สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 283 หนังสือแต่งตั้ง
บทที่ 283 หนังสือแต่งตั้ง
บทที่ 283 หนังสือแต่งตั้ง
แม่เฒ่าเจียงปิดประตูลงแล้วเอ่ยกับมู่เจิ้งอี้ “เจ้าจะเข้าเมืองหลวงไปทำอะไรอีก? เจ้ายังลุ่มหลงสตรีในหอนางโลมนามเสี่ยวเอ๋อร์นั่นอยู่ใช่หรือไม่? เจ้าลืมไปแล้วหรือไรว่าเจ้าถูกคนของเรือนวสันต์ทำร้ายบาดเจ็บสาหัสเพียงใด?”
มู่เจิ้งอี้สะบัดมือนางที่จับแขนเขาทิ้ง “ไม่ต้องให้ท่านมายุ่ง”
“เจ้าเพิ่งใช้เงินห้าตำลึงของข้าไป ยังจะไม่ให้ข้ายุ่งเรื่องของเจ้าอีกหรือ?” แม่เฒ่าเจียงมองมู่เจิ้งอี้ด้วยสายตาผิดหวัง “อี้เอ๋อร์ แต่ก่อนเจ้าไม่เคยเป็นเช่นนี้ แต่ก่อนเจ้าเคยมีจิตใจมุ่งมั่นกว่านี้”
“อยากได้หลานชายที่มีจิตใจมุ่งมั่นหรือ? ท่านมีนี่นา มู่เจิ้งหานมิใช่ว่ามีจิตใจมุ่งมั่นมากหรือไร? น่าเสียดาย ท่านไล่เขาไปแล้ว ผู้อื่นเขาไม่นับถือท่านเป็นย่าอีกแล้ว”
มู่เจิ้งอี้พูดจาถากถาง
“ท่านอย่าได้ใช้สายตาเช่นนั้นมองข้า ครอบครัวเรากลายเป็นเช่นนี้ล้วนโทษท่าน หากไม่ใช่เพราะท่าน มู่ซือเจียวสมองทึบคนนั้นจะกลายไปเป็นอนุผู้อื่นหรือ? ตอนนี้ชื่อเสียงป่นปี้ไปหมดแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าจะกลายมาเป็นข้าอย่างทุกวันนี้หรือ? หากไม่ใช่เพราะท่าน อาเล็กจะกลายมาเป็นเช่นนี้หรือ? และก็เป็นเพราะท่าน ท่านพ่อท่านแม่ของข้าถึงได้เกียจคร้าน วัน ๆ เอาแต่เอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อยเช่นนี้”
“บัดนี้ทั้งครอบครัวล้วนเอาแต่พึ่งท่าน ท่านหาเงินมาอย่างไร ผู้อื่นไม่รู้ แต่ท่านคิดหรือว่าข้าจะไม่รู้?”
มู่เจิ้งอี้ไม่เคยลืมภาพที่เขาเห็นแม่เฒ่าเจียงขโมยของอยู่ในเมือง น่ารังเกียจเสียจริง สกปรกโสมมยิ่งนัก
คราแรกแม่เฒ่าเจียงรู้สึกโมโหจนหายใจแทบไม่ออก แต่นั่นก็ไม่เท่าถ้อยคำสุดท้ายของมู่เจิ้งอี้ที่แทบจะเอาชีวิตแก่ ๆ ของนางไป นางมองมู่เจิ้งอี้ด้วยสายตาหวาดผวา สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
มู่เจิ้งอี้ปรายตามองแม่เฒ่าเจียงด้วยสายตาเหยียดหยัน “เรื่องของท่าน ข้าไม่ยุ่ง ท่านมีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของข้า?”
