สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 261 แปลงโฉมเหวินอี้
บทที่ 261 แปลงโฉมเหวินอี้
บทที่ 261 แปลงโฉมเหวินอี้
เหวินอี้เปิดม่านเดินออกมาจากห้องแต่งตัว
เขาสวมชุดใหม่สีขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ ลายไผ่สีหมึกที่ปักไว้ตรงชายเสื้อขับอาภรณ์เรียบง่ายดูสง่างามขึ้นเล็กน้อย
ที่เอวรัดเข็มขัดสีเขียวกัน ทว่าลายเมฆที่เข็มขัดปักด้วยดิ้นทอง เสื้อผ้าจึงดูจืดชืดน้อยลง
เนื้อผ้าอาจจะธรรมดา ทว่าตกแต่งตัดเย็บได้ดี ขับให้ผู้สวมใส่ดูดี เสียอย่างเดียวที่เขาผอมแห้งเกินไป หากมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นมาอีกสักหน่อยคงสมบูรณ์แบบ
มู่ซืออวี่พินิจรูปลักษณ์ของเหวินอี้อย่างละเอียด รู้สึกว่าเคยเจอเขามาก่อน แต่ไม่อาจจำได้
ดวงตาคู่นี้ใสกระจ่าง บริสุทธิ์งดงามยามเสสรวล หากไม่ถามอายุคงคิดว่าเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเป็นแน่ ทว่าอายุของเขาปีนี้ยี่สิบห้าแล้ว
“อาภรณ์นี้ทำขึ้นมาเพื่อคุณชายโดยแท้” เถ้าแก่แย้มยิ้มกล่าวว่า “เถ้าแก่เนี้ยคิดอย่างไร?”
“ไม่ผิด” มู่ซืออวี่กล่าว “เอาตัวนี้ ตัวที่เพิ่งลองเมื่อครู่ด้วย”
“คุณชายดูดี ไม่ว่าจะสวมอาภรณ์ใดก็ดูดี” เถ้าแก่ขายของได้ วาจาที่พูดย่อมไพเราะน่าฟัง
เฉินซือจวินกล่าวกับเหวินอี้ว่า “คุณชายผู้นี้ดูคุ้น ๆ ไม่รู้ว่าควรเรียกท่านอย่างไร?”
เหวินอี้แย้มยิ้มสุภาพ “ผู้น้อยแซ่เหวิน ชื่ออี้ตัวเดียว เป็นผู้ช่วยที่ร้านของฮูหยินลู่ขอรับ”
“ผู้ช่วย?” เฉินซือจวินกล่าวกับมู่ซืออวี่ “ฮูหยินลู่เลือกผู้ช่วยได้ดีแท้”
“แน่นอน” มู่ซืออวี่กล่าวเรียบ ๆ “หากคุณหนูเฉินไร้ธุระอื่นใด เราคงต้องขอตัวก่อน”
ชิวสุ่ยมองมู่ซืออวี่และเหวินอี้เดินจากไป ก่อนจะกล่าวกับเฉินซือจวินว่า “ฮูหยินลู่ผู้นี้ไม่เพียงออกมาทำธุรกิจเยี่ยงบุรุษ แต่ยังพาชายอื่นไปไหนมาไหน ไต้เท้าลู่ใจกว้างจริงแท้”
ในขณะที่เฉินซือจวินหันไปกล่าวกับเถ้าแก่ว่า “สินค้าที่ข้าสั่งไว้มาถึงหรือยัง?”
…
มู่ซืออวี่มองขวดยาในมือ
ถูกพิษงั้นรึ?
