สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 259 เจ้าเป็นใคร
บทที่ 259 เจ้าเป็นใคร?
บทที่ 259 เจ้าเป็นใคร?
เหวินอี้ละเลียดกินโจ๊กหมดชามอย่างช้า ๆ ก่อนจะขอบคุณพวกมู่ซืออวี่ “ขอบคุณพวกเจ้าที่ช่วยข้า”
“เหตุใดคุณชายจึงมาซ่อนในรถม้าของเรา?” มู่ซืออวี่ถาม
“ข้า…” เหวินอี้ไอ
เมื่อเขาไอเสร็จก็กล่าวต่อ “มาจากสกุลเหวิน นามว่าอี้ เมื่อสองสามวันก่อน บ้านของข้ามอดไหม้จมเพลิง ข้ายากจนอยู่แล้วยิ่งจนกว่าเดิม กระทั่งที่ซุกหัวนอนยังไม่มี เมืองซูโจวไร้สิ่งใดให้หวนคำนึง ข้าอยากออกจากเมืองซูโจวแต่ไม่มีเงิน พอดีกับที่พวกเจ้ากำลังจอดรถม้าซื้อของที่หน้าตรอก ข้าจึงลอบเข้าไปซ่อนตัว”
“หมายความว่าเจ้าพยายามออกจากเมืองโดยใช้รถม้าของเราหรือ? แล้วเจ้าอยากจะไปที่ใด?” เจี่ยงจงถาม
“ข้าไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีที่ไป ฮูหยินมีเมตตา รับข้าให้อยู่ช่วยงานได้หรือไม่ ไม่ต้องจ่ายเงินข้าก็ได้ ขอเพียงให้ข้าได้ประทังปากท้อง” เหวินอี้กล่าวกับมู่ซืออวี่
เจี่ยงจงและหวังต้าชุนล้วนมองมายังมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่กล่าวเนิบ ๆ ว่า “เรากำลังจะไปเมืองฮู่เป่ย หากเจ้าไร้ที่ไป จะไปเมืองฮู่เป่ยสักหน่อยก็ได้ แต่เจ้าดูจะรู้หนังสือ หางานที่นั่นง่ายอยู่ เอาไว้ค่อยว่ากันยามนั้นเถิด!”
“ขอบคุณฮูหยิน” เหวินอี้กล่าวขอบคุณ
“เจ้าบอกว่าไร้ญาติขาดมิตร แล้วญาติเจ้าเล่า?” มู่ซืออวี่ถามอีกครั้ง
“ข้าไร้พ่อตั้งแต่ยังเล็ก เสียแม่ไปยามสิบขวบ มีแม่เลี้ยงคอยดูแล แต่ไม่นานมานี้ แม่เลี้ยงข้าก็จากไปแล้วเช่นกัน ข้าจึงกลายเป็นผู้ไร้ญาติขาดมิตรในยามนี้”
“มิน่าเล่า เจ้าจึงหิวจนมานอนสลบกลางถนน” เจี่ยงจงโพล่งขึ้น
“ไฉนเจ้าจึงรู้ว่าข้าหิวจนสลบไป?” เหวินอี้ประหลาดใจ จากนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันไปถามมู่ซืออวี่ “หรือฮูหยินผู้เมตตาที่เด็กจัดยาพูดถึงจะเป็นท่าน?”
มู่ซืออวี่ถลึงตามองเจี่ยงจง ไม่ได้ปฏิเสธการคาดเดาของเหวินอี้ นางเพียงยอมรับอย่างผ่าเผย “ถูกต้อง เราก็เป็นผู้พบเจ้าหมดสติบนถนนก่อนหน้านี้ และส่งเจ้าไปรักษาที่โรงหมอ”
“ขอบคุณฮูหยินมาก ฮูหยินช่วยข้าสองหนแล้ว ไม่อาจทราบจริง ๆ ว่าจะตอบแทนบุญคุณนี้ได้อย่างไร” เหวินอี้ตื่นเต้นจนไอค่อกแค่กอีกครั้ง
“ร่างกายของเจ้าดูอ่อนแอ ข้าไม่ได้จะให้เจ้าชดเชยที่ข้าช่วยเจ้า เพียงดูแลตนเองก็พอแล้ว ในเมื่อได้พบพานก็ถือเป็นชะตา ดังนั้นผูกมิตรกันไว้เถิด!”
