู่ของเขาเป็นจริงเป็นจัง
ลู่เซวียนคือแมลงตัวน้อยซึ่งซุกอยู่ใต้ปีกพี่ใหญ่ของตน หากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ของเขา คนอย่างนี้คงตายไปหลายพันหนแล้ว
ไม่สิ! หากเจ้าคนป่วยนี่ไม่ได้มีพี่ชายดี ๆ เขาคงตายคาโรงหมอไปหลายปีแล้ว มีหรือจะมาเป็นเพื่อนร่วมชั้นพวกเขาเช่นนี้?
อันอี้หางเดินเข้ามากล่าวว่า “เจ้าไปอาบน้ำให้สดชื่นสักหน่อยเถิด ข้าจะนำอาหารไปให้เจ้าเอง”
“ขอบคุณมาก” ลู่เซวียนพยักหน้าให้อันอี้หางแล้วเดินไปยังห้องอาบน้ำ
มีผู้หยุดอันอี้หางไว้ แล้วกล่าวด้วยท่าทีพิกล “ข้าได้ยินว่าน้องสาวตาบอดของเจ้าแต่งกับทาสของครอบครัวลู่เซวียน น้องสาวเจ้าเป็นทาสไปแล้ว เจ้าเองก็ต้องลดขั้นเป็นบ่าวด้วยหรือ?”
“หากเจ้ายังพูดพล่อย ๆ อีก ข้าจะฟ้องเจ้าสำนัก” อันอี้หางกล่าวเนิบ ๆ “สิ่งที่เจ้าสำนักเกลียดที่สุด เจ้าน่าจะกระจ่างดีใช่หรือไม่?”
“พอ!” คนผู้นั้นเบื่อเสียเต็มประดา “นอกจากฟ้อง เจ้ายังทำอะไรได้บ้าง น่าเบื่อจริง ๆ!”
ลู่เซวียนอาบน้ำกลับมา พบว่าบนที่นอนของเขามีรอยน้ำแฉะ
เขากำผ้าเช็ดตัวในมือ แววตาปรากฏคลื่นกระเพื่อม
เขานึกถึงพี่สะใภ้ของเขาอย่างมู่ซืออวี่ นางจะทำอย่างไรหากพบเรื่องเช่นนี้? นางคงไม่ยอมเสียเปรียบแบบนี้แน่
ไม่สิ! สักครั้งนางก็ไม่ทน
ไม่นานในสำนักบัณทิตเขาเขียวก็ปั่นป่วน
กินข้าวพบหนอน หนูไต่ขึ้นเตียงกลางดึก เดินอยู่ดี ๆ ก็ลื่นล้ม เมื่อมองดูดี ๆ ก็พบว่ามีน้ำมันเลอะบนพื้น เข้าสุขากลางดึก บนฟ้าก็มีเงาขาว ๆ ล่องลอย
ศิษย์ทั้งหลายไม่อาจเป็นสุข!
“ถังซาน ฝีมือเจ้าหรือไม่?”
“ไฉนมาพูดว่าเป็นฝีมือข้าเล่า?”
“มีแค่เจ้าที่เบื่อพอจะทำเช่นนี้น่ะสิ ไม่ใช่ว่าไม่กี่วันก่อน เจ้าก็จงใจดัดนิสัยลู่เซวียนหรือ?”
“หูอวี่ เจ้านั่นแหละทำ! ไม่ใช่ว่าเช้านี้เจ้าขังลู่เซวียนในสุขาทั้งวันหรือ?”
