สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 260 ให้เขาเป็นคนทำบัญชี
บทที่ 260 ให้เขาเป็นคนทำบัญชี
บทที่ 260 ให้เขาเป็นคนทำบัญชี
ลู่อี้ตะล่อมอยู่นาน ในที่สุดก็ทำให้มู่ซืออวี่ยิ้มออก
มู่ซืออวี่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขา นิยายต้นฉบับที่นางเคยอ่านปรากฏขึ้นในใจ
นึกเสียดายที่ไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนั้นอย่างจริงจัง อ่านบทนำเปิดตัวตัวร้ายช่วงต้นเรื่องเพียงผ่าน ๆ ยามนี้นางจึงจำได้เพียงการทะเลาะกันระหว่างคู่พระนาง ส่วนเรื่องอื่นนั้นจำไม่ได้เลย
“คิดอะไรอยู่หรือ?” ลู่อี้ถาม
“คิดถึงเจ้า” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างสัตย์ซื่อ
ลู่อี้หัวเราะหึ ๆ แล้วพูดว่า “ห่างกันไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็คิดถึงข้าขึ้นมาแล้ว เห็นไปไหนยามใดไม่เห็นคิดถึงข้า ข้ายังสงสัยว่าในใจฮูหยินคงไม่มีข้าแล้ว”
“ท่านก็เหมือนกันนั่นแหละ” มู่ซืออวี่เอ่ยพลางเอี้ยวศีรษะไปกัดคอเขาเบา ๆ
ลู่อี้สูดหายใจเฮือก ก่อนจะเลื่อนมือข้างหนึ่งไปตามเรือนร่างของนาง
“ผู้ใดบอก? ที่ข้าไม่กล้าเหลียวกลับมา เพราะข้ากลัวจะไม่ยอมออก อยากจะกอดฮูหยินไว้แล้วทำตามใจปรารถนาต่างหาก”
“หุบปากเลย!” มู่ซืออวี่ปิดปากเขาไว้
“ฮูหยิน ให้ลูกกับข้าอีกคนเถอะ” ลู่อี้มองนางอย่างเร่าร้อน “ลูกของเราสองคน”
ลูกที่เป็นของเขาและนางอย่างแท้จริง
ใบหน้าของมู่ซืออวี่ร้อนผ่าว นางลุกขึ้นจากที่นอน “ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”
เมื่อถงซื่อรู้ว่าลู่อี้กลับมา นางก็นำเหล้าสมุนไพรที่นางบ่มไว้ออกมาทันที
มู่ซืออวี่กับลู่อี้ออกมาพบว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยสำรับอาหาร ถงซื่อกับลู่จื่ออวิ๋นกำลังง่วนจัดสำรับ หัวใจทั้งสองพลันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา
“ได้อยู่บ้านนี่ดีจริงเชียว” มู่ซืออวี่รับงานต่อจากถงซื่อ “อวิ๋นเอ๋อร์น้อยเชื่อฟังดียามข้าไม่อยู่หรือไม่?”
“ข้าเป็นเด็กดีนะเจ้าคะ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวเสียงหวาน “ข้าก็ไปช่วยทำบัญชีที่ร้านด้วย”
“โอ้? เด็กเพียงนี้เจ้าก็ริคิดบัญชีแล้วหรือ? ไม่ได้นะ” มู่ซืออวี่จิ้มจมูกลู่จื่ออวิ๋นเบา ๆ
“ท่านแม่ หนนี้ท่านจะไม่ไปไหนอีกแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นรบเร้ามู่ซืออวี่
“ไม่ไป”
หมายถึงยามนี้น่ะนะ
จือเชียนเดินเข้ามาจากข้างนอก เอนตัวกระซิบสองสามคำที่ข้างหูลู่อี้ พอลู่อี้ขมวดคิ้ว รอยยิ้มบนใบหน้ามู่ซืออวี่เองก็เหือดหาย
“นายอำเภอฉินเรียกท่านอีกแล้วหรือ?”
ลู่อี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
เขาลูบแก้มนาง “พวกเจ้ากินกันไปก่อน ไม่ต้องรอเรา เดี๋ยวเราก็กลับมา”
“อืม” มู่ซืออวี่กล่าวเนิบ ๆ “ไปเถอะ!”
