สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 258 ประตูเมืองปิด ไล่จับทั่วเมือง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 258 ประตูเมืองปิด ไล่จับทั่วเมือง
บทที่ 258 ประตูเมืองปิด ไล่จับทั่วเมือง
บทที่ 258 ประตูเมืองปิด ไล่จับทั่วเมือง
ณ โรงหมอหมออัน
เด็กจัดยากำลังจะเปิดประตู ทว่าเมื่อพบว่ามีคนกำลังเดินมา เขาก็เปิดประตูค้างไว้ก่อน
“นายท่านเซี่ย ไฉนมาที่นี่เล่า? เกิดอะไรขึ้นกับฮูหยินเซี่ยหรือไม่?”
เซี่ยคุนกล่าวว่า “นางไม่เป็นไร ข้าแค่อยากถามว่าคุณชายที่เจ้านายข้าพามาวันนี้ตื่นหรือยัง?”
“ตื่นแล้ว ดื่มโจ๊กไปนิดหน่อยแล้วหลับไปอีกรอบ” เด็กจัดยากล่าว “ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป เราทำได้เพียงให้เขานอนในโรงหมอ รอให้เขาฟื้นพลังกายเอง”
“ข้าขอพบเขาได้หรือไม่?”
“ได้”
เด็กหนุ่มหลับลึก ใบหน้าของเขายังคงซีดขาว ทว่าลมหายใจเสถียรขึ้นมาก
เซี่ยคุนคว้ามือของเด็กหนุ่มขึ้นมาจับดู
ขาวเนียนนุ่มนิ่ม ดูไม่เหมือนผู้กรำงานหนัก…
“นายท่านเซี่ย มีอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้านายข้าเป็นคนใจดี คิดแต่จะช่วยคนตลอด ข้าก็แค่อยากเห็นว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้น” เซี่ยคุนกล่าว “ขณะเขาอยู่ที่นี่ ช่วยดูแลเขาสักหน่อย พอเขาตื่นขึ้นก็ให้แยกทางกันไป”
“อืม ไม่ต้องห่วงหรอก เราจะดูแลเขาแน่นอน คืนนี้ข้าจะอยู่เฝ้าเขา” เด็กจัดยากล่าว
มู่ซืออวี่ทำกับข้าวมาสามอย่างพร้อมต้มน้ำแกงหม้อหนึ่ง เมื่อเห็นเซี่ยคุนกลับมาก็กล่าวอย่างหัวเสีย “พี่เซี่ย ท่านหายไปไหนมาตั้งนาน ช่างเถอะ ปลาเอาไว้กินพรุ่งนี้ วันนี้กินนี่ไปก่อน”
เซี่ยคุนนำปลาไปไว้ในถังน้ำ
“ท่านเป็นอะไรไป?” มู่ซืออวี่เห็นเขาไม่พูดจาจึงถามขึ้น
“ข้าเพิ่งไปถามข่าวมา วันนี้ประตูเมืองปิดเพราะจงอ๋องกำลังไล่จับทาสหลบหนี” เซี่ยคุนกล่าว “เมื่อครู่ข้าแวะไปหาคุณชายที่เจ้าช่วยไว้ที่โรงหมอ”
“ท่านจะบอกว่าคนผู้นั้นเป็นทาสหลบหนีหรือ?” มู่ซืออวี่ตกใจกับวาจาของเขา “อย่าแกล้งให้ข้ากลัวนะ จงอ๋องเป็นคนคลั่ง โชคของข้าคงไม่อาภัพเพียงนั้นกระมัง”
“ไม่หรอก ข้าตรวจมือของคุณชายท่านนั้นแล้ว เขาน่าจะเป็นเพียงบัณฑิตทั่วไป ไม่ใช่ทาสหลบหนี รองเท้าของเขาเป็นที่นิยมในหมู่บัณฑิต”
“เช่นนั้นก็ดี ใจหายใจคว่ำหมด” มู่ซืออวี่ลูบอก
“แต่ภายหน้าอย่าช่วยใครอีกเลย ระวังอย่าช่วยคนผิดคิดคดเข้า” เซี่ยคุนกล่าว “หนนี้น่าจะเป็นบทเรียนได้”
