สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 278 ตกเลือดแล้ว
บทที่ 278 ตกเลือดแล้ว
บทที่ 278 ตกเลือดแล้ว
ทันทีที่ลู่อี้กลับมายังหมู่บ้าน ก็สวนทางกับรถม้าที่บ้าน ทว่าผู้ที่บังคับรถม้าไม่ใช่คนของบ้านตน แต่เป็นลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้าน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” ลู่อี้ถามคนในหมู่บ้าน
“มู่ซือเจียวตกเลือดอย่างหนักน่ะ หัวหน้าหมู่บ้านก็เลยยืมรถม้าบ้านท่าน ส่งนางไปรักษาในเมือง”
“ท่านหมอจูเล่า?”
“หมู่นี้ท่านหมอจูไม่อยู่ที่หมู่บ้าน พวกเราไม่รู้ว่าจะไปหาเขาจากที่ใด”
ลู่อี้แลกเปลี่ยนคำพูดตามมารยาทสองสามคำกับคนผู้นั้น จากนั้นจึงกลับไปที่บ้าน เมื่อผ่านประตูบ้านแม่เฒ่าเจียง ก็เห็นว่าบรรยากาศกำลังครึกครื้น แม่เฒ่าเจียงยังคงพูดคุยหัวเราะกับแขกเหรื่อ ดูไม่กังวลแม้แต่น้อย เขาอดรู้สึกรังเกียจขึ้นมาไม่ได้
“ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นถลกกระโปรงตัวเล็ก ๆ ขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปหาลู่อี้
ลู่อี้รับนางอย่างรวดเร็ว “เหตุใดจึงวิ่งเร็วเช่นนี้?”
“ข้าคิดถึงท่านแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยเสียงหวานเจื้อยแจ้ว “ท่านพ่อ วันนี้ข้าวาดรูปกับท่านพี่ ท่านรีบมาดูเร็วเข้าว่าข้าวาดเป็นอย่างไร”
ลู่อี้เคยเห็นลู่ฉาวอวี่ร่างภาพมานานแล้ว เขารู้สึกสนใจวิธีวาดภาพแบบใหม่นี้เป็นอย่างมาก หลังจากดูรูปวาดของลู่จื่ออวิ๋น จึงเอ่ยชมนางสองสามคำ
เขาเปลี่ยนไปถามหามู่ซืออวี่
“ท่านแม่ของเจ้าเล่า?”
“ป้าเหยามีเรื่องจะปรึกษา ท่านแม่ไปบ้านนางแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน มู่ซืออวี่ก็กลับมา
ลู่อี้เห็นนางใส่เสื้อผ้าเนื้อบางจึงเดินเข้าไปหานางแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดจึงใส่น้อยชิ้นนัก?”
“เมื่อครู่นี้ข้าทำงานอยู่ ไม่รู้สึกหนาว ตอนนี้รู้สึกเย็น ๆ ขึ้นมาแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “ไก่หลายตัวที่บ้านป้าเหยาตาย ราวกับถูกอะไรบางอย่างกัดตาย น่ากลัวเหลือเกิน”
“ต้าจู้ไม่อยู่บ้านหรือ? เขาไม่ได้เฝ้าหรือ?”
“เฝ้า แต่ว่าเขาผล็อยหลับไปกลางดึก ตื่นขึ้นมาก็ตายเพิ่มอีกสองตัวแล้ว”
“อีกเดี๋ยวข้าจะไปดูแล้ววางกับดักให้พวกเขา ดูซิว่าที่แท้มันเป็นตัวภัยพิบัติอะไรกันแน่”
“สามีข้าเก่งกาจที่สุดแล้ว” มู่ซืออวี่กอดแขนเขาแล้วทำตัวราวกับเด็ก ๆ
ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ แล้วลูบแก้มของนางเบา ๆ “เจ้านี่นะ ทำให้ข้าวางใจไม่ได้เลย”
วันต่อมา ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านก็พามู่ซือเจียวกลับมา
ตอนนำรถม้ามาคืน ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจหลายเฮือกแล้วเล่าว่า
“ท่านหมอบอกว่านางไม่ดูแลร่างกายหลังคลอดให้ดี บัดนี้นางยังมาตกเลือดอีก เกรงว่าภายหน้าคงตั้งครรภ์อีกได้ยากแล้ว”
“ทำได้เพียงตำหนิตนเองแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าวต่อไปว่า “หากรู้ว่าจะมีวันนี้ นางคงไม่ทำตัวแบบนี้หรอก”
ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านไม่เคยเล่าเรียนมาก่อน ย่อมฟังคำพูดสุภาพเช่นนี้ไม่เข้าใจ เพียงแต่คิดว่าลู่อี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก สตรีที่ไม่รู้หนังสือแม้เพียงคำเดียวได้แต่งกับเขากลายมาเป็นผู้มีอารยะแล้ว
“วันนี้ท่านก็จะออกไปอีกหรือ?” มู่ซืออวี่เห็นลู่อี้กำลังจะออกไปข้างนอก
“ข้าจะไปดูที่บ้านท่านป้าเหยาเสียหน่อย เมื่อวานนี้ข้าวางกับดักไว้ที่บ้านพวกเขา ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรแล้ว”
“ข้าไปด้วย”
ทั้งสองคนเพิ่งออกมาจากประตู ลู่เหม่ยฉินก็เดินมาที่บ้านพวกเขาพอดี
“พี่อี้ พี่สะใภ้ ข้ากำลังจะไปหาพวกท่านอยู่พอดี!”