ลู่อี้รู้สึกได้ว่านางไม่ชอบใจ แต่เรื่องในยามนี้สำคัญมาก เขาต้องไปตรวจดู
มู่ซืออวี่เห็นสีหน้าของเขาแสนกระอักกระอ่วน นางก็ใจอ่อนลง “ไปเถอะ รีบไปรีบกลับนะ”
“รอข้าก่อนนะ” ลู่อี้ลุกขึ้นแล้วจากไป
ถงซื่อมองร่างของลู่อี้หายลับไปพลางรำพึงแผ่วเบา “ยามนี้ชีวิตเราดีขึ้น แต่สามีเจ้ากลับยุ่งขึ้นทุกวัน พวกเจ้าสองคนไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกันมานานแล้วนะ”
“เขาก็ทำเพื่อครอบครัวเช่นกัน” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าเข้าใจ แต่ข้าแค่รู้สึกแย่ที่เขาไม่อาจดูแลตนเองเช่นนี้ ไฉนร่างกายของเขาจึงบาดเจ็บได้?”
“เขาบาดเจ็บหรือ? ข้าไม่รู้เลย!” ถงซื่อประหลาดใจ
“อวิ๋นเอ๋อร์ก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวอย่างเป็นกังวล “ท่านแม่ ท่านพ่อบาดเจ็บร้ายแรงหรือเจ้าคะ?”
“เจ้าก็เห็นแล้วว่าเขายังมีชีวิต มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอก แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะซ่อนแผลเก่งเพียงนี้ กระทั่งเจ้าก็ยังไม่รู้” มู่ซืออวี่กล่าว “กินข้าวเถอะ ไม่ต้องรอเขาแล้ว”
ทว่าวันนี้ลู่อี้ไม่ได้กลับมา
จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ประหลาดนัก ยามแรกพบ เขาเย็นชาไม่อาจเข้าหา ทว่ายามนี้เขากลับให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่สง่างามไปอีกแบบ
ทันทีที่เข้าไปในเรือนกรุ่นฝัน นางก็พบลูกค้ามากมายเลือกเครื่องเรือนกันอยู่ วิธีทำเครื่องเรือนเหล่านี้ นางสอนแก่ศิษย์สองสามคนไว้ แม้นางจะไม่อยู่ สินค้าก็ไม่ได้ขาดตอน
มู่ซืออวี่เห็นคนผู้หนึ่งในฝูงชน ซึ่งก็คือบัณฑิตป่วยอ่อนแอที่นางพากลับมา
“เขามาทำอะไรที่นี่?” มู่ซืออวี่ถามเฟิงเจิง
เฟิงเจิงกล่าวว่า “เถ้าแก่เนี้ย คนที่ท่านพากลับมาหนนี้ฉลาดมากจริง ๆ เรียนรู้งานได้เร็ว คิดบัญชีก็ว่องไวยิ่งนัก ไม่ต้องใช้ลูกคิดเลยก็ได้”
“งั้นรึ?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ
“ท่านไม่รู้หรือ…”
เฟิงเจิงไล่เรียงสิ่งที่เหวินอี้ทำจากเมื่อวานจนวันนี้
“เยี่ยมยอดจริงแท้ ฮูหยินท่านนั้นปักปิ่นยามเข้าร้านมา แต่ยามออกจากร้านปิ่นก็หายไป บอกว่ามีใครบางคนในร้านขโมยปิ่นของนางไป น้องชายผู้นั้นกล่าวว่าฮูหยินสยายผมยามดื่มชา จากนั้นก็ไม่ได้ปักปิ่นกลับไป ฮูหยินคลำแขนเสื้อดูก็พบมันอยู่จริง ๆ หรือว่าเขาจะเป็นเทพ?”
“นอกจากนั้น ไม่ว่าผู้อื่นจะซื้อสิ่งใดบ้าง เขาก็สรุปราคาให้ได้เดี๋ยวนั้นเลย ช่วงนี้เราลดราคาสินค้าอยู่ เขาก็คิดราคารวมส่วนลดให้ทันทีด้วยเช่นกัน”
“เถ้าแก่เนี้ย ให้เขาเป็นคนทำบัญชีเถอะนะ! หากคนผู้นี้อยู่ เราจะประหยัดได้มากเลยเชียว”
มู่ซืออวี่กล่าวกับเฟิงเจิงว่า “ข้าว่าเจ้าอยากลอยชายมากกว่า”
เฟิงเจิงฉีกยิ้ม “ข้าปวดเศียรทุกครั้งยามทำบัญชี อยากได้ผู้ช่วยสักคนจริง ๆ”
“ดูไปก่อน เจ้าจะให้เขาทำบัญชีก็ได้ ข้าไม่ออกความเห็น”
“ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย”
เหวินอี้เห็นมู่ซืออวี่แล้วก็เข้ามาทักทาย “ฮูหยินลู่ ขอบคุณที่ให้ที่พักพิงแก่ข้า”
“ด้วยความยินดี เจ้าก็ช่วยข้าเช่นกัน” มู่ซืออวี่กล่าว “หากต้องการ เจ้าจะทำงานเป็นคนทำบัญชีให้ข้า ช่วยคำนวณราคาไปก็ได้ 2 ตำลึงเงินหนึ่งทุกเดือน พอหรือไม่?”