“ฮูหยิน มีผู้เรียกท่านขอรับ” เหวินอี้กล่าวเตือนมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่หันตามนิ้วที่เขาชี้ พบว่าเจิ้งซูอวี้ทักทายนางจากบนรถม้า
นางแย้มยิ้มแล้วเดินไปหา “ไม่ได้พบกันหลายวัน คิดว่าช่วงนี้ท่านไม่ได้อยู่ในเมืองฮู่เป่ยเสียอีก”
“หาที่คุยกันเถอะ” เจิ้งซูอวี้กล่าว “ท่านนั้นคือ…”
“ผู้ช่วยของข้า” มู่ซืออวี่หันกลับมากล่าว “ข้าจะให้เขาปลีกตัวไปก่อน”
“ได้”
เหวินอี้ฟังวาจาของมู่ซืออวี่แล้วพยักหน้ารับ
มู่ซืออวี่เข้าไปในรถม้าของเจิ้งซูอวี้
“ท่านผอมลงนะ” มู่ซืออวี่กล่าวกับเจิ้งซูอวี้ “เรื่องการแต่งงานเข้าสกุลเฉียนของท่าน…”
“ข้าไม่แต่ง!” แววตาของเจิ้งซูอวี้วาวโรจน์ “ข้าในช่วงนี้ใช้ชีวิตในชนบท คิดเอาชีวิตตัวเองเหมือนกัน แต่ท้ายที่สุดก็ทำไม่ได้ ข้าไม่อยากแต่งงานกับคนเช่นนั้น”
“หากท่านไม่แต่งงาน แล้วคนในสกุลท่านจะยอมหรือ?”
“ไม่ยอมหรอก แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าตั้งใจจะออกจากสกุล ตัดขาดจากกันไปเลย” เจิ้งซูอวี้กล่าว “ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่ปล่อยข้าไปง่าย ๆ หรอก ข้าก็เลยตัดสินใจ…”
“ตัดสินใจอะไร?”
“ช่างเถอะ เรื่องของข้า ไม่รบกวนท่านหรอก” เจิ้งซูอวี้ส่ายหัว “ได้พบหงซูบ้างหรือไม่?”
มู่ซืออวี่ส่ายหน้า
“ก็จริง พวกท่านไม่ได้เป็นศัตรูกัน ไม่น่าได้ติดต่อกันด้วย” เจิ้งซูอวี้กล่าว “สองสามวันที่แล้ว หงซูแต่งงานกับฟางโจวอวี่ ข้ากลับมาที่นี่วันนี้ จึงได้เห็นว่าสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก ยามนั้นข้าตัดสินใจแล้วว่าต้องไม่แต่งกับคนแซ่เฉียน ไม่เช่นนั้นชีวิตข้าคงจบสิ้นแน่แท้”
มู่ซืออวี่ชื่นชมเจิ้งซูอวี้มาโดยตลอด นางแตกต่างจากสตรีในยุคสมัยนี้ เป็นหญิงผู้กล้าแสดงออก
ทว่าการทำตัวขวางโลกในยุคสมัยนี้ช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย การหมั้นหมายดำเนินมาช้านาน นางจะหลุดพ้นจากวิกฤตหนนี้ได้อย่างไร?
“สามีของท่าน ยามนี้กลายเป็นผู้ประเสริฐไปเสียแล้ว” จู่ ๆ เจิ้งซูอวี้ก็พูดถึงลู่อี้ “บ้านเรือนร่ำรวยผู้คนทั้งหลายในเมืองต้องประจบประแจงเขา พูดถึงลู่อี้ยามนี้ ใครเล่าจะกล้าไม่ไว้หน้าเขา?”
“มันจะเลยเถิดเพียงนั้นได้อย่างไร?”
“ท่านไม่เคยเห็นตอนที่เขาเผยอำนาจล่ะสิ?” เจิ้งซูอวี้กล่าว “ข้าล่ะอิจฉาท่านจริง ๆ หากชั่วชีวิตข้าหาคนเช่นนี้ได้ แม้ตายก็ไม่เสียใจแล้ว แต่น่าเสียดาย…”
วาสนาดีเช่นนั้น ช่างยากที่นางจะได้รับ…
มู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้ทานอาหารร่วมกันก่อนจะแยกทาง
นางมุ่งตรงกลับเรือนสกุลลู่ และทันทีที่เข้ามาก็เห็นท่านหมอจู อีกฝ่ายกับถงซื่อกำลังเสวนาบางอย่าง ดูเหมือนกำลังทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง
“พวกท่านทะเลาะกันหรือ?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ
คนนิสัยอ่อนโยนอย่างถงซื่อยังทะเลาะกับท่านหมอจูได้หรือ?
“เปล่านะ ก็แค่…”
“เปล่าอะไร? เจ้ามาคุยกับแม่เจ้าที วันนี้ไปพบพ่อเจ้าที่ถนน เขาซื้อปิ่นให้นาง แล้วนางก็รับมันมา เจ้าว่านางทำเกินไปหรือไม่?”