“หรือว่าจะมีบางอย่างติดกับดักแล้ว?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ใช่แล้ว เป็นเพียงพอนตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ท่านแม่ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงให้ข้ามาหาพวกท่าน”
“สัตว์เช่นเพียงพอนกินไม่ได้” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ยากจริง ๆ ด้วย”
คนสมัยก่อนเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ นับถือเพียงพอนเป็นเซียน หากไม่เคารพมันจะทำให้มีโรคภัยไข้เจ็บ ตอนนี้กลับมีเพียงพอนปรากฏตัวในกับดัก ไม่แปลกที่เหยาซื่อจะกังวล
“ลู่อี้ แม่ฉาวอวี่ ในที่สุดพวกเจ้าก็มาแล้ว” เหยาซื่อเห็นทั้งสองคนก็เอ่ยขึ้นอย่างเร่งรีบ “ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? สิ่งที่ติดอยู่ในกับดักพวกเราลบหลู่ไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้มันยังบาดเจ็บอีก ครอบครัวของเราคงไม่โดนอะไรใช่หรือไม่?”
“ท่านป้าเหยา เพียงพอนตัวนี้เป็นเพียงสัตว์ธรรมดาตัวหนึ่ง ไม่ได้อัปมงคลขนาดนั้น” มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เจ้าไม่รู้อะไร เมื่อสิบปีที่แล้วมีชายโสดผู้หนึ่งในหมู่บ้านของเราเกิดหิว ไปจับเพียงพอนมาทำอาหารกินโดยไม่สนใจคำทัดทานของผู้เฒ่าผู้แก่ ผลที่ได้คือเขากลายเป็นคนบ้าอยู่ตั้งนาน ต่อมาผู้คนในหมู่บ้านพาเขาขึ้นไปขอขมาบนภูเขา สวรรค์ถึงได้ปล่อยเขาไป หากข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเพียงพอนกินไก่บ้านพวกเรา ข้าจะปล่อยให้มันกินไปเสีย ดีกว่าต้องเผชิญปัญหาใหญ่ภายหลัง”
“เนื้อของเพียงพอนมีพิษ กินเนื้อของมันจะทำให้เกิดอาการหลอน นั่นแหละสาเหตุที่เขาบ้า พวกเราเพียงนำมันไปปล่อยบนภูเขา ปล่อยให้ไกลสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“จริงหรือ?” เหยาซื่อมองลู่อี้ “พ่อหนุ่มลู่อี้ แม่ฉาวอวี่คงไม่ได้ปลอบใจข้ากระมัง?”
“นางพูดไม่ผิด โลกนี้มีเซียนที่ใดกัน ถึงแม้จะมีปัญหาจริง ๆ ก็ย่อมต้องมีเหตุผล” ลู่อี้กล่าวพลางเข้าไปในกับดักของเขา จับเพียงพอนอย่างคล่องแคล่วก่อนที่จะไต่ขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจะพามันขึ้นไปปล่อยบนภูเขา”
เหยาซื่อคุกเข่าลงหน้าเพียงพอน “ท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่โปรดอภัย พวกเราไม่มีเจตนาจะล่วงเกิน โปรดอย่าตำหนิพวกเรา”
มู่ซืออวี่และลู่อี้มองหน้ากันด้วยสีหน้าอับจนปัญญา
“ข้าจะขึ้นเขาไปกับท่าน” มู่ซืออวี่กล่าว “ผ่านพ้นหน้าหนาวไปแล้ว บนภูเขาคงมีของดี ๆ อีกมากมาย ข้าจะขึ้นไปเก็บของป่าสักหน่อยแล้วค่อยกลับมา”
ลู่อี้สะพายตะกร้าไว้บนหลังแล้วจูงมือมู่ซืออวี่ขึ้นไปบนภูเขา
มู่ซืออวี่สะบัดมืออยู่สองสามครั้งก็ไม่อาจสะบัดหลุด จึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่เห็นสายตาแปลก ๆ ของพวกชาวบ้านหรือ?”
