สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 257 ลู่อี้บาดเจ็บ
บทที่ 257 ลู่อี้บาดเจ็บ
บทที่ 257 ลู่อี้บาดเจ็บ
ณ จวนเจียงเหล่า ห้องหนังสือ…
เจียงเหล่ามองม้วนกระดาษขาด ๆ ตรงหน้า ดวงตามัวขับประกายคมปลาบ
“เจ้าพบมันที่ใด?”
ลู่อี้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามเจียงเหล่ากล่าวเสียงเข้ม “โจรผู้นั้นตายแล้ว ผู้สมรู้ร่วมคิดน่าจะพบเขาจากร่องรอยที่ทิ้งไว้ก่อนตาย ยามข้าไล่ตามไป ผู้สมรู้ร่วมคิดหนีไปแล้ว มีเพียงม้วนกระดาษขาด ๆ ตกอยู่ในบ้านโจรผู้นั้น”
ทว่าม้วนกระดาษดูเก่ามาก เสียหายจนไม่อาจตรวจสอบสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นได้ มีเพียงอักษรแปลก ๆ บางตัวและลวดลายต่าง ๆ ปรากฏให้เห็นเลือนราง
“เจ้าไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ลุล่วงเรียบร้อย แต่เมื่อได้เศษกระดาษเช่นนี้มาก็นับว่าชดเชยความผิดกันไป” สายตาของเจียงเหล่าตกลงที่แขนของลู่อี้ “บาดเจ็บหรือ?”
“บาดแผลเล็กน้อย อย่าสนใจเลยขอรับ” ลู่อี้หลุบตาลง
“เจ้าไปทำแผลก่อน รอข้าเรียกมาอีกที”
“ขอรับ”
“หากนายอำเภอฉินถาม รู้ใช่ไหมว่าต้องพูดอย่างไร?”
“ของในบ้านของท่านถูกขโมย และต้องหาว่าสิ่งใดถูกขโมยไปขอรับ”
“ดีมาก ไปเถอะ”
ลู่อี้เดินออกจากห้องหนังสือ เขาพบเข้ากับเฉินซือจวินและสาวใช้ชิวสุ่ย
“ใต้เท้าลู่บาดเจ็บหรือ!” เฉินซือจวินอุทาน “ชิวสุ่ย ไปตามท่านหมอมาเร็ว”
“ไม่ต้องหรอก” ลู่อี้ประสานมือคำนับเฉินซือจวิน “ก็แค่แผลถลอกเท่านั้น”
จือเชียนช่วยประคองลู่อี้ “นายท่าน ทางนี้ขอรับ”
มีเพียงจือเชียนที่รู้ว่านี่ไม่ใช่บาดแผลถลอก มิหนำซ้ำ อาวุธลับของอีกฝ่ายยังเคลือบยาพิษ
เจียงเหล่าผู้นี้เองก็แปลกจริง ๆ ลู่อี้เป็นเพียงจู่ปู้ ไฉนจึงต้องให้เขาจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วย?
เจียงเหล่ายืนมองภาพนี้จากหน้าต่าง
“นายท่าน ดูเหมือนว่าคุณหนูจะรู้สึกกับท่านลู่แบบ…” คนสนิทข้างกายเขากล่าวขึ้น “ท่านอยากจัดการกับท่านลู่หรือไม่ขอรับ?”
“เจ้าไม่เห็นหรือว่านางฝันเฟื่องไปเอง ความสัมพันธ์ระหว่างลู่อี้กับภรรยาเขาเป็นอย่างไร?”
