สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 274 ลูกชายพึ่งพามารดา
บทที่ 274 ลูกชายพึ่งพามารดา
บทที่ 274 ลูกชายพึ่งพามารดา
มู่ซืออวี่นั่งอยู่ข้างเตียง ถือถ้วยโจ๊กเอาไว้ในมือ กำลังใช้ช้อนตักโจ๊กป้อนลู่ฉาวอวี่
“พอแล้ว” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้น “ข้าอิ่มแล้ว”
มู่ซืออวี่มองโจ๊กที่เหลืออยู่ครึ่งถ้วยแล้วกล่าวว่า “อีกเดี๋ยวหากหิวแล้วก็เรียกข้า สามวันนี้ทานได้เพียงโจ๊กเท่านั้น แต่เจ้าจงวางใจ แม่สามารถทำโจ๊กได้หลายอย่าง โจ๊กปลา โจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้า โจ๊กเนื้อวัวใส่มันแกว โจ๊กน้ำซุปไก่ แม่ทำได้อีกเยอะ ถึงแม้จะเป็นโจ๊ก แต่รสชาติกลับไม่เหมือนกัน เจ้าไม่เบื่อหรอก”
“อืม”
“ครั้งนี้อาการป่วยของเจ้าต้องระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยของทุกคน แม่จะอยู่ที่นี่กับเจ้าสิบวัน หากผ่านสิบวันไปแล้วเราไม่เป็นอะไรก็ออกไปได้แล้ว” มู่ซืออวี่เก็บถ้วยเก็บชาม
“กิจการที่ร้านจะทำอย่างไร?”
“เฟิงเจิงทำงานได้ยอดเยี่ยม ยังมีท่านลุงเซี่ยของเจ้ากับจือเชียนอีก พวกเขาล้วนเป็นผู้ช่วยที่ดี สิบวันเร็วยิ่งนัก พวกเขาจัดการได้” มู่ซืออวี่หยิบหนังสือข้าง ๆ นางมาส่งให้เขา “ข้ารู้ว่าเจ้าจะเบื่อ รับไป สองวันนี้เจ้าอ่านหนังสือไปก่อน ผ่านสองวันนี้ไปแล้ว หากเจ้าดีขึ้นจนสามารถลุกจากเตียงได้ ถึงตอนนั้นจะเขียนตัวอักษรก็ได้”
ลู่ฉาวอวี่รับหนังสือมา ก่อนจะมองมู่ซืออวี่เดินออกไปนอกห้อง
เรือนของเหวินอวี่เซวียนไม่เล็ก เดิมทีห้องข้าง ๆ เป็นห้องเก็บของเบ็ดเตล็ด ดังนั้นเพื่อที่จะให้มู่ซืออวี่สะดวกต่อการดูแลลู่ฉาวอวี่ เหวินอวี่เซวียนจึงให้ช่างฝีมือหลายคนเปลี่ยนห้องข้าง ๆ ให้เป็นห้องครัวเล็ก ๆ โดยเฉพาะ
มู่ซืออวี่ไม่ได้ออกไปนอกเรือนสกุลเหวินชั่วระยะหนึ่ง นอกจากห้องที่ลู่ฉาวอวี่พักอยู่แล้ว สถานที่แห่งเดียวที่นางเดินไปเดินมาได้ก็คือห้องครัวเล็กที่อยู่ข้าง ๆ เหวินอวี่เซวียนนำเตียงหลังเล็กนุ่ม ๆ มาตั้งไว้ในห้องของลู่ฉาวอวี่ ให้นางใช้นอนในช่วงนี้
“ฮูหยิน” ลู่อี้เดินร้อนรนเข้ามาหา
มู่ซืออวี่ยืดแขนออกไปหยุดเขาไว้ “อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้”
ลู่อี้ขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินแล้ว ในเมื่อเจ้าจะอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าก็จะอยู่กับเจ้า”
“ไม่ต้องแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่านยังต้องดูแลครอบครัว จะมาเสียเวลาอยู่กับข้าได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นฉาวอวี่กับข้าไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแค่นอนเกียจคร้านอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
“ไม่ได้ ข้าไม่วางใจ”
“พวกเราไม่แม้แต่จะออกไปข้างนอก มีสิ่งใดให้ต้องกังวล? หากท่านติดอยู่ที่นี่เช่นกัน แล้วที่บ้านมีเรื่องเกิดขึ้นก็ย่อมไม่มีคนคอยจัดการ ท่านดูทั้งเด็กและผู้เฒ่าที่อยู่ข้างนอกสิ ท่านจะทิ้งพวกเขาไว้เพียงลำพังได้อย่างวางใจจริง ๆ หรือ?”