“ข้าไม่ได้รับมัน เขายัดมันใส่มือข้าแล้วหนีไปต่างหาก”
“เช่นนั้นเจ้าไม่โยนมันทิ้งเล่า?”
“นั่นปิ่นเงินนะ โยนทิ้งไปก็เสียดาย ต้องเอาไปคืนเขาสิ”
มู่ซืออวี่มองท่านหมอจูสลับกับถงซื่อ ก่อนจะถามอย่างสงสัย “แล้วเหตุใดท่านหมอจูถึงโกรธเพียงนั้นเล่า?”
ถงซื่อและท่านหมอจูล้วนผงะไป
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเบือนหน้าหนี
“ข้าไม่โมโหได้อย่างไร บิดาเจ้าทำอย่างไรกับมารดาเจ้ามาบ้าง เราทั้งหลายล้วนรับรู้ นางหลงลืมกระมังว่าเคยถูกทุบตี ข้าจะระงับโทสะได้หรือ?” ท่านหมอจูกล่าวหลังจากโดนถงซื่อส่งสัญญาณให้เป็นฝ่ายพูด
“แต่แม่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด นำไปคืนเขาก็ได้นี่ ไม่จำเป็นต้องโยนทิ้ง ปิ่นเงินไม่ได้ต่างจากปิ่นไม้ แต่มันก็ต้องใช้เงินซื้อมาเช่นกันไม่ใช่หรือ?” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่าแม่ก็ด้วย หากเห็นเขายัดของใส่มือก็หลบเสีย อย่าให้โอกาสเขาสิ ท่านอย่าใจอ่อนอีกเลย ต้องชัดเจนเข้าไว้ ไม่ว่าอย่างไร อย่ายุ่งกับเรื่องปั่นป่วนในสกุลมู่เลย วันนั้นข้าเห็นมู่เจิ้งอี้ถูกคนจากเรือนวสันต์ทุบตีเอาแทบแย่”
“ที่แท้เขาก็ถูกคนจากเรือนวสันต์ตีมา” ถงซื่อกล่าว “หลังจากที่เขาถูกทุบตี เขาก็นอนติดเตียงไปนาน ช่วงนี้พ่อแม่ของเขาคิดหมั้นหมาย ดูเหมือนอยากจะแต่งสะใภ้มาดูแลเขานะ”
“ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าแม่นางผู้ใดจะโชคร้ายต้องมาแต่งกับคนเช่นนี้” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างเดียดฉันท์ “จะว่าไป ท่านหมอจู พวกป้าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“สภาพร่างกายลุงเจ้าดีขึ้นมากแล้ว” ท่านหมอจูกล่าว “ป้าเจ้านิสัยดี เหยาซื่อในหมู่บ้านมักช่วยนาง นางอยู่ดีในหมู่บ้านเราเอาการ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” มู่ซืออวี่วางใจ
นางนำขวดยาจากในแขนเสื้อส่งให้ท่านหมอจู “ท่านหมอจู ช่วยข้าดูทีว่ายานี้มีปัญหาใดหรือไม่”
ท่านหมอจูรับมันมาแล้วเอ่ยถาม “ยาอะไร?”
เขาเปิดออกดม เทออกมาเม็ดหนึ่งแล้วขยี้เป็นผง ชิมเข้าปากไปเล็กน้อย
“อย่ากินสุ่มสี่สุ่มห้านะ” ถงซื่อกล่าวอย่างกังวล
“อย่าห่วงเลย นี่เป็นยาถอนพิษ” ท่านหมอจูกล่าว “หมอผู้จ่ายยานี้เก่งกาจ สมุนไพรที่ใช้ก็ล้วนเป็นของดี ยาถอนพิษดี ๆ เช่นนี้ เจ้าไปได้มาจากที่ใด?”
“มีผู้ให้มันกับข้า บอกว่าให้สามีข้า เขาถูกพิษเมื่อสักพักก่อน ตอนนี้ยังมีพิษตกค้างอยู่ในกาย” มู่ซืออวี่กล่าว “เมื่อเขากลับบ้าน รบกวนท่านหมอจูจับชีพจรให้เขาหน่อยนะ”