“ถุย! ข้าก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายเถอะ ไม่เห็นหรือว่าข้าก็ถูกผีผู้หญิงชุดขาวนั่นหลอกจนแทบฉี่ราดน่ะ”
อันอี้หางมองชายหนุ่มข้างกายเขา
คนสกุลลู่นี่รังแกไม่ง่ายจริง ๆ นี่แหละอุปนิสัยคนสกุลลู่
เหตุใดจึงไร้ผู้ใดสงสัยลู่เซวียน? นั่นก็เพราะลู่เซวียนถูกมองว่า ‘ป่วย’ อยู่น่ะสิ
ดูใบหน้าอ่อนระโหยนั้นสิ แววตาเปี่ยมความพรั่นพรึง ท่าทางขวัญหนีดีฝ่อ เหมือนคนร้ายตรงไหน ดูเหมือนเหยื่อผู้หนึ่งมากกว่า
อันอี้หางเองก็คงถูกต้มเสียเปี่อยถ้าไม่ใช่เพราะเห็นลู่เซวียนกระทำการด้วยตาตนเอง
ว่าแล้วเชียว พวกแซ่ลู่มีแต่จิ้งจอกร้าย ศิษย์ทั้งหลายเองก็โง่งม ไปปลุกจิ้งจอกหลับให้ตื่นเสียได้ สมควรตายจริง ๆ
“เจ้าสำนัก ท่านก็เห็นแล้วว่าเรื่องราวชักไปกันใหญ่ หากปล่อยปัญหาดำเนินไปเช่นนี้ บรรยากาศของสำนักบัณทิตเขาเขียวจะแย่เอาได้” อาจารย์เฉียนเล่าเรื่องให้ไป๋เหวยคังทราบ
ไป๋เหวยคังกำลังวาดภาพ เขาฟังวาจาอาจารย์เฉียนแต่ก็ไม่ได้ตอบ
“ท่านเจ้าสำนัก พูดอะไรสักหน่อยเถิด เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้สมควรได้รับการสะสาง ไม่อย่างนั้น ข้าก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเกิดปัญหาใดอีก”
“คนหนุ่มนั้นใจร้อน พวกเขาชอบสร้างปัญหา ให้พวกเขาสร้างปัญหากันไป เหนื่อยแล้วก็เงียบกันไปเองแหละ” ไป๋เหวยคังกล่าวเนิบ ๆ “หากศึกเล็ก ๆ เช่นนี้ท่านยังทนไม่ได้ ภายหน้าจะรับมรสุมละเลงเลือดได้อย่างไร? จะแบกรับภาระในโลกหล้าอย่างไร? ท่านน่ะทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่”
“เพราะท่านชินกับพวกเขาแล้วต่างหาก!”
“พี่เฉียน สำนักบัณฑิตก็เหมือนตำหนักศาลาย่อม ๆ ร้อยคนร้อยหัวใจ ต่างผู้ล้วนมีคำนึงตน หากไม่อาจเข้าใจกลอุบายร้อยพัน ให้เผชิญกับมันเสียเนิ่น ๆ ก็อาจช่วยชีวิตพวกเขาได้”
ฟางโจวอวี่ไม่ได้กลับมาสำนักบัณทิตเขาเขียวสองสามวัน หนนี้เขากลับมายังสำนักบัณทิตเขาเขียวพร้อมข่าวดี ซึ่งก็คือการหมั้นหมายแต่งงานกับคุณหนูสกุลหลี่ กำหนดวันแต่งงานเป็นวันที่แปดเดือนถัดไป
“พี่เจียง นี่เจ้า…”
ฟางโจวอวี่มองเหล่าบุคคลสภาพทุลักทุเลในลานสำนักแล้วถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“บัณทิตฟาง ไฉนจึงมาที่นี่ได้?”
เมื่อทุกคนพบฟางโจวอวี่ พวกเขาก็อารมณ์ดี ลุกขึ้นกล่าวทักทายตาม ๆ กัน
ฟางโจวอวี่เล่าข่าวในส่วนของเขา และถามว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากฟังความเป็นมา ฟางโจวอวี่ก็ครุ่นคิด
“ยินดีกับบัณทิตฟางด้วยที่ได้แต่งภรรยาคนงาม! ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูสกุลหลี่รูปลักษณ์งามมาก เป็นหญิงงามผู้ลือนามจากเมืองฮู่เป่ยด้วยนะ”
“ขอบคุณมาก ว่าไปแล้ว สิ่งที่พวกเจ้าประสบก็แปลกจริงแท้ ได้สืบบ้างหรือยัง?”
