สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 286 ผู้ใดรับผิดชอบ
บทที่ 286 ผู้ใดรับผิดชอบ
บทที่ 286 ผู้ใดรับผิดชอบ
ลู่อี้ออกมาจากห้องตำราของเจียงเหล่า เมื่อเดินผ่านเฉลียงทางเดินที่ทอดยาวก็เห็นเฉินซือจวินยืนอยู่ไม่ไกล
เขาเดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะปรายตามอง
“ใต้เท้าลู่” เฉินซือจวินเรียกลู่อี้ให้หยุด
ลู่อี้หยุดฝีเท้า “คุณหนูเฉินมีเรื่องอะไรหรือไม่?”
“ใต้เท้าลู่ เรื่องฮูหยินของท่าน ข้าต้องขออภัยจริง ๆ” เฉินซือจวินเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกผิด “ข้าไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ท่านวางใจเถิด ทักษะการแพทย์ของท่านหมอจวนเราไม่ด้อยกว่าหมอหลวงเลย ย่อมมิให้ฮูหยินลู่หลงเหลือรอยแผลเป็นอันขาด เพียงแต่มีบางประโยค ข้าไม่รู้ว่าควรเอ่ยหรือไม่?”
“หากคุณหนูเฉินไม่รู้ว่าควรเอ่ยหรือไม่ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอ่ยออกมาแล้ว” ลู่อี้กล่าวอย่างเฉยชา “ข้าน้อยยังมีเรื่องที่ต้องทำ คงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
คำพูดของเฉินซือจวินติดอยู่ที่คอของนาง ใบหน้าละมุนละไมของนางเริ่มมีร่องรอยความโกรธพาดผ่าน
“ใต้เท้าลู่ผู้นี้ ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาจริง ๆ เลย” ชิวสุ่ยเอ่ยขึ้น “หญิงชนบทผู้นั้นมีอะไรดี? คุณหนูสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังมีเจียงเหล่าคอยหนุนหลังท่าน หากลู่อี้เฉลียวฉลาดย่อมรู้ว่าจะเลือกอย่างไร”
“ชิวสุ่ย คำพูดเหล่านี้อย่าได้กล่าวต่อคนนอกเป็นอันขาด” เฉินซือจวินเอ่ยเบา ๆ “ท่านตาไม่เคยรับปากสิ่งใด นี่เป็นเพียงความชื่นชมของข้าที่มีต่อเขาในฐานะสตรีผู้หนึ่งเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”
ชิวสุ่ยไม่เข้าใจ
ถึงแม้เจียงเหล่าจะไม่ได้กล่าวออกมาชัดเจน ทว่าเห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะหมั้นหมายคุณหนูกับลู่อี้ เรื่องเช่นนี้มีอะไรเอ่ยปากไม่ได้กัน?
คุณหนูของพวกเขาเป็นหลานสาวของเจียงเก๋อเหล่า เจียงเก๋อเหล่าเป็นผู้ใด? ถึงแม้เขาจะมาพักฟื้นร่างกายอยู่ที่นี่ชั่วระยะหนึ่ง ทุกอย่างในเมืองหลวงยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ได้เกี่ยวดองกับเขาเป็นสิ่งที่หลายคนเฝ้าฝันถึง
ลู่อี้รีบไปที่ห้องรับรองแขก เห็นเหวินอี้นั่งเฝ้าอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าซีดเผือด
“นางฟื้นแล้วหรือยัง?” ลู่อี้ถาม
เหวินอี้ได้ยินเสียงนั้นจึงลุกขึ้นตอบ “ยังไม่ฟื้นขอรับ”
“พวกเรากลับกันก่อน”
“ขอรับ”
คนงานไม่สะดวกเข้ามาในห้องรับรองแขก ได้แต่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นลู่อี้และเหวินอี้ออกมาพร้อมกับมู่ซืออวี่ คนงานหลายคนจึงเข้ามาหา
“เถ้าแก่เนี้ยไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ?”
“ท่านหมอพันแผลให้แล้ว ขอแค่เพียงเปลี่ยนยาและดูแลรักษาตัวให้ดี ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” ลู่อี้กล่าว “ไปเถอะ ออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ชายหนุ่มกลับมาที่เรือนลู่ ครั้นเห็นว่าพวกถงซื่อรออยู่อย่างตื่นตระหนกและกังวลใจ เขาก็อธิบายอีกครั้ง
มู่ซืออวี่ฟื้นขึ้นมาก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว นางตื่นขึ้นมาด้วยความหิวโหย
“ปวด…” ทันทีที่ขยับตัว หัวของนางพลันปวดจนต้องโอดครวญออกมาทันที
“อย่าเพิ่งขยับ” ลู่อี้กดไหล่นางลง “ข้าจะช่วยพยุง เจ้าค่อย ๆ ลุกขึ้น”
เมื่อลู่อี้ช่วยให้มู่ซืออวี่ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว นางก็แตะผ้าพันแผลของตัวเอง
“กระจกเล่า?”