ถึงแม้จะเป็นสามีภรรยากัน ต่อให้จับมือถือแขน ทว่าในยุคโบราณที่ต้องรักษาขนบธรรมเนียมยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดนั้น พวกนางย่อมถูกผู้อื่นเอาไปนินทาว่าร้าย
ลู่อี้เปิดกว้างเสียยิ่งกว่าคนจากยุคปัจจุบันอย่างนางเสียอีก เขาไม่สนใจสายตาผู้อื่นแม้แต่น้อย
“เหตุใดเจ้าจึงสนใจความคิดของผู้อื่นนัก?” ลู่อี้จับมือนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “ตามข้ามา เมื่อครู่นี้ฝนเพิ่งตก เส้นทางบนภูเขาอาจจะลื่นหน่อย”
เป็นอย่างที่ลู่อี้กล่าวไว้ เส้นทางบนภูเขาลื่นเป็นอย่างมาก
ขึ้นภูเขาไปได้ไม่นาน ลู่อี้ก็เอาตะกร้าให้นางสะพาย ส่วนเขาแบกนางไว้บนหลัง
เขาพานางเข้าไปในป่าลึก ปล่อยเพียงพอนที่บาดเจ็บกลับสู่ป่า จากนั้นก็แบกนางเก็บของล้ำค่าราคาถูกไปตลอดทาง
“ข้างหน้า…” มู่ซืออวี่ชี้ไปยังเห็ดที่อยู่ข้างหน้า “วางข้าลงก่อน”
ลู่อี้จ้องมองนางที่กำลังเก็บเห็ด สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
นางเป็นสตรีเช่นใดกันแน่?
บางครั้งนุ่มนวล บางครั้งฉุนเฉียว บางครั้งก็ใจกว้าง บางครากลับขี้อาย
นางเหมือนหนังสือที่ซับซ้อนมากเล่มหนึ่ง เพียงแค่กำลังคิดว่าจะเข้าใจความหมายที่แท้จริง กลับพบว่ายังมีบางสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจ
มู่ซืออวี่กลับไปพร้อมกับของป่ามากมาย
หูซื่อเดินเข้ามาทางพวกเขา เมื่อเห็นมู่ซืออวี่และลู่อี้ก็เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ “กำลังจะไปหาพวกเจ้าอยู่พอดี”
“ท่านป้ามีเรื่องหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม
“วันนี้มาทานอาหารมื้อค่ำที่บ้านพวกเราเถอะ! วันนี้ลุงของพวกเจ้าลงจากเตียงเดินไปรอบ ๆ ได้แล้ว เขาอยากขอบคุณพวกเจ้าด้วยตัวเอง ข้าจะทำอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ทุกคนทาน”
“ดีเลย! จริงสิ ข้าเพิ่งเก็บเห็ดมา ท่านนำกลับไปทำอาหารเพิ่มสักอย่างเถอะ”
“ได้เลย”
หูซื่อไปเชิญแขกมาก่อน มู่ซืออวี่จึงไม่รีบกลับไปทำอาหาร นางกับลู่อี้ไปหาเหยาซื่อ แจ้งว่านำเพียงพอนตัวนั้นไปปล่อยบนภูเขาแล้ว
เหยาซื่อกำลังจุดธูปในบ้าน นางทั้งเผากระดาษ ทั้งพึมพำกับตนเอง สวดภาวนาให้ทวยเทพปล่อยตนไปหรืออะไรสักอย่าง
มู่ซืออวี่ยักไหล่แล้วดึงลู่อี้ออกมา
ยามเย็นวันนั้น สมาชิกทั้งหมดของครอบครัวลู่ไปทานอาหารที่บ้านหูซื่อ อาหารเพิ่งนำขึ้นโต๊ะ ยังไม่ทันได้เปิดปากกินก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกกำลังตะโกนเรียกชื่อของลู่อี้
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงท่านป้าเหยา” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ไปเปิดประตู
น้ำเสียงของเหยาซื่อตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
“ป้าเหยา” มู่ซืออวี่เพิ่งเอ่ยเรียกเหยาซื่อ ร่างกายอ่อนแรงของเหยาซื่อก็โผเข้าใส่ทั้งตัวแล้ว “เป็นอะไรไปหรือ?”
“เกิด… เกิด… เกิดเรื่องแล้ว” ร่างกายเหยาซื่อสั่นเทิ้มขณะเอ่ยออกมา “จะทำอย่างไรดี?”