สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 290 มีคนลอบจัดการอยู่เงียบ ๆ
บทที่ 290 มีคนลอบจัดการอยู่เงียบ ๆ
บทที่ 290 มีคนลอบจัดการอยู่เงียบ ๆ
ลู่เซวียนวิ่งไปยังห้องทำคลอด
ประตูของห้องทำคลอดเปิดออก ท่านหมอจูเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางน้อยเคลื่อนไหวไม่ได้ เจ้าควรตระเตรียมคนมาดับไฟโดยด่วน เดิมทีนางก็คลอดยากอยู่แล้ว ตอนนี้นางหวาดกลัว เกรงว่าจะยุ่งยากยิ่งกว่าเดิมแล้ว”
“ขอรับ”
โชคดีที่เขานำนักการมาด้วยไม่น้อย
สองผู้เฒ่าถูกคุมตัวแล้ว
ลู่เซวียนนำสถานะของเจ้าหน้าที่ทางการข่มขู่บ่าวรับใช้ของจวนโหยว เมื่อทุกคนร่วมมือกัน ท้ายที่สุดก็ควบคุมไฟไว้ได้
“นายท่านรอง ไฟลุกลามมาจากทางด้านหลังขอรับ เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งไปดูมา เห็นต้นตอของไฟแล้ว มีคนจงใจวางเพลิงขอรับ คนในจวนนี้ถูกเฒ่าทั้งสองคนนั้นบงการ เรื่องนี้ต้องตรวจสอบอีกครั้งขอรับ”
“ไปตรวจสอบเสีย”
ลู่เซวียนเดิมทีดูมีความรู้อยู่แล้ว ครั้นแผ่ความองอาจออกมาก็คล้ายคลึงกับลู่อี้อยู่บ้าง
หลังจากตรวจสอบแล้วก็พบว่าคนวางเพลิงเป็นหลานชายของนายท่านโหยว เมื่อครู่นี้เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงหลบหนีออกไปจากจวนแล้ว ลู่เซวียนจัดการให้นักการคนหนึ่งกลับไปศาลาว่าการเพื่อบอกกล่าวลู่อี้ จะจับกุมคนผู้นี้ได้ต้องได้รับคำสั่งจากลู่อี้ก่อนเท่านั้น
“อุแว้! อุแว้!”
เสียงร้องไห้จ้าของทารกผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดไม่น้อย
สาวใช้ที่เป็นคนตามลู่เซวียนเดินออกมาแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “คุณชายลู่เซวียน ฮูหยินของพวกเราคลอดแล้วเจ้าค่ะ คลอดลูกสาวออกมาคนหนึ่ง”
“ยินดีด้วย” ลู่เซวียนกล่าวยิ้ม ๆ “ฮูหยินของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“สลบไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอกล่าวว่าเพียงหมดแรงเท่านั้น ไม่มีการตกเลือด ไม่มีปัญหาใดแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อไม่อะไรแล้ว พวกเราคงต้องไปก่อนแล้ว เจ้าดูแลฮูหยินของเจ้าให้ดี”
“ท่านไม่รอให้ฮูหยินของพวกเราฟื้นขึ้นมาก่อนหรือเจ้าคะ? ฮูหยินต้องการขอบคุณท่านด้วยตัวเองเป็นแน่”
“ไม่จำเป็นแล้ว พวกเราเป็นสหายกัน นางมีเรื่องเดือดร้อน ข้าย่อมต้องช่วยเหลือนาง”
สองเฒ่าตระกูลโหยวพยายามฆ่าคน มีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหาร ต่อให้มีการเลื่อนประหารไปสองสามปีก็ไม่มีปัญหาในภายหลัง
ตระกูลโหยวเหลือเจ้านายเพียงคนเดียว นั่นก็คือเย่อิงเกอ นับจากนี้ไป ชีวิตของนางย่อมราบรื่นปลอดภัย ไร้พายุใหญ่ใด ๆ แล้ว
เช่นนี้นับว่าเป็นการชดเชยให้พี่ชายของนางแล้ว
ขณะที่รถม้าเคลื่อนผ่านร้านหนังสือ ลู่เซวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “หยุดรถ”
“นายท่านรอง อยากให้พวกเรารอท่านอยู่ด้านนอกหรือไม่?” ต้าหนิวถาม
บัดนี้ลู่ต้าหนิวและลู่เอ้อร์หนิวเป็นหัวหน้าหน่วยย่อยของนักการ เมื่อครู่นี้ลู่เซวียนเรียกนักการหน่วยย่อยให้ติดตามเขามา ซึ่งมีลู่ต้าหนิวเป็นหัวหน้าพอดี
“พวกเจ้ากลับไปก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะเดินกลับไปเอง ที่นี่ไม่ไกลมาก” ลู่เซวียนกล่าว
“เช่นนั้นก็ได้ขอรับ พวกเราไปก่อน”
ลู่เซวียนเลือกซื้อตำรา จู่ ๆ เขาพลันรู้สึกว่ามีคนจ้องมองเขา
ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ทว่ากลับไม่พบสิ่งใด กิจการของร้านหนังสือแห่งนี้ค่อนข้างดี จึงมีผู้คนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกคนล้วนจดจ่ออยู่กับเรื่องของตน จะมีคนมองเขาไปเพื่ออะไร บางทีอาจเป็นเขาเองที่คิดมากเกินไป
หลังจากซื้อตำราแล้วก็ออกจากร้านหนังสือ เมื่อเดินผ่านร้านของทานเล่น เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าอวิ๋นเอ๋อร์ชอบทานขนมปิ้งของที่นี่ จึงเข้าไปต่อแถวเพื่อซื้อขนมปิ้ง
“นายท่านรอง คนผู้นี้ตามท่านมาขอรับ” ต้าหนิวผู้ที่ควรกลับไปแล้วปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับหิ้วเด็กหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งไว้ในมือ
“ปล่อยข้า! ปล่อยข้า!” เด็กหนุ่มผู้นั้นพยายามดิ้นรน “เจ้าคิดจะทำอะไร!?”
