สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 266 คิดวิธีอื่นได้
บทที่ 266 คิดวิธีอื่นได้
บทที่ 266 คิดวิธีอื่นได้
มู่ซืออวี่นวดแป้ง ทำขนมอบอันประณีตสารพัดชนิด
ข้อจำกัดในสมัยโบราณมีมากมาย นางต้องหาทางทำติ่มซำของยุคปัจจุบันจากข้อจำกัดเหล่านั้น โดยเฉพาะเค้กที่ต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมาก นั้นหายากเป็นที่สุด
“พี่สะใภ้” ลู่เซวียนเดินเข้ามา “ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง?”
มู่ซืออวี่หันมองกลับมาอย่างสงสัย “เจ้าไม่ต้องทำอะไรหรอก ทำธุระของเจ้าเถอะ”
“แต่ว่า…” ลู่เซวียนลังเล
“เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าหรือ?” มู่ซืออวี่ชะงักมือของนาง “แม้ข้าจะไม่ได้ฉลาดล้ำเท่าพี่ชายเจ้า แต่ก็พอช่วยเจ้าคิดได้บ้างนะ ว่ามาเถิด”
“วันนี้ข้าพบคุณหนูรองเจิ้งมา”
ลู่เซวียนค่อย ๆ เล่าเรียงการพบปะกับเจิ้งซูอวี้เมื่อครู่นี้
มู่ซืออวี่ฟังแล้วก็ตกตะลึง หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้
“นางคิดอะไรอยู่?”
“แล้วข้าก็มาครุ่นคิดดู คุณหนูรองเจิ้งต้องไร้หนทางอื่นใดแล้ว จึงมาพูดเรื่องน่าขันเช่นนี้กับคนอย่างข้า ข้าเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย เฉียนจงอวิ๋นผู้นั้นไม่ใช่คนดี หากบังคับนางให้แต่งกับคนเช่นนั้นจริง เกรงว่าคงอาภัพไปชั่วชีวิตเป็นแน่ แม้ข้าจะไร้สัมพันธ์ใด ๆ กับคุณหนูรองเจิ้ง แต่นางก็เป็นสหายของท่าน อีกทั้งก่อนหน้านี้นางยังช่วยครอบครัวเรามามาก ข้าจึงร้อนใจมาก”
“อย่าห่วงเลย แม้จะไม่มีเจ้า นางก็ยังมีหนทางอื่น เพียงแค่ว่าเทียบกันแล้ว เจ้าที่นางอยากแต่งงานด้วยจะปลอดภัยที่สุดก็ตามที” มู่ซืออวี่กล่าวยิ้ม ๆ
ลู่เซวียนกระแอมเบา ๆ “พี่สะใภ้อย่าพูดมั่ว ๆ สิ”
“เจ้าดีกว่าเจ้าคนแซ่เฉียนนั่นเป็นไหน ๆ สายตาของนางไม่ผิด แต่การถือการแต่งงานเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ได้เห็นด้วย เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก” มู่ซืออวี่กล่าว “แต่ข้าเป็นสหายนาง จะละเลยเรื่องของนางไม่ได้ ข้าจะถามนางว่ามีหนทางอื่นหรือไม่ หากไม่ สู้ให้นางออกจากเมืองฮู่เป่ยไปหาที่อยู่ใหม่ยังดีเสียกว่า”
หากเจิ้งซูอวี้คิดจะไป มู่ซืออวี่จะขอให้ลู่อี้หาทางจดทะเบียนสาแหรกตระกูลใหม่ เจิ้งซูอวี้จะได้เปลี่ยนตัวตนและใช้ชีวิตอย่างไร้ข้อจำกัด
ลู่เซวียนฟังวาจาของมู่ซืออวี่แล้ว เขาก็ยิ่งไม่สบายใจ