ร่างกายของเหวินอี้อ่อนแอโดยแท้ เขามีไข้สูงจนต้องแวะหาหมอระหว่างทาง พวกนางต้องยืดเวลาไปอีกสองวันเพื่อให้สภาพร่างกายของเขาดีขึ้น ก่อนจะเร่งกลับเมืองฮู่เป่ยต่อไป
“เถ้าแก่เนี้ย เมืองฮู่เป่ยอยู่ตรงหน้าแล้ว ในที่สุดเราก็กลับมาถึงเสียที” เจี่ยงจงกล่าว
“เมื่อกลับถึง ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าอยู่กับครอบครัวห้าวัน ยามนี้หนี้สินก็จ่ายแล้ว ชีวิตก็ดีขึ้น แต่เวลาอยู่กับครอบครัวน้อยลงนัก” มู่ซืออวี่กล่าว
“ทุกคนในสกุลข้าซาบซึ้งในบุญคุณท่าน หากไม่ได้เถ้าแก่เนี้ย เราหรือจะใช้ชีวิตดี ๆ ยามนี้ได้? เดิมทีเราถูกขังคุก แม่ข้าร้องไห้ตาแทบบอด แต่สถานการณ์แปรผัน ไม่เพียงแต่เราออกมาได้เท่านั้น แต่ยังหาเงินได้มากมายเพราะท่าน ครอบครัวเราได้ปลูกบ้านมุงกระเบื้องเป็นหลังแรกในหมู่บ้าน ทำให้พวกชาวบ้านอิจฉาตาร้อน”
“ครอบครัวข้าก็เช่นกัน เมียข้าแต่เดิมขี้หงุดหงิด ตอนนี้อารมณ์ดีขึ้น ยามนี้เจ้าตัวน้อยในท้องก็อายุสองเดือนแล้ว ทั้งหมดนี้เถ้าแก่เนี้ยให้มาทั้งสิ้น”
เหวินอี้มองมู่ซืออวี่อย่างสงสัย
ระหว่างทาง เขาก็ได้รู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา และยังได้เรียนรู้ว่าฮูหยินลู่มีแซ่จริงว่ามู่ เป็นช่างฝีมืองานไม้ในเมืองฮู่เป่ย
ช่างฝีมือไม่ได้หายาก แต่พวกนางส่วนใหญ่ล้วนเด่นในงานเย็บปักถักร้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบช่างฝีมืองานช่างไม้ เรื่องสำคัญที่สุดคือ การจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาสิบยี่สิบปี ทว่าฮูหยินลู่ผู้นี้ยังดูสาวนัก
“อย่าพูดเพ้อเจ้อ หากคิดจะขอบคุณข้าจริง ๆ ก็เรียนให้หนักแล้วช่วยข้าหาเงินอย่างแข็งขันเข้า” มู่ซืออวี่กล่าว “คุณชายท่านนี้ข้าจะให้เจ้าช่วยดูแล คุณชายเหวิน เจ้าอยู่กับพวกเขาไปก่อน ค่อย ๆ หางาน แล้วค่อยย้ายไปยามพบงานที่เหมาะสมแล้วกัน”
“ขอบคุณฮูหยินขอรับ”
รถม้าหยุดที่เรือนสกุลลู่
มู่ซืออวี่ลงจากรถม้า เจี่ยงจงก็ช่วยนางถือสัมภาระลงมา
“กลับมากันแล้ว” ถงซื่อออกมาต้อนรับอย่างตื่นเต้น “เข้ามาสิ”
มู่ซืออวี่หันไปบอกเจี่ยงจง “พวกเจ้ากลับไปเถิด สี่ห้าวันนี้ เจ้าก็อยู่กับครอบครัวเสีย ให้คุณชายเหวินอยู่กับพวกเจ้า แนะนำให้ผู้อื่นรู้จัก อธิบายความเป็นไปกันก่อนเถอะ”
“เถ้าแก่เนี้ยวางใจเถิด ท่านเองก็เหนื่อยแล้ว พักสักสองวันแล้วค่อยเปิดร้าน อย่าฝืนตัวเองหักโหมเลย”
“ข้าไม่ได้เหนื่อย เจ้าที่เร่งม้ามาตลอดสิเหนื่อย ข้านอนอยู่ข้างในเฉย ๆ” มู่ซืออวี่กล่าวยิ้ม ๆ
อันที่จริงวาจานี้เป็นจริงครึ่งหนึ่ง เดิมทีนางยังพอหลับได้เป็นห้วง ๆ ทว่านับตั้งแต่เหวินอี้ปรากฏตัว เขาก็อ่อนแอจนอยู่ได้เพียงในรถม้า นางไม่มีทางนอนกับชายแปลกหน้าได้หรอก