ลู่เซวียนมองเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วก็พบว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นหน้าตาค่อนข้างน่ามอง เพียงแต่มีความคล้ายคลึงสตรีเล็กน้อย ราวกับเป็นสตรีเสียด้วยซ้ำ
“เหตุใดเจ้าจึงตามข้ามา?” ลู่เซวียนเอ่ยถาม
“ข้าจะตามเจ้าได้อย่างไร? ถนนเส้นนี้มิใช่ของเจ้า เหตุใดข้าจะเดินไม่ได้?” เด็กหนุ่มผู้นั้นจ้องมองลู่เซวียน
“ได้ เช่นนั้นพวกเรามาพูดคุยกันเรื่องที่เจ้าใช้ชื่อข้าหลอกลวงเงินผู้อื่น!” ลู่เซวียนเอ่ยเบา ๆ “อาจารย์ซวีไฮว่ตัวปลอม”
“เจ้า… ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังกล่าวถึงสิ่งใด” เด็กหนุ่มผู้นั้นพยายามหลบตา
“นำกลับไปไต่สวนก่อน”
“อย่า! ข้ามีเหตุผล!” เด็กหนุ่มผู้นั้นคว้าแขนลู่เซวียนไว้ “เจ้าฟังคำอธิบายของข้าก่อนได้หรือไม่?”
“กลับไปอธิบายที่ศาลาว่าการ” ลู่เซวียนดึงแขนตนกลับคืนมา
ณ ศาลาว่าการ ลู่อี้สำรวจเด็กหนุ่มตรงหน้าขึ้นลงด้วยสายตาเฉียบแหลม
เด็กหนุ่มถูกลู่อี้มองเช่นนั้นก็พลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
เหตุใดสายตาของคนผู้นี้จึงเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้?
“ข้าชอบหนังสือของอาจารย์ซวีไฮว่มาก ข้าดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อมาหาเขา ทว่าเมื่อข้าไปถามที่หอหนังสือหงเหวิน ผู้คนที่นั่นกลับไม่ยินยอมเปิดเผย พอดีกับข้าไม่มีเงินแล้ว ข้าจึงใช้วิธีนี้ตามหาเขา ข้ายอมรับผิดแล้ว ภายหน้าข้าไม่ทำอีกแล้ว อาจารย์ซวีไฮว่ บ้านของข้าอยู่ห่างไกลมาก ท่านเห็นแก่ที่ข้าชอบท่านถึงเพียงนี้ อย่าไล่ข้าไปได้หรือไม่?”
“เพราะเจ้าชอบข้า จึงทำร้ายข้างั้นหรือ?” ลู่เซวียนขบขันเพราะเด็กคนนี้แล้วจริง ๆ
“อาจารย์ซวีไฮว่ ข้าชอบท่านมากจริง ๆ หนังสือของท่านมีชื่อเสียงโด่งดัง ข้าอยากพบตัวจริงของท่าน ข้าจึงมาที่นี่ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเจอขโมย ข้าไม่มีเงินเหลือแล้ว” เด็กหนุ่มอับจนปัญญา
ลู่อี้เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “บ้านเจ้าอยู่ที่ใด?”