“แต่ว่า…”
พอลู่อี้ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับลู่ฉาวอวี่ และมู่ซืออวี่ได้เสี่ยงชีวิตเพื่ออยู่กับลูกชาย เขาก็รีบมาทันที คิดเพียงแค่ว่าอยากปกป้องภรรยากับบุตรของตน
ถึงแม้สิ่งที่นางเอ่ยมาจะมีเหตุผล ทว่าเดิมทีเขาก็ไม่อยากวิเคราะห์สถานการณ์อย่างเคร่งขรึมเช่นนั้นแม้แต่น้อย
ลู่อี้เพียงแค่อยากคุ้มครองครอบครัว อยู่เคียงข้างพวกนาง ถึงแม้เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ อย่างน้อยอยู่ที่นั่นก็จะทำให้พวกนางหวาดกลัวและกังวลน้อยลง
“เอาล่ะ” มู่ซืออวี่โบกมือ “ท่านรีบไปเถอะ ข้ารู้ว่าท่านมีเรื่องที่ต้องทำอีกไม่น้อย”
ลู่อี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็สงบลงแล้วทำตามที่มู่ซืออวี่บอก
สองสามวันต่อมา จือเชียนมารายงานสถานการณ์ที่ร้านให้ฟังผ่านประตู
เรื่องทั่ว ๆ ไปเขาย่อมไม่มารบกวนนาง ทุกครั้งที่ไม่อาจตัดสินใจได้ถึงจะมาปรึกษากับนาง
ทุกวันลู่อี้จะมาอยู่กับพวกเขาสองแม่ลูกอย่างน้อยวันละสองชั่วยาม ถึงแม้จะไม่ได้เข้าไปในห้อง แต่เขาจะย้ายเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างนอก พูดคุยกับมู่ซืออวี่บ้าง สอนความรู้ให้ลู่ฉาวอวี่บ้าง
“ฮูหยิน สตรีที่พวกเราช่วยไว้วันนั้นคลอดลูกสาวออกมา” จือเชียนเอ่ยขึ้น “นางถูกตระกูลหวังขับไล่ออกมาทันทีหลังจากที่ให้กำเนิดลูกสาว”
มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “ถูกขับไล่ออกมา? เพราะเหตุใด? เพียงเพราะนางให้กำเนิดลูกสาวงั้นหรือ?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ” จือเชียนเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินว่าคุณชายหวังผู้นั้นรับอนุคนใหม่เข้ามา อนุคนใหม่ก็ตั้งครรภ์แล้วเช่นกันขอรับ”
มู่ซืออวี่ส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ “ดูเหมือนว่าความคิดเพ้อฝันของมู่ซือเจียวจะมลายหายไปแล้ว”
เดิมทีลูกของมู่ซือเจียวก็ไม่ใช่บุตรของคุณชายตระกูลหวังผู้นั้นอยู่แล้ว มู่ซือเจียวอยากใช้ชีวิตอยู่ในความฝันอันเลื่อนลอยจึงหลอกลวงตนเองและผู้อื่น บัดนี้ต้องตื่นจากฝันแล้ว ทุกสิ่งย่อมต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้น
ไม่! บางทีอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่านั้น
“ท่านแม่ ท่านว่าภาพของข้าเป็นอย่างไร?” ลู่ฉาวอวี่ส่งภาพร่างที่เพิ่งวาดเสร็จมาให้มู่ซืออวี่ดู
ทั้งสองไม่เคยใกล้ชิดกันเท่าหลายวันมานี้ ในช่วงเวลานี้ ข้างกายของลู่ฉาวอวี่มีเพียงนาง ข้างกายนางก็มีเพียงลู่ฉาวอวี่ ทั้งสองคนใช้เวลาร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น จากความขัดเขินในตอนแรกกลายเป็นสนิทสนมกัน หลังจากที่มู่ซืออวี่สอนร่างภาพ ความสัมพันธ์ก็ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม
มู่ซืออวี่เอ่ยกับจือเชียนอีกสองสามคำ พอส่งเขากลับไปแล้วก็สอนลู่ฉาวอวี่ฝึกร่างภาพต่อ
นี่เป็นโลกใบใหม่ที่มู่ฉาวอวี่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“เงาตรงนี้ควรเข้มกว่า ส่วนฝั่งนี้สีอ่อนกว่า…” มู่ซืออวี่บอกข้อบกพร่องให้ลู่ฉาวอวี่ฟัง
ลู่ฉาวอวี่นั่งอยู่ตรงหน้าขาตั้งวาดรูป คิ้วของเขาขมวดมุ่นเล็กน้อย ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเข้าใจนัก
ผื่นบนใบหน้าเขาจางลงไปมากแล้ว ดูจากอาการฟื้นฟูของมันแล้ว คงไม่เหลือรอยแผลใด ๆ
กล่าวไปแล้วเด็กคนนี้เข้มแข็งยิ่งนัก
ผื่นเช่นนี้คันมาก นางบอกไม่ให้เขาเกา ไม่เช่นนั้นจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ได้ ตามกฎหมายของราชวงศ์นี้ ผู้ใดที่มีรอยแผลเป็นจะเข้าสอบขุนนางไม่ได้ จึงย่อมไม่เป็นผลดีต่อเขา ผลที่ได้คือไม่ว่าเด็กผู้นี้จะคันเพียงใด เขาก็ไม่เคยเกาใบหน้าของตน
“ข้าไม่เข้าใจ” ลู่ฉาวอวี่หันกลับมามองนาง “ท่านแม่ ท่านอธิบายให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่?”