วันถัดมา ประตูเมืองก็ยังปิดสนิท เจ้าหน้าที่และทหารต่างค้นหาทุกซอกมุม กระทั่งลานบ้านที่พวกเขาเช่าไว้ยังถูกบุกค้น ท้ายที่สุดเมื่อไม่พบสิ่งใด พวกเขาก็จากไปพร้อมแป้งทอดที่เตรียมไว้
มู่ซืออวี่ “…”
นี่เจ้าหน้าที่ทางการหรือ? เหมือนโจรปล้นบ้านมากกว่า
มู่ซืออวี่มายังโรงหมอหมิงอัน
“พี่ชาย” มู่ซืออวี่เห็นเด็กจัดยากำลังทำความสะอาดยาสมุนไพรบนพื้น ทั้งโรงหมอสภาพเหมือนถูกปล้นมา
“ฮูหยิน วันนี้เราเปิดโรงหมอไม่ได้ มาใหม่พรุ่งนี้เถอะนะ” เด็กจัดยากล่าวอย่างกระสับกระส่าย “เจ้าก็เห็นแล้วว่าโรงหมอของเราก็ไม่ได้รับการละเว้น ยามนี้ยาสมุนไพรกระจัดกระจายเกลื่อนเลย”
“คุณชายที่ข้าพามาเมื่อวาน…”
“เขาน่ะหรือ ไปตั้งแต่เช้าแล้ว” เด็กจัดยารำพึง “เขาได้นอนไปหนึ่งคืน กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ข้าหวังว่าเขาจะดูแลตนเองได้ เราปกป้องเขาไม่ได้หรอก”
เหตุปั่นป่วนในซูโจวกินเวลาสามวัน และสามวันจากนั้น ประตูเมืองก็เปิดออก
ในที่สุดพวกมู่ซืออวี่ก็ได้กลับบ้าน
“ฮูหยิน เมืองซูโจวนี้ปั่นป่วนจริง ๆ” เจี่ยงจงกล่าว “เราจะมาเปิดร้านที่นี่จริง ๆ หรือ?”
มู่ซืออวี่เงียบไป
เมืองซูโจวปั่นป่วนจริง ๆ และดูเหมือนจะไม่ถูกโฉลกกับนาง เพราะนางมาทีไรก็เจอแต่ความปั่นป่วนทุกคราไป แต่นี่ก็เป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในละแวกแล้วเช่นกัน
รุ่งเรืองแต่อันตราย นางไม่เชื่อหรอกว่าตนจะดวงกุดขนาดนั้น ไม่ว่าจงอ๋องจะเสียสติเพียงไร เขาก็คงไม่เผาบ้านเผาเมืองตัวเองกระมัง? ดูเหมือนในเนื้อเรื่องเดิมก็ไม่ได้ระบุไว้ด้วยว่าเขาชอบปั่นหัวคนของตัวเอง
หน้าประตูเมือง…
“หยุดก่อน ค้นรถ”
รถม้าถูกหยุดไว้ มู่ซืออวี่จึงทำไม้ทำมือบอกเจี่ยงจง
เจี่ยงจงนำถุงเงินออกมาลอบยัดใส่มือคนค้นรถ
“ผ่อนผันหน่อยเถิด” เจี่ยงจงกล่าว “ภายหลังยังมีเรื่องต้องพึ่งพาพี่ใหญ่อีกมาก นี่ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากเรา”
“พอแล้ว ไปเถอะ!”
ในที่สุดรถม้าก็ออกจากประตูเมืองได้
หวังต้าชุนกล่าวว่า “เถ้าแก่เนี้ย ในที่สุดเราก็กลับบ้านได้แล้ว”
“นั่นสิ” มู่ซืออวี่พูดจบ จู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงบางอย่าง “เดี๋ยวก่อนนะ ต้าชุน ไปหยุดรถตรงนั้นก่อน”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หวังต้าชุนถามขณะจอดรถ หลังจากหยุดรถได้ เขาก็เปิดม่านเข้ามาถาม “เถ้าแก่เนี้ย ท่านเมารถหรือ?”