“สืบแล้ว แต่ไม่พบ”
“เช่นนั้น ผู้ใดได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ที่สุด?”
ทุกผู้มองหน้ากันไปมา และภาพของ ‘ลู่เซวียน’ ก็ปรากฏขึ้นในใจโดยพร้อมเพรียง
“ไปคิดบัญชีกับเขากัน!”
ทุกคนต่างแห่กันไปยังห้องของลู่เซวียน
ฟางโจวอวี่ตามพวกเขาไปข้างหลัง แววตาปรากฏรอยยิ้มเยาะ
ที่หน้าห้องของลู่เซวียน
ก่อนจะทันได้เข้าใกล้ เสียงจี๊ด ๆ เหมือนหนูร้องก็ดังออกมาให้ได้ยิน
“ดีล่ะ จับตัวได้แล้ว” ผู้กล่าวเช่นนี้มองภาพตรงหน้าแล้วชะงักไป
ลู่เซวียนนั่งอยู่ที่โต๊ะหิน มีหนูหลายสิบตัวถูกขังในกรงตรงหน้าเขา มือข้างหนึ่งของเขาล้วงหนูออกมาหนึ่งตัว ในขณะที่อีกมือถือมีดแทงใส่หนูตัวนั้น
เขาแหวกท้องของมันออก!
ทุกคนอ้าปากค้าง
เมื่อก้มลงมองที่เท้าของลู่เซวียนอีกครั้ง ก็พบว่ามีศพหนูตายอเนจอนาถเกลื่อนไปหมด
ช่างละเลงเลือดชวนขวัญผวา!
ลู่เซวียนค่อย ๆ เงยหน้ามองผู้คน “มีอะไรหรือ?”
“หือ? เปล่า… ไม่มีนี่”
ทุกคนก้าวถอยสองสามก้าว
ใบหน้าซีดขาวของลู่เซวียนเผยรอยยิ้มบาง ทว่าทำให้ผู้มองขนลุกซู่
“ช่วงนี้มีหนูชุกชุมไปหมด ร้องเสียงเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญจริง ๆ พวกเจ้าเองก็เกลียดมันเช่นกันใช่ไหม?”
“ใช่…”
“ตอนนี้ดีแล้วนะ พวกมันคงไม่อาจ…”
ฉึก!
“จี๊ด…” เจ้าหนูดิ้นพล่านสองสามหน ก่อนจะแน่นิ่งไป
ลู่เซวียนแย้มยิ้ม “…ร้องได้อีกแล้ว”
โอ๊กก!
มีผู้วิ่งไปอาเจียน จากนั้นคนอื่น ๆ จึงวิ่งหนีตามไป
คนเหล่านี้ล้วนเป็นบัณฑิตอ่อนแอ เคยเห็นศึกนองเลือดเสียที่ไหน?
ลู่เซวียนแค่นเสียงหึ และกล่าวกับฟางโจวอวี่ซึ่งเป็นผู้เดียวที่ไม่จากไปไหนพร้อมรอยยิ้มบาง “บัณทิตฟางอยากเล่นหรือไม่?”
แววตาของฟางโจวอวี่เปี่ยมความพรั่นพรึง
เขาเคยคิดว่าลู่อี้เป็นศัตรูผู้แข็งแกร่ง แต่ยามนี้ดูเหมือน… พี่น้องสกุลลู่คู่นี้ ล้วนรับมือไม่ง่ายสักคน
ต้องไม่ปล่อยพี่น้องสกุลลู่เข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ในราชสำนักเด็ดขาด ไม่มีทาง!
“ค่อย ๆ เล่นไปเถิด ข้าไม่ขอรบกวนต่อแล้ว” ฟางโจวอวี่ประสานมือคำนับ หันหลังจากไป แววตาพลันเคร่งขรึม
เมื่อคนไปกันหมด ลู่เซวียนก็โยนของในมือทิ้งด้วยสีหน้าขยะแขยง “น่าขยะแขยงเป็นบ้า! แต่คงขย่าขวัญพวกนั้นไปได้สักพัก ฮึ!”