มู่ซืออวี่จับมือเล็ก ๆ ของลู่ฉาวอวี่ขึ้นมา
ลู่ฉาวอวี่ตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดมือของมู่ซืออวี่ออกโดยสัญชาตญาณ
“ข้าจะพาเจ้าวาด” มู่ซืออวี่ลูบผมของลู่ฉาวอวี่ “หากเจ้าไม่ชินกับการแตะต้องกับคนอื่น เช่นนั้นแม่ก็จะไม่แตะเจ้าแล้ว”
ลู่ฉาวอวี่เม้มริมฝีปาก นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงส่งมือให้นาง “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านพาข้าวาดเถอะ!”
มู่ซืออวี่จับมือของลู่ฉาวอวี่ พาเขาปรับแก้ในส่วนของร่างเงา
“ตรงนี้… เจ้าลองสังเกตเงาของมัน…”
ลู่อี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง จ้องมองสองแม่ลูกที่กำลังวาดรูปราวกับตกอยู่ในภวังค์
ภาพตรงหน้างดงามเกินไป เขาไม่อาจเข้าไปทำลายมันได้…
ลู่ฉาวอวี่เองก็ไม่เคยดูผ่อนคลายเช่นนี้มาก่อน
เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดมาโดยตลอด ฉลาดเสียจนต้องเจ็บปวด นี่เป็นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด บัดนี้เห็นเขาพึ่งพามารดาเหมือนเด็กทั่วไป ลู่อี้จึงรู้สึกโล่งใจ
“ฉาวอวี่ เจ้าฉลาดมาก ไม่ว่าสอนสิ่งใดล้วนเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว” มู่ซืออวี่มองลู่ฉาวอวี่อย่างอ่อนโยน “เจ้าฉลาดจนแม่ตามไม่ทันเสียแล้ว เพียงแต่ฉาวอวี่ บางครั้งเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะซ่อนความสามารถไว้บ้าง อย่าได้โอ้อวดเกินไป แต่ไม่จำเป็นต้องซ่อนสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าพ่อแม่ ข้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่า หากเจ้าต้องจัดการกับผู้อื่นในภายหน้า อย่าได้เปิดเผยความสามารถต่อหน้าคนนอก”
“ข้าเข้าใจแล้ว เหมือนท่านพ่อของข้า เขาฉลาดยิ่งนัก ต่อมาคนจึงริษยาเขา” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ทว่าหากอยู่ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่แท้จริง วิธีการใดย่อมไร้ประโยชน์ หากข้าแข็งแกร่งมากพอ ข้าจะโอ้อวดได้มากเท่าที่ข้าต้องการ ก่อนที่ข้าจะแข็งแกร่ง ข้าต้องเรียนรู้ที่จะอดทนเสียก่อน”
มู่ซืออวี่ “…”
เจ้าเด็กคนนี้…
จะเฉลียวฉลาดเกินไปแล้ว
“พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่สิบแล้ว พวกเราออกไปได้แล้วกระมัง?” ลู่ฉาวอวี่ถามขึ้น
“ไม่ต้องรอถึงวันที่สิบแล้ว” เสียงลู่อี้ดังมาจากข้างนอก “ข้ามารับพวกเจ้ากลับบ้านแล้ว”