“พอขอรับ” เหวินอี้แสนยินดี
“แต่ว่า…” มู่ซืออวี่มองการแต่งกายของเหวินอี้ “เจ้าไม่มีสัมภาระ ข้าจะให้เจ้ายืมไปก่อน 500 อีแปะ ไปซื้อชุดใหม่สักสองชุดนะ”
“ฮูหยินไปซื้อกับข้าได้หรือไม่? ข้าไม่คุ้นที่ทางที่นี่ ไม่อาจทราบว่าต้องซื้อที่ไหนดี?” เหวินอี้กล่าว
“เฟิงเจิง เจ้าพาเขาไปซิ”
“เถ้าแก่เนี้ยละเว้นข้าเถิด เวลาสตรีเช่นท่านจับจ่าย พวกท่านต่อราคาให้ถูกลงกึ่งหนึ่งได้ แต่บุรุษอย่างเราทำไม่ได้จริง ๆ” เฟิงเจิงปวดเศียร
มู่ซืออวี่หันมองคนอื่น ๆ
พวกคนงานเองก็โบกมือ “เราต่อราคาไม่ได้เช่นกัน”
“หนก่อนข้าเห็นมารดาข้าสับราคาผักกาดขาวจาก 10 อีแปะเหลือ 5 จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าสตรีเป็นเผ่าที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก”
มู่ซืออวี่ใช้สมุดในมือฟาดคนพูด “เจ้าว่าอย่างไรนะ วอนโดนตีเสียแล้ว”
ผู้คนรอบ ๆ หัวเราะร่า
“ช่างเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปซื้อ” มู่ซืออวี่กล่าว “บังเอิญตัวข้าเองก็อยากออกไปเดินเล่นเช่นกัน”
มู่ซืออวี่พาเหวินอี้เข้าไปในร้านเสื้อผ้าพร้อมสวมใส่
นางเลือกเสื้อผ้า แต่ก็ไม่พบชิ้นที่พอใจ จู่ ๆ นางก็คิดถึงสายตาของเจิ้งซูอวี้ขึ้นมา ไม่ได้พบเจิ้งซูอวี้ในช่วงนี้เลย ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“ฮูหยินลู่” หนึ่งเสียงอันนุ่มนวลดังมาจากด้านหลังนาง
เฉินซือจวินเดินเข้ามาพร้อมสาวใช้ชิวสุ่ย
“คุณหนูเฉิน”
“ฮูหยินลู่ยังจำข้าได้หรือ?” เฉินซือจวินแย้มยิ้ม “จะว่าไป พบฮูหยินลู่ก็ดีแล้ว ยาขวดนี้ให้พี่ใหญ่ลู่ แม้อาการบาดเจ็บของเขาใกล้หายดีแล้ว แต่ก็ยังมีพิษหลงเหลือในกาย นี่คือยาขับพิษที่ข้าทุ่มเทกำลังหามา”
“ถูกพิษหรือ?” มู่ซืออวี่งุนงง
“เจ้ามาเป็นฮูหยินได้อย่างไรกัน? ไม่รู้กระทั่งสามีถูกพิษ หากไม่ใช่เพราะคุณหนูของข้าดูแลไต้เท้าลู่อยู่สองสามวัน เกรงว่า…”
“ชิวสุ่ย!” เฉินซือจวินกล่าวตำหนิ “เจ้าพูดอะไรของเจ้า”
มู่ซืออวี่มองเฉินซือจวินด้วยสีหน้าเยือกเย็น ไม่อาจมองออกว่าในใจคิดเช่นไร
เฉินซือจวินกล่าวอย่างขัดเขิน “เด็กคนนี้พูดเพ้อเจ้อ แต่ฮูหยินลู่ไม่ทราบหรือว่าพี่ใหญ่ลู่ถูกพิษ? นั่นต้องเป็นเพราะพี่ใหญ่ลู่ไม่อยากให้ท่านกังวลเป็นแน่ หากให้พี่ใหญ่ลู่รู้ว่าข้าบอกฮูหยิน เกรงว่าคงโทษข้าแน่แท้”
“นั่นแหละนิสัยเขา ทำเหมือนข้าทำจากกระดาษ กระทบกระเทือนเล็กน้อยก็ไม่ได้ สุดท้ายก็ซ่อนเรื่องใหญ่เช่นนี้จากข้า เคราะห์ดีที่คุณหนูเฉินบอกข้า ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกเขาปิดตาอยู่เรื่อยไป ขอบคุณสำหรับยา ข้าจะมอบมันให้เขาเอง” มู่ซืออวี่กล่าวเรียบ ๆ