ถังซื่อพยายามโน้มน้าวนางอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ ท่านอย่าโกรธ เด็กคนนั้นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ข้าจะช่วยท่านอบรมสั่งสอนเขาให้ดี”
แม่เฒ่าเจียงค้ำยันลงบนโต๊ะ ค่อย ๆ นั่งลงไป
นางไม่ได้สนใจคำพูดของถังซื่อ ในความเป็นจริงแล้ว สมองของนางล้วนกำลังขาวโพลน
สายตาดูถูกเหยียดหยามจากมู่เจิ้งอี้ทำร้ายลึกลงไปถึงจิตใจของแม่เฒ่าเจียง
…
“ต้าซาน นี่เจ้า…”
มีคนทักมู่ต้าซานขึ้นมา
มู่ต้าซานตอบอย่างอึดอัดใจ “ข้าตัดฟืนมามากเกินไป จะโยนทิ้งก็เสียดาย ข้าอยากไปถามถงซื่อดูว่าต้องการหรือไม่”
“ฟืนดี ๆ เช่นนี้ มีเพียงคนโง่ที่จะไม่เอา! เจ้าไปเคาะประตูถามนางดูสิ เหตุใดจึงมายืนอยู่ตรงนี้?”
ระยะนี้มู่ต้าซานประพฤติตัวดีไม่น้อย หลาย ๆ คนในหมู่บ้านจึงรู้สึกสงสารเขา เดิมทีมู่ต้าซานถูกแม่เฒ่าเจียงชักนำ ทำเรื่องโง่เขลาลงไปบ้าง บัดนี้ไม่เลอะเลือนแล้ว ชาวบ้านจึงอยากเห็นเขามีชีวิตที่ดี
ครั้นประตูเปิดออก ท่านหมอจูเดินออกมาจากข้างใน
เมื่อเห็นมู่ต้าซาน แววตาของท่านหมอจูพลันเกิดประกายวูบไหวแปลก ๆ
มู่ต้าซานเอ่ยทักท่านหมอจู “ท่านหมอจู”
ท่านหมอจูเอ่ยว่า “นางไม่อยู่ที่นี่”
“นางไม่อยู่ที่บ้านหรือ?” มู่ต้าซานประหลาดใจ
“นางอยู่ที่บ้านลูกเขย ตอนนี้ครอบครัวหูซื่ออาศัยอยู่ที่นี่ นางเลยต้องอยู่บ้านของลูกเขย ไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
“ขอบคุณขอรับ” มู่ต้าซานแบกฟืนขึ้นมาแล้วเดินจากไปด้วยความงุนงง
ตอนนี้ถงซื่ออยู่ที่บ้านลู่อี้ สถานที่ที่เขาไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไป
นิสัยใจคอของมู่ซืออวี่ราวกับประทัด ย่อมไม่มีทางไว้หน้าเขาที่เป็นพ่อคนนี้ หากเป็นหานเอ๋อร์คงยังพอไว้หน้าเขาอยู่บ้าง
ในเมื่อถงซื่ออยู่ที่บ้านลู่อี้ เขาย่อมทำสิ่งใดไม่ได้
“ย่าห์! ย่าห์! ย่าห์!”
การปรากฏตัวของม้าหลายตัวดึงดูดความสนใจของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน
ชายบนหลังม้ากำลังมุ่งตรงไปยังบ้านของลู่อี้
“คนเหล่านี้เป็นผู้ใดกัน? พวกเขาคงไม่มาสร้างความลำบากให้ลู่อี้กระมัง?”
“ผู้ใดจะรู้เล่า? ข้าได้ยินว่าลู่อี้ล่วงเกินนายอำเภอคนใหม่ อีกอย่างตอนที่นายอำเภอฉินอยู่ที่นี่ เขาเรียกใช้ลู่อี้มากที่สุด ทันทีที่นายอำเภอฉินไป นายอำเภอคนใหม่คงจะอยากใช้คนสนิทที่เหลืออยู่ของนายอำเภอฉินหรอก”
“ตอนนี้ไม่ใช่ว่านายอำเภอโจวคิดจะสะสางบัญชีความแค้นเก่า ต้องการลงโทษความผิดที่ลู่อี้เคยทำไว้หรือ?”