ลู่อี้จึงส่งกระจกเงาให้นาง
มู่ซืออวี่มองเข้าไปในกระจก และเห็นรูปลักษณ์ภายนอกของตนพอสังเขป
“ใบหน้าของข้าไม่เสียโฉมกระมัง?”
“ไม่” ดวงตาของลู่อี้มืดครึ้มลง “ตอนนี้เจ้าห่วงแต่ใบหน้าของตนหรือ? หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย เศษไม้ทิ่มเข้าไปในร่างกายของเจ้า หรือแม้กระทั่งทิ่มเข้าไปในดวงตาของเจ้า เจ้าจะยังหัวเราะได้อยู่หรือไม่?”
มู่ซืออวี่นึกถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นพลางขมวดคิ้วมุ่น “ตอนนั้นกระชั้นชิดเกินไป ข้าไม่ทันได้คิด เพียงแค่อยากช่วยคนเท่านั้น ตอนนี้คิดดูแล้วเสียใจจริงเชียว ข้าไม่ควรเอาชีวิตไปเสี่ยงเลย”
ลู่อี้กระชับนางเข้ามาในอ้อมแขน
“อย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้อีก”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” มู่ซืออวี่ลูบหลังเขาเบา ๆ “อย่ากลัวไปเลย ฮูหยินอยู่นี่แล้ว ไม่หนีท่านไปไหนแน่นอน”
ลู่อี้กำมือของตนแน่น
“เจ็บ…” มู่ซืออวี่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา “ข้าทั้งเจ็บทั้งหิวเช่นนี้แล้ว ท่านยังมาต่อว่าข้าอีก!”
“ในครัวมีโจ๊กอุ่นไว้ ข้าจะไปนำมาให้เจ้า” ลู่อี้บอก “ท่านหมอกล่าวว่าเจ้าต้องทานอาหารเบา ๆ หลายวันนี้เจ้าก็อย่าได้คิดจะกินอาหารเผ็ด ๆ เชียว”
มู่ซืออวี่คร่ำครวญ “สิ่งที่ข้ากลัวที่สุด สุดท้ายก็เกิดขึ้นแล้ว”
ลู่อี้ลูบหน้าของนางเบา ๆ “ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะคิดชั่ววูบเช่นนี้อีกหรือไม่”
มู่ซืออวี่มองร่างของลู่อี้เดินจากไป ความโศกเศร้าบนใบหน้าของนางเองก็เลือนหายไปแล้ว
นางคว้ากระจกขึ้นมาส่องแล้วส่องอีก บ่นพึมพำกับตนเอง “คงไม่หัวล้านใช่หรือไม่? พวกเขาใส่ยาให้ข้า ผมของข้าจะเหลือหรือไม่?”