มู่ซืออวี่เคาะไม้กระดานจุดที่นางนั่งอยู่ ก่อนจะถอยไปข้าง ๆ แล้วเปิดมันออกมา
ข้านในมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่
“คนผู้นี้… คนที่เราช่วยไว้ไม่ใช่หรือ?” เจี่ยงจงประหลาดใจ “ไฉนเขาจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
มู่ซืออวี่มองคนตรงหน้านางพลางขมวดคิ้ว “ดูเหมือนเขาจะสลบไปอีกแล้วนะ”
“แล้วทำอย่างไรดี? ยามนี้ออกจากเมืองแล้ว คงไม่ต้องกลับไปอีกหนกระมัง เขาดูอ่อนแอนัก หากเกิดเรื่องร้ายเกินคาดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
“นำเขาออกมาก่อน”
หลังจากที่มู่ซืออวี่สั่ง ชายหนุ่มแข็งแรงสองคนก็แบกตัวเด็กหนุ่มผอมแห้งออกมา
“เจ้าไปหาน้ำมาหน่อย”
เจี่ยงจงไปตักน้ำ ขณะที่หวังต้าชุนอยู่ปกป้องมู่ซืออวี่
เดิมทีพวกเขาคิดเพียงว่าคนผู้นี้เป็นบัณฑิตอ่อนแอ ทว่าคนผู้นี้กลับมาปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังซ่อนตัวในรถม้าของพวกเขา ทำให้อดเคลือบแคลงไม่ได้
“เขาอ่อนแออยู่ ให้น้ำดิบไม่ได้ ต้องต้มก่อน ในรถม้ามีหม้ออยู่ใบหนึ่ง เอามันออกมาแล้วจุดไฟเถอะ”
“มันยุ่งยากเกินไป เถ้าแก่เนี้ย เราต้องรีบกลับนะ!”
“แล้วทำอย่างไรได้ จะทิ้งเขาไว้ที่นี่หรือ? เราช่วยเขามาแล้วหนึ่งหน คงไม่อาจทิ้งให้เขาผจญยถากรรมที่นี่เองกระมัง”
เหวินอี้ค่อย ๆ ตื่นขึ้น
สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือท้องฟ้าสีคราม
เขาเหม่อมองจ้องท้องฟ้า เห็นหมู่นกโผบินบนเวหา เสียงน้ำรินไหลก้องโสต ตามมาด้วยเสียงผู้คนเสวนา
“เถ้าแก่เนี้ย คนผู้นี้ประหลาดนัก คงไม่ใช่คนร้ายหรอกกระมัง พอเขาตื่นก็ให้เขาไปเถอะ เราใจดีพอจะช่วยเขาไว้ แต่จะให้เขาพึ่งพาเราไม่ได้หรอก”
“เจ้าดูเขาเสียก่อน ดูเหมือนเขาพร้อมเป็นลมได้ทุกเมื่อ หากไล่เขาไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขาระหว่างทางจะทำอย่างไร?”
เจี่ยงจงและหวังต้าชุนโต้เถียงต่อไป มู่ซืออวี่ไม่ได้พูดจา เพียงคนโจ๊กเห็ดในหม้อเท่านั้น
“คนผู้นี้ต้องหิวเป็นแน่” มู่ซืออวี่กล่าว “เขาผอมเช่นนี้ เกรงว่าคงเป็นเพราะขาดอาหารมาเนิ่นนาน คนเช่นนี้หิวโหย หิวมาก ๆ เข้าก็มักหมดสติ จึงต้องมาซ่อนตัวในรถม้าของเรา”
“ดู ๆ แล้วเขาก็เป็นคนน่าสงสาร” เจี่ยงจงกล่าว “ข้าจะไปดูว่าเขาตื่นหรือยัง”
เหวินอี้รีบหลับตาลง
เมื่อเจี่ยงจงเดินมาหา เขาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น “พวกเจ้าคือใคร? ที่นี่ที่ใด?”
“เจ้าตื่นแล้ว!” เจี่ยงจงลิงโลด “เถ้าแก่เนี้ย เขาตื่นแล้ว!”
มู่ซืออวี่และหวังต้าชุนรีบตามมาดู
“เจ้าตื่นแล้วรึ ในเมื่อตื่นแล้วก็ลุกมากินข้าวเถิด” มู่ซืออวี่กล่าว “ต้าชุน เจี่ยงจง ช่วยเขาที”