ขอเพียงเจิ้งซูอวี้ไม่ตกลงสู่เงื้อมมือมาร เขาก็ไม่ต้องมารู้สึกผิด
มู่ซืออวี่อยากไปหาเจิ้งซูอวี้ นางรอให้ติ่มซำนึ่งเสร็จ แล้วค่อยนำไปเป็นขนมกินเล่นระหว่างทาง ทว่าเมื่อนำขนมไปหาเจิ้งซูอวี้ ก็มีผู้บอกนางว่าเจิ้งซูอวี้ไม่ได้อยู่ในบ้านสกุลเจิ้งมานานแล้ว
“ฮูหยินลู่ใช่หรือไม่?” รถม้าหยุดลง สาวใช้ของเจิ้งซินเยว่เลิกม่านขึ้น และเจิ้งซินเยว่ที่นั่งในรถม้าก็กล่าวกับนางว่า “น้องรองไม่ได้อยู่บ้านแล้ว หากจะมาหานาง ไปตรอกหวงเจียวเถิด บ้านของนางมีประตูสีแดง”
“ขอบคุณคุณหนูใหญ่เจิ้งมาก”
“ฮูหยินลู่ ช่วยข้าเกลี้ยกล่อมน้องรองหน่อยเถิด เรื่องการแต่งงานเป็นการจับคู่ของบุพการี หากนางซ่อนตัวเช่นนี้ ภายหน้านางแต่งเข้าสกุลแล้วจะลำบากนะ” เจิ้งซินเยว่มีท่าทีดูราวกับเป็นห่วง “น้องสาวผู้นี้ของข้ามีความคิดเป็นของตนเองมาแต่เด็ก ชอบเข้าใจข้าผู้เป็นพี่สาวผิดไป ไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมใด ๆ จากข้าเลย ฮูหยินลู่มีสัมพันธ์อันดีกับนาง และนางก็มักฟังคำท่านอยู่บ้าง วันแต่งก็ใกล้เข้ามาแล้ว ฮูหยินลู่ช่วยหน่อยเถิด”
“ข้ามีบางสิ่งต้องคุยกับซูอวี้ ไม่สะดวกให้เรื่องส่วนตัวของนางมารบกวน” หลังจากที่มู่ซืออวี่กล่าวจบ นางก็หันหลังจากไป
“ฮูหยินลู่ บอกน้องรองข้าทีว่าอารองล้มป่วยเพราะนาง หากนางยังเป็นลูกกตัญญูก็ไม่ควรให้เขาลำบากเพียงนี้”
มู่ซืออวี่หาประตูสีแดงที่เจิ้งซินเยว่บอกตำแหน่งจนพบ นางเคาะประตู ยิ่งได้ยินเสียงของชิวซวงดังมาจากข้างในก็ยิ่งรู้ว่าไม่ผิดแน่
ดูเหมือนว่าทุกการกระทำของเจิ้งซูอวี้จะอยู่ภายใต้การจับตามองของสกุลเจิ้ง และสกุลเจิ้งก็รู้ว่านางจะไม่ไปจากเมืองฮู่เป่ย จึงปล่อยนางสัญจรข้างนอกในช่วงเวลานี้
หากเจ้าตัวไม่กลับไปในวันแต่งงาน เกรงว่าคนสกุลเจิ้งคงจับนางผูกกับเกี้ยวเจ้าสาวเป็นแน่
“ฮูหยินลู่ ไฉนท่านจึงมาที่นี่?”
“คุณหนูของเจ้าอยู่หรือไม่?”
“เราเพิ่งกลับมา คุณหนูก็อยู่เจ้าค่ะ โปรดเข้ามาก่อน”
เสียงของเจิ้งซูอวี้ดังมาจากข้างใน “ผู้ใดมากัน?”
มู่ซืออวี่กล่าวว่า “ข้าเอง”
“ข้าได้กลิ่นหอม ๆ ทำของอร่อยมาหรือ?” เจิ้งซูอวี้เดินออกมาจากข้างใน
“จมูกสุนัขหรือ? ข้าทำขนมอบอร่อย ๆ มาจริง ๆ นั่นแหละ ท่านต้องไม่เคยกินมาก่อนเป็นแน่ มาลองดูสิ”
“เช่นนั้นข้าก็ต้องขอลองสักหน่อย”
“แม่นางชิวซวง ท่านก็มาลองชิมสิ”
“ข้าคงไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” ชิวซวงกล่าว
มู่ซืออวี่เห็นชิวซวงเข้าเรือนไปก็กล่าวกับเจิ้งซูอวี้ว่า “คิดวิธีได้หรือยัง?”