“ข้าได้ยินมาว่าความสัมพันธ์รักใคร่กันดีมากขอรับ ตัวติดกันทีเดียว”
“แค่นั้นก็พอแล้ว ลู่อี้เป็นคนฉลาด รู้ว่าต้องทำอย่างไร” เจียงเหล่ากล่าว “กระดาษม้วนนี้… เจ้าไปหาช่างฝีมือฟื้นสภาพมันเสีย”
ลู่อี้เดินได้สองสามก้าว ร่างของเขาก็ทรุดล้มลง
“นายท่าน” จือเชียนแตกตื่น
“ชิวสุ่ย เชิญท่านหมอเร็วเข้า” เฉินซือจวินออกคำสั่ง “ใครก็ได้ รีบมาช่วยพยุงใต้เท้าลู่ไปห้องรับแขกที”
จือเชียนรู้ว่าขณะนี้ไม่สมควรไปไหน เขาเชื่อฟังการจัดการของเฉินซือจวิน ตามติดลู่อี้อย่างใกล้ชิด ไม่กล้าจากไปแม้เพียงก้าวเดียว
เฉินซือจวินเข้าไปในห้องหนังสือ “ท่านตาเจ้าคะ หลานถือวิสาสะให้ใต้เท้าลู่พักที่นี่เอง ท่านตาอย่าโทษเขาเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าช่วยแบ่งเบาความกังวลของตา แล้วจะโทษเจ้าได้อย่างไร แต่การที่เจ้าออกหน้าเสนอตัวก็ไม่สมควร ต่อจากนี้ให้พ่อบ้านช่วยดูแลแล้วกัน” เจียงเหล่ากล่าวเรียบ ๆ
“เจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่อยู่ในเมืองซูโจวมาสิบวันแล้ว ถามไถ่ข่าวสารได้เกือบครบถ้วน ขั้นตอนต่อไปก็คือกลับไปคิดว่าจะเปิดร้านในเมืองซูโจวได้อย่างไร
ถูกต้อง นางตัดสินใจเปิดร้านสาขาในเมืองซูโจวแล้ว
ในเมืองซูโจวจะมีพ่อค้ารายใหญ่มากมาย นางพบว่านอกจากสกุลจู สกุลอื่น ๆ อย่างหรงและเฝิงต่างไม่ได้ให้ความสนใจกับผลกำไรในเมืองซูโจวนัก อาจเป็นเพราะว่าธุรกิจของพวกเขาใหญ่มาก มีเมืองมากมายรุ่งเรืองเฟื่องฟูกว่าซูโจว พวกเขาจึงไม่ได้คิดจะตั้งฐานกำไรในซูโจว และเพราะเช่นนี้เอง มู่ซืออวี่จึงเห็นลู่ทางในเมืองซูโจว และคิดกลับไปวางแผนเปิดร้านสาขา
“หยุด!” เจี่ยงจงกระชับบังเหียนม้า
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่ซืออวี่แหวกม่านออกดู
“เถ้าแก่เนี้ย มีคนเซมาล้มหมดสติหน้ารถม้าเราขอรับ” เจี่ยงจงกล่าว
พอรถม้าหยุดลง มู่ซืออวี่ออกมาจากรถม้าและพบว่าบนพื้นมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนสลบหน้าซีดอยู่
เด็กหนุ่มผู้นั้นแต่งกายเรียบง่ายเหมือนบัณฑิตผู้อ่อนแอ แม้ใบหน้าจะขาวซีดจนน่าเวทนา เห็นได้ไม่ยากว่ารูปลักษณ์ของเขาบอบบางมาก
“พาไปโรงหมอก่อน”
“ขอรับ”
พวกเขาช่วยกันพาเด็กหนุ่มไปยังโรงหมอหมิงอัน
“นี่ผู้ใดกัน?” เซี่ยคุนพาอันอวี้มาติดตามอาการโรงหมอพอดี เมื่อเห็นว่าพวกนางพาคนแปลกหน้ามาจึงถามขึ้น
“ไปเจอระหว่างทางน่ะ” เจี่ยงจงอธิบายสถานการณ์
เซี่ยคุนขมวดคิ้วมองมู่ซืออวี่ “ช่วยเปลี่ยนนิสัยชอบไปเก็บคนตามถนนมาจะได้หรือไม่?”
“ข้าเคยเก็บผู้อื่นมาด้วยหรือ?” มู่ซืออวี่งุนงง
เซี่ยคุนแค่นเสียง ทิ้งความนัยสื่อชัด และแทบเขียนคำว่าดูแคลนไว้บนหน้า
จริงอยู่ที่นางไม่ได้ไปพาผู้อื่นผู้ใดมา แต่ไม่ใช่ว่าแต่ไหนแต่ไร นางคือคนที่มักจะโยนเงินลงขันให้เขา นี่ไม่เรียกว่าคนดีหรือ?
หากมู่ซืออวี่รู้ว่าเขาคิดอะไร คงกล่าวเป็นแน่ว่า ‘สหายเอ๋ย เจ้าคิดมากไปแล้ว’
ก็คนผู้นี้มาสลบตรงหน้ารถม้าของพวกนาง จะผ่านไปเฉย ๆ โดยไม่ช่วยพาไปพบหมอคงไม่ได้กระมัง?