“สามีข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เขาออกจากบ้านเช้า กลับบ้านดึกทุกวัน ยุ่งมากเลยล่ะ” ถงซื่อบ่นอุบ “ข้ากังวลจริง ๆ ว่าร่างกายเขาจะทนไม่ไหวเอา”
“ไม่เป็นไร ข้ากลับมาแล้ว จะดูแลเขาเอง”
“เจ้าไปเมืองซูโจวมา เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังต้องไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน ไม่ว่าอย่างไร เรื่องเช่นนี้ก็ทำในชั่วข้ามคืนไม่ได้ คงต้องคิดก่อน”
ถงซื่อต้มน้ำร้อนให้มู่ซืออวี่ หลังจากมู่ซืออวี่อาบน้ำเสร็จก็เข้านอน
เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง นางก็พบว่าตรงหน้ามีชายผู้หนึ่งนอนอยู่ ขอบตาของเขาดำคล้ำ หนวดเคราขึ้นรอบกรอบหน้า ดูโทรมเอาการ
มู่ซืออวี่แตะตอเคราที่คางของเขา
“ไฉนท่านจึงทำให้ตนเองเป็นเช่นนี้ได้? ไม่ใช้แกล้งให้ข้าปวดใจหรือ?”
นิ้วของนางถูกคว้าไว้ ชายที่เดิมทีหลับตาอยู่พลันลืมตาโพลง ทำให้เห็นว่าในดวงตาของเขามีเส้นเลือดแดงก่ำมากมาย
“นี่ท่านไม่ได้… หือ…”
ถงซื่อทำอาหารเสร็จ กำลังจะมาเรียกมู่ซืออวี่ไปกินข้าวเย็น แต่ก็ต้องตกใจที่จู่ ๆ จือเชียนก็โผล่มา
“เจ้าเด็กนี่ เหตุใดจู่ ๆ ก็โผล่มาเช่นนี้?”
จือเชียนเกาหัวกล่าวอย่างเก้อเขิน “เรื่องนั้น นายท่านลู่กลับมาแล้ว กำลังพักอยู่ข้างในขอรับ!”
ถงซื่อก็เป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน ไฉนเลยจะไม่รู้เรื่องนี้ นางจึงเข้าใจทันที
นางรีบร้อนหันหลังจากไป
“นี่มันอะไร?” มู่ซืออวี่ซบร่างของลู่อี้พลางมองแผลเป็นบนแขนของเขา “บาดเจ็บมาหรือ? สะเก็ดยังไม่หลุดเลย เห็นได้ชัดว่าไม่นานนี้เอง”
“แค่แผลถลอกน่า ไม่เกะกะหรอก” ลู่อี้ลูบศีรษะนาง “ระหว่างทางราบรื่นหรือไม่?”
“ข้าถามท่านอยู่นะ อย่าบ่ายเบี่ยง ไปเจ็บตัวมาได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ไม่หลงกล
“ถูกคนร้ายโจมตีระหว่างไล่ล่าน่ะ”
“ไม่ใช่ว่าท่านเป็นจู่ปู้หรือ? ไฉนจึงมาทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ได้?”
“ผู้ได้ทำงานมากกว่า หมายความว่าเป็นที่เห็นค่า ไม่ดีหรือ?” ลู่อี้โอบรอบเอวของนางแล้วพลิกกลับสลับที่ “กระปรี้กระเปร่าเพียงนี้ ดูเหมือนฮูหยินจะยังไม่เหนื่อย มาต่อกัน…”
มู่ซืออวี่ผลักเขาออกไปแล้วลุกขึ้นนั่ง “ข้าหิวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ!”
ลู่อี้คว้าแขนแล้วกอดนางจากข้างหลัง “โกรธหรือ?”
“ท่านดูแลตนเองออกมาเป็นเช่นนี้ ข้าต้องโกรธอยู่แล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว
“อย่าโกรธเลย… ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่ปล่อยเจ้าเป็นม่ายแน่นอน” ลู่อี้จุมพิตริมฝีปากนาง “ข้าทนทิ้งเจ้าไว้ไม่ได้หรอก…”