“น้องสามีของท่านเล่าให้ท่านฟังทุกอย่างจริง ๆ ด้วย กระทั่งเรื่องพรรค์นี้ยังบอก” เจิ้งซูอวี้กล่าวยิ้ม ๆ “ข้าไม่ได้คิดเป็นอื่น คิดแค่ว่าคงดีหากได้เป็นญาติกับท่าน แต่ปฏิกิริยาของเขาก็เป็นดังที่คาดคิดไว้แล้ว คนเช่นเขาคงไม่สละความสุขของตนเพื่อสตรีที่ไม่รู้จักหรอก”
“อย่าใส่ใจเลย เขาเป็นห่วงสถานการณ์ของท่านนะ จึงได้มาบอกข้าเรื่องนี้ เขาเองก็จิตใจอ่อนโยน หากให้ท่านแต่งกับคนแซ่เฉียนนั่นไปจริง ๆ เกรงว่าคงไม่สบายใจเป็นแน่”
“งั้นก็บอกให้เขาแต่งกับข้าสิ!”
“คิดอะไรของท่าน? เรื่องอย่างการแต่งงานจะเป็นเด็กเล่นกันไปได้อย่างไร?”
“ดูสิ เขาจิตใจอ่อนโยน แต่ไม่อยากแต่งกับข้า ท่านก็เห็นว่ายังมีบรรทัดฐานอยู่” เมื่อเจิ้งซูอวี้เห็นเค้กก้อนน้อย แววตาของนางก็เปี่ยมความประหลาดใจ “น่าอร่อยจริงเชียว”
มู่ซืออวี่มองเจิ้งซูอวี้กินเค้กก้อนน้อยจนหมดชิ้น
“อร่อยมาก หากไม่ทำเครื่องเรือน มาทำขนมแบบนี้ขายคงรวยเละเทะเป็นแน่”
“แน่นอน อย่าลืมนะว่าข้าก็ทำเงินจากการขายหมูตุ๋นเหมือนกัน” มู่ซืออวี่กล่าว “เรื่องของกินนี่ ข้านับว่าไม่เลว”
ถึงอย่างไร ในเมื่อโสดมาหลายปี หากไม่เลี้ยงอาหารตัวเองให้ดี คงน่าเศร้าเกินไปกระมัง?
“จริงด้วย!” เจิ้งซูอวี้อิจฉา “เห็นท่านทำธุรกิจแล้วสามีไม่ห้ามปราม ข้าก็คิดว่าน้องสามีท่านก็ไม่เลว หากแต่งงานกับเขา โยงญาติกับท่าน ภายหน้าข้าก็ทำธุรกิจได้อย่างมั่นใจ”
“ความคิดดี หากท่านทั้งสองมีความสุขข้าก็สนับสนุนยิ่งนัก แต่ยามนี้พวกท่านไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ดังนั้นอย่าคิดมั่วซั่วดีกว่า ต่อไปข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร? ในเมื่อให้ยืมลู่เซวียนบ้านข้าไม่ได้ แต่ถ้ามีอะไรที่ข้าทำได้ก็ว่ามาเถิด อย่าคิดมาก”
“ข้าคิดหาทางออกอยู่หลายวิธี หนึ่งในนั้นคือให้คนมาทักข้าว่าเป็นหมัน ไม่อาจแต่งงานได้ สองคือบอกว่าข้าเสียพรหมจรรย์ไป ทำลายชื่อเสียงของตัวเอง สามคือประกาศต่อโลกภายนอกว่าข้ามีสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้อื่น ไม่ได้อยู่ในจรรยาวิถีแห่งสตรี…”
มู่ซืออวี่ “…”
เจิ้งซูอวี้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็แย้มยิ้ม “ท่านทำหน้าเช่นนั้นทำไม? ข้าพูดถึงตัวข้าเอง ไม่ใช่ท่านนะ ใช่ว่าท่านต้องถูกสาดน้ำเน่าใส่สักหน่อย”
“โลกนี้โหดร้ายไร้ความยุติธรรมต่อสตรี ท่านทำร้ายตนเองเช่นนี้ แล้วภายหน้าจะอยู่อย่างไร?” มู่ซืออวี่กล่าว “นอกจากนั้น หากท่านอยากทำธุรกิจ ชื่อเสียงไม่ดีแล้วจะทำได้หรือ?”
“เดิมทีข้าคิดจะทำเช่นนั้น แต่พอคิด ๆ ดูแล้ว ไฉนข้าต้องให้ตัวเองมาทุกข์ทรมานเช่นนี้ด้วย? ข้าเลยเปลี่ยนใจ คิดอีกวิธีขึ้นมา”