“หากเป็นอย่างที่กล่าว เช่นนั้นหมู่บ้านของพวกเราคงไม่ได้รับผลกระทบกระมัง?”
“รีบไปดูเร็วเข้า”
คนที่เดิมทีกำลังทำงานอยู่ในท้องไร่ท้องนาก็รีบรุดไปที่บ้านลู่อี้เช่นกัน
วันนี้เป็นวันที่เหมาะแก่การกินแตงโม*[1]จริง ๆ เพิ่งกินแตงโมเสร็จแล้วไปทำไร่ไถนาเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ต้องรีบรุดไปกินแตงโมรอบสองอีกแล้ว
หวังว่าชาวบ้านตาดำ ๆ อย่างพวกเขาจะไม่ถูกดึงเข้าไปพัวพัน
หัวหน้าหมู่บ้านก็มุ่งหน้ามาแล้วเช่นกัน วันนี้เขารู้สึกปวดกบาลยิ่งนัก
หมู่นี้มีเรื่องราวมากมายหลายสิ่งเกิดขึ้น อีกทั้งแต่ละครั้งยังหนักหนาสาหัส เขาอยากยกตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านนี้ให้คนอื่นไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด อยู่ไปอายุขัยของเขาคงลดลงไปถึงสิบปี
“นั่นไม่ใช่ต้าหนิวและเอ้อร์หนิวหรือ?” ชาวบ้านจำคนที่รู้จักมักคุ้นสองคนนี้ได้เป็นอย่างดี
“มีสง่าราศีจริง ๆ เลย!”
“ม้าดีขนาดนั้น พวกเขายังขี่ได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวเช่นนี้”
“จะกล่าวไปแล้วต้าหนิวและเอ้อร์หนิวสามารถกินอาหารของทางการได้ นั่นก็เป็นเพราะลู่อี้เป็นคนพาพวกเขาเข้าไป วันนี้ถึงกับนำคนมาจับกุมลู่อี้? ต้องไร้หัวใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“หัวหน้าผู้นั้นเหมือนจะเคยมาที่หมู่บ้านของพวกเรามาก่อน ก่อนหน้านี้ยังมีความสัมพันธ์กับลู่อี้ค่อนข้างดีมิใช่หรือไร?”
“ใช่ แซ่เกา เขาเป็นหัวหน้านักการ”
นักการเกานำคนหลายคนเข้ามาในบ้านของลู่อี้
“ลู่อี้อยู่ที่ใด?”
ลู่อี้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเดินออกมา
“มาหาข้าด้วยเรื่องอะไร?”
นักการเกานำหนังสือแต่งตั้งออกมา หัวเราะชอบอกชอบใจแล้วเอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้าด้วย ใต้เท้าลู่ เบื้องบนได้ออกหนังสือแต่งตั้งมาแล้ว นายอำเภอคนใหม่ของเมืองฮู่เป่ยเป็นเจ้าแล้ว นายอำเภอลู่!”
ทุกคนล้วนอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“นายอำเภอ? ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่?”
“ได้ยินไม่ผิด เป็นนายอำเภอ!”
ลู่อี้รับหนังสือทางการที่นักการเกายื่นให้ อ่านตัวอักษรบนนั้นในขณะที่สีหน้าของเขายังคงราบเรียบเช่นเดิม “ลำบากท่านมาเที่ยวนี้แล้ว”
“พวกเราเป็นพี่เป็นน้อง เหตุใดต้องเกรงใจถึงเพียงนี้?” นักการเกายิ้มกว้างแทบจะฉีกถึงใบหู “ทว่าเจ้าต้องเข้าเมืองเดี๋ยวนี้ อย่างไรเสียพวกเราก็ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องจัดการ”
[1] กินแตงโม หมายถึง ชมดูความสนุกโดยไม่ออกความคิดเห็น แตงโมเป็นคำสแลง หมายถึง ข่าวลือซุบซิบนินทา