หลังจากกินโจ๊กที่ลู่อี้นำมาให้เสร็จแล้ว กลับรู้สึกราวกับไม่ได้กินสิ่งใด ถึงอย่างไรสำหรับคนกินเนื้อเช่นนาง โจ๊กที่น้ำแกงใสเช่นนั้นจะไปพออะไร
“หลังจากข้าหมดสติไปแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชั้นตำราเหล่านั้น”
“เจ้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว ชั้นตำราเหล่านั้นจะสำคัญอะไร?” ลู่อี้รู้สึกไม่พอใจเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น
“นี่เกี่ยวพันถึงการจัดการของร้าน ข้าอยากรู้ว่าคนงานคนใดขาดความรับผิดชอบเช่นนี้”
“พรุ่งนี้ข้าจะให้จือเชียนไปหาเฟิงเจิง ให้เขาตรวจสอบดู ตอนนี้เจ้านอนหลับอย่างสงบให้ข้าก่อน อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องพวกนี้” ลู่อี้ผลักนางให้นอนราบลงไป จากนั้นจึงนอนลงข้าง ๆ
ส่วนเทียนนั้นไม่ต้องดับแล้ว เพราะหากตกอยู่ในความมืด เขากลัวว่าตนจะเผลอไปถูกตัวนางเข้า
รุ่งเช้าวันต่อมา เมื่อนางตื่นขึ้นมา จื่อซูและจื่อเยวี่ยนก็เตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว
“ข้าได้กลิ่นซาลาเปา” มู่ซืออวี่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง
หลังจากพักผ่อนไปหนึ่งคืน อาการปวดก็ดีขึ้นกว่าตอนตื่นขึ้นมาเมื่อคืน ตอนที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั้น นางไม่ได้เจ็บปวดถึงเพียงนั้นแล้ว
“ฮูหยิน จมูกของท่านดีจริง ๆ” จื่อซูกล่าว “นายท่านเข้าไปในครัวตั้งแต่เช้าตรู่ บอกให้พวกเขาทำอาหาร นอกจากอาหารทะเลแล้ว ยังมีรสอื่น ๆ อีกมากมาย ในปากท่านจะได้ไม่รู้สึกฝาดเฝื่อน”
“นับว่าเขายังมีสำนึกอยู่บ้าง” มู่ซืออวี่กล่าว “เมื่อคืนข้าได้ทานเพียงโจ๊กคำสองคำ ปากข้าแทบไม่มีรสเนื้อหลงเหลืออยู่แล้ว”
“ท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งเข้ามาจากข้างนอก
ลู่ฉาวอวี่ค่อย ๆ เดินตามเข้ามาอย่างช้า ๆ
“เหตุใดพวกเจ้าจึงตื่นเช้านักเล่า?” มู่ซืออวี่ไม่กล้าขยับเขยื้อน จึงปล่อยให้ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งเข้ามาหา
ลู่จื่ออวิ๋นหยุดอยู่ห่างจากมารดาสองสามก้าว ไม่โผเข้าหาเช่นเคยเพราะเห็นว่ามารดาได้รับบาดเจ็บ
“บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” เด็กหญิงกะพริบดวงตากลมโตของตน ท่าทางราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมารอมร่อ
“ข้าไม่เป็นไร” มู่ซืออวี่เอ่ยปลอบ “ดูแก้มเลือดฝาดของข้าสิ สุขภาพจิตก็ดีถึงเพียงนี้ สภาพบาดแผลอาจดูน่ากลัว ทว่าความจริงแล้วไม่ได้ร้ายแรงแม้แต่น้อย”
ถึงแม้ลู่ฉาวอวี่จะไม่ได้กล่าวสิ่งใดที่แสดงความห่วงใยออกมา แต่สายตาของเขาก็ราวกับเป็นเครื่องเอกซเรย์ ตรวจดูทะลุทะลวงไปถึงข้างในของนางไปแล้ว ความห่วงใยและกังวลใจไม่ได้น้อยไปกว่าลู่จื่ออวิ๋นแม้แต่น้อย
หลังจากปลอบโยนเด็กทั้งสองคนแล้ว นางก็ให้พวกเขาทานอาหารเช้าชุดใหญ่ ไม่นานเฟิงเจิงก็มาหา แล้วนำข่าวที่นางอยากรู้มาให้
เด็ก ๆ ออกไปเล่น มีเพียงมู่ซืออวี่ที่พูดคุยกับเฟิงเจิงอยู่ในห้อง
“เถ้าแก่เนี้ย ข้าถามคนงานที่ไปติดตั้งชั้นตำราจวนเจียงเมื่อหลายวันก่อน เขากล่าวว่าตะปูนั้นเป็นพ่อบ้านจวนเจียงบอกว่าไม่ต้องใส่เข้าไป ขาดตะปูไปสองสามตัวคงไม่เป็นไร บอกว่าหากติดตะปูมากไปจะดูไม่สวยงามได้”
“เช่นนั้นพาเขาไปพบพ่อบ้านที่จวนเจียง” มู่ซืออวี่กล่าว “ดูว่าจวนเจียงยังมีอะไรจะกล่าวอีก”
“ได้เลยจ้ะ” เฟิงเจิงรับคำ
“พาเซี่ยคุนไปด้วย” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “จวนเจียงไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป ข้าเกรงว่าจะมีคนตาสุนัขมองคนต่ำ*[1] จงใจเล่นลูกไม้ พวกเจ้าเป็นเด็กซื่อตรง จะรู้ทันผู้อื่นเขาที่ใดกัน?”
“ได้เลย” เฟิงเจิงเอ่ยตอบ “เถ้าแก่เนี้ยดูแลตัวเองให้ดี ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้เจ้าอย่างแน่นอน”
[1] ตาสุนัขมองคนต่ำ หมายถึง เหยียดหยามผู้อื่น