“บ้านข้า…” เด็กหนุ่มส่ายหัว “บอกไม่ได้”
“เจ้าไม่บอก พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าพูดความจริง? หรือที่พูดมาก็แค่เรียกร้องความสงสารจากพวกเรา” ลู่เซวียนถาม
“ข้าหลบหนีการแต่งงานมา” เด็กหนุ่มผู้นั้นดูเศร้าสลด “ท่านพ่ออยากให้ข้าแต่งงานกับหญิงแก่อัปลักษณ์ผู้หนึ่ง กล่าวว่าครอบครัวของนางมีเงิน แต่งงานกับนางไปภายหน้าทั้งครอบครัวจะได้มีชีวิตที่ดี…”
ลู่เซวียนเดินเข้าไปหาลู่อี้ “ท่านพี่ ตอนนี้เราจะทำอย่างไร?”
“เงินนั้นต้องใช้คืนให้เจ้าทุกข์” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ในเมื่อเขามาหาเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ออกให้เขาก่อน แล้วค่อยให้เขาทำงานใช้คืนให้เจ้า”
“ได้ขอรับ” เด็กหนุ่มผู้นั้นพยักหน้าซ้ำ ๆ “ข้ารู้หนังสือ ข้าเป็นเด็กรับใช้บัณฑิตได้ขอรับ”
ลู่เซวียน “…”
เด็กรับใช้ที่นุ่มนิ่มบอบบางเช่นนี้ เขารับไว้ไม่ไหวจริง ๆ
“ท่านพี่ ท่านอย่าทำร้ายข้าสิ! เหตุใดข้าต้องเก็บกวาดความยุ่งยากให้เขาด้วย?”
“ขังเอาไว้ก่อนเถอะ รอการตัดสินในภายหลัง” ลู่อี้สะบัดมือ
“ข้าไม่อยากเข้าคุก…” เด็กหนุ่มพุ่งเข้าไปหาลู่เซวียนแล้วกอดเอวเขาไว้ “อาจารย์ซวีไฮว่ ข้าชอบท่านถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้กับข้า? ข้าไม่อยากเข้าคุก ท่านให้ข้าเป็นเด็กรับใช้ของท่านเถอะนะ!”
“ปล่อย!”
“ไม่ หากท่านไม่รับปากข้าก็ไม่ปล่อย ข้าจะเกาะติดท่านอยู่เช่นนี้”
มู่ซืออวี่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่ตรงนี้จึงมาตรวจดู
“ได้ยินว่าจับซวีไฮว่ตัวปลอมได้แล้ว ไม่รู้ว่า…”
“พี่สาว…” เด็กหนุ่มเห็นมู่ซืออวี่เดินเข้ามา จึงปล่อยลู่เซวียนแล้วพุ่งเข้าไปหานาง “พี่สาว ช่วยข้าด้วย พวกเขาจะจับข้าขัง”
มู่ซืออวี่ถูกเด็กหนุ่มผู้นั้นกอดก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “น้องชาย เจ้าปล่อยข้าก่อน”
ก่อนที่เด็กหนุ่มผู้นั้นจะได้เอ่ยปาก ลู่อี้ก็ดึงแขนเด็กหนุ่มออกด้วยสีหน้ารังเกียจ จากนั้นจึงดึงมู่ซืออวี่ไปหลบข้างหลัง “หากยังวุ่นวายอีก ข้าจะขังเจ้าไว้ก่อนสักสองสามปี”
เด็กหนุ่มผู้นั้นมองมู่ซืออวี่อย่างเศร้าสร้อย “พี่สาว พวกเขาเป็นคนไม่ดี รังแกข้า”
มู่ซืออวี่มองเด็กหนุ่มผู้นั้น คราแรกนางยังคงงุนงง จากนั้นก็ราวกับเข้าใจบางอย่างขึ้นมาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางน้อยอย่างเจ้า แต่งกายเป็นบุรุษเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเข้าใจผิด”
“แม่นางน้อย?” ลู่เซวียนมองเด็กหนุ่มผู้นั้นอย่างตกตะลึง
ไม่สิ ต้องเป็นเด็กสาว
“ให้ข้าแนะนำตัวอีกครั้ง” เด็กสาวผู้นั้นถอดกวานหยกออก ปล่อยผมดำสยายลงมา “ข้าชื่อฉู่หนิงจู ข้ามาจากเมืองหลวง ข้าชื่นชอบบทละครของอาจารย์ซวีไฮว่ ข้าจึงมาหาเขา”
ลู่เซวียน “…”
เมื่อครู่นี้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง
หากเป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง แสดงท่าทางออดอ้อนเช่นนี้ ทั้งยังมีการกระทำเหมือนสตรี เขาคงขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว แต่เมื่อเป็นสตรี เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว
สีหน้าของลู่อี้จึงดีขึ้นมาเล็กน้อย
“แม่นางน้อยเช่นเจ้ากล้าหาญนัก ถึงกับดั้นด้นจากเมืองหลวงมาเมืองฮู่เป่ย เพียงเพื่อพบคนที่ไม่เคยเจอหน้าค่าตามาก่อนผู้หนึ่ง เจ้าไม่กลัวอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดีหรือ?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