“ท่านหมอ เป็นอย่างไรหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม
“คนผู้นี้สลบไปเพราะขาดอาหารมาเนิ่นนาน บางทีอาจเป็นบัณฑิตยากไร้ไม่มีอันจะกิน” ท่านหมอลี่ส่ายหน้า “ในเมื่อเขาหิว ตื่นขึ้นหลังจากนี้ก็ต้มโจ๊ก ให้มีอะไรเคลือบกระเพาะเขาสักหน่อยก็พอ”
“นี่คือเงินค่ารักษาเขา รบกวนท่านหมอส่งเด็กจัดยามาดูแลเขาด้วย แล้วก็ให้เขานำเงินส่วนที่เหลือไปซื้ออาหาร” มู่ซืออวี่กล่าว “เราเองก็ไม่รู้จักเขา ไม่ขออยู่ต่อนะเจ้าคะ”
“ได้”
มู่ซืออวี่และเซี่ยคุนเอ่ยปากว่าพวกตนจะกลับเมืองฮู่เป่ย
“ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ดวงตาของอันอวี้จึงจะหายดี?”
“อีกราว ๆ สิบวันก็ปลดผ้าผูกตาได้แล้ว”
“เช่นนั้นก็ไปกันก่อนเถิด ครั้งนี้เราเพียงมาถามไถ่สถานการณ์ในเมืองซูโจว อีกไม่นานจะกลับมาใหม่ เจ้าดูแลอันอวี้ก่อน ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นหรอก”
“ได้” เซี่ยคุนรับปาก “เดินทางระวังด้วย”
มู่ซืออวี่คิดถึงบ้าน จึงตั้งใจออกเดินทางทันที
เมื่อรถม้ามาถึงประตูเมืองซูโจว ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างหน้า “ปิดประตูเมือง!”
ประตูเมืองที่เคยเปิดอ้าปิดฉับอย่างรวดเร็ว
มีคนมากมายที่เตรียมออกจากเมือง ทว่ายามนี้ พวกเขาทำได้เพียงยืนมอง
“ท่านเจ้าหน้าที่ เกิดอะไรขึ้นหรือ? ข้ายังต้องกลับบ้านนะ!”
“ท่านเจ้าหน้าที่ จะถึงคิวข้าอยู่แล้ว ให้ข้าออกไปเถอะนะ! ลูกสาวข้าป่วย ข้ากำลังรีบไปหานาง”
“ไฉนจู่ ๆ จึงปิดประตูเมืองเล่า?”
เจี่ยงจงเป็นกังวล “เถ้าแก่เนี้ย ทำอย่างไรดี?”
“กลับไปหาเซี่ยคุนก่อน”
…
เมื่อเซี่ยคุนได้ยินเสียงรถม้า เขาก็เปิดประตูลานบ้านออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไปไม่ได้” เจี่ยงจงกล่าว “ประตูเมืองปิด”
“นี่ยังไม่ถึงเวลาปิดประตูเมือง” เซี่ยคุนกล่าว “ดูท่าจะเกิดเหตุบางอย่างในเมืองเสียแล้ว”
“สุดท้ายก็ได้แต่ต้องกลับมาที่นี่” หวังต้าชุนกล่าว “พอดีเลยเถ้าแก่เนี้ย เต้าหู้เหม็นที่ท่านอยากกินเมื่อวานขายหมดเกลี้ยง เดี๋ยววันนี้ข้าจะไปซื้อมาให้!”
“ได้ เช่นนั้นก็อยู่ต่ออีกวัน” มู่ซืออวี่กล่าว “แล้วอันอวี้เล่า? ข้าจะทำอาหาร อันอวี้ชอบกินปลา ท่านไปซื้อปลากลับมาสักตัวสิ ข้าจะทำให้นางกิน”
เซี่ยคุนรับคำ
พ่อค้าคนหนึ่งขายปลาหนักห้าจินตัวหนึ่ง และปลาเล็กอีกสองสามตัวให้เซี่ยคุน
“ปลาตัวเล็กน่ะทอดกินอร่อยที่สุด” พ่อค้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยคุนโยนเศษเงินให้แล้วถามว่า “เหตุใดประตูเมืองถึงได้ปิด?”
“ข้าได้ยินว่าจวนจงอ๋องมีทาสหลบหนี” คนขายปลากล่าวขณะแบกปลา “ข่าวนี้เพิ่งออกมา ไม่รู้ว่าจริงเท็จเพียงไร อย่างไรเราก็เข้าจวนจงอ๋องไม่ได้ ไม่อาจยืนยันความน่าเชื่อถือ”
คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้