สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 296 ต้องอยู่ด้วยกันจนผมขาว
บทที่ 296 ต้องอยู่ด้วยกันจนผมขาว
บทที่ 296 ต้องอยู่ด้วยกันจนผมขาว
มู่ต้าซานออกจากเรือนตระกูลลู่ไปอย่างเศร้าหมอง
ก่อนหน้านี้เขายังมีภาพฝันอันเลื่อนลอยว่าจะกลับไปอยู่ด้วยกัน ทว่าความหวังเศษเสี้ยวสุดท้ายเลือนหายไปแล้ว
หากสตรีหมดความรู้สึก เขายังคงหลอกลวงตนเองได้ว่านางจะย้อนกลับมา ทว่าหากสตรีผู้นั้นมีชายอื่น แม้แต่จะหลอกลวงตนเองยังทำไม่ได้แล้ว
ตุ้บ!
มือของเขาหมดเรี่ยวแรง ไม้ค้ำหลุดร่วงจากมือ ตัวของเขาล้มลงไปบนพื้น
“อ๊ะ คนผู้นั้นเป็นอะไรไป ทำให้คนตกใจหมดแล้ว”
“นางคงไม่อยากพึ่งพาข้าอีกต่อไปแล้วกระมัง”
ผู้คนรอบ ๆ ถอยกระจายออกไปทันที หลีกลี้หนีห่างมู่ต้าซานราวกับพวกเขาหลีกเลี่ยงโรคระบาด
“พี่ต้าซาน” เสียงประหลาดใจเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านเป็นอะไรไป?”
มู่ต้าซานเงยหน้าขึ้น เห็นเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยใบหน้าหนึ่ง
“หนิวเหมย”
นางเป็นสาวทึนทึกในหมู่บ้านคนหนึ่ง อายุสามสิบแปดแล้วแต่ยังไม่ออกเรือน
“ข้าเอง ท่านเป็นอะไรไปหรือ?”
หนิวเหมยมองมู่ต้าซานอย่างเป็นกังวล
บนใบหน้าของนางมีปานขนาดใหญ่ ปานนั้นทำให้นางดูอัปลักษณ์ ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่ได้แต่งงาน
มู่ต้าซานพยายามลุกขึ้น “ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่… เพียงแต่เดินไม่ไหวแล้ว…”
หนิวเหมยนั่งคุกเข่าลง “เช่นนั้นข้าจะแบกท่าน!”
“นี่… นี่ไม่เหมาะสม…”
“ท่านเดินได้หรือไร” หนิวเหมยกล่าว “เร็วหน่อย ข้ายังต้องกลับไปทำกับข้าว!”
หลังจากมู่ต้าซานไปแล้ว บรรยากาศในครอบครัวลู่ผ่อนคลายและครื้นเครงขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อเรื่องของถงซื่อและท่านหมอจูรับรู้โดยทั่วกันแล้ว ทุกคนล้วนคะยั้นคะยอถามถึงวันที่จะแต่งงาน ปฏิบัติต่อท่านหมอจูเฉกเช่นพ่อตา
นี่เป็นการปฏิบัติที่มู่ต้าซานเฝ้าฝันถึงแต่ไม่เคยได้รับ
ถงซื่อรู้สึกทำตัวไม่ถูกเพราะคำถามนั้น นางซ่อนอยู่ในห้องไม่ยอมออกมา แม้กระทั่งอาหารเย็นยังไม่ทานร่วมกันกับทุกคน ลู่จื่ออวิ๋นจึงนำไปให้
คืนนั้นลู่จื่ออวิ๋นนอนอยู่ในอ้อมแขนของมู่ซืออวี่ ฟังนางเล่าเรื่ององค์หญิงหิมะขาว*[1] ให้ฟัง
“ท่านแม่ องค์หญิงหิมะขาวมีคนแคระคอยช่วย ทั้งยังมีองค์ชายปกป้อง นางปกป้องตนเองไม่ได้หรือเจ้าคะ? นางจัดการฮองเฮาที่ชั่วร้ายเองไม่ได้หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง
“หากเจ้าเป็นองค์หญิงหิมะขาว เจ้าจะทำอย่างไร?” มู่ซืออวี่ลูบผมของบุตรสาว
“หากฮองเฮาเริ่มสร้างความลำบากให้ ข้าจะสู้กลับ หากข้ายังอ่อนแอเกินไป ไม่มีความสามารถที่จะสู้กลับ เช่นนั้นข้าก็จะออกจากพระราชวัง แล้วหาสถานที่อยู่ รอจนเติบโตก่อน ในเมื่อเป็นองค์หญิง ข้าคงมีเงินกระมัง ขอแค่เพียงมีเงิน มีที่ใดอยู่ไม่ได้บ้าง? อืม ถึงแม้จะไม่มีเงิน พวกเราก็ไปหลบซ่อนบนภูเขาก่อนได้ ขอแค่ไม่หิวตายก็พอแล้ว…”
“ยังมีองค์ชายผู้นั้นอีก พบองค์หญิงครั้งแรกก็ตกหลุมรักแล้ว นั่นไม่ใช่เพราะองค์หญิงหน้าตาน่ามองหรือ หากองค์หญิงแก่เฒ่าแล้ว ไม่น่ามองแล้ว เขายังจะชอบนางหรือ? คนเช่นนี้เชื่อใจไม่ได้!”
มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นว่า “โบราณกล่าวไว้ว่า ‘หากใช้ความงามดึงดูดใจคน วันใดที่ความงามเลือนหาย ความรักก็เหือดหายเช่นกัน’ ความหมายก็คือ หากใช้หน้าตาที่งดงามเอาชนะใจคน วันใดไม่เหลือความงามแล้ว ความรู้สึกก็จะเลือนหายไป พวกเรากำหนดหน้าตาตนเองไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่บิดามารดามอบให้ หากเรามีรูปโฉมที่งดงาม เช่นนั้นเราก็ควรขอบคุณบิดามารดาของเราที่มอบของขวัญชิ้นนี้ให้ อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ความสามารถของตนเอง ต้องแกร่งกล้าพอเท่านั้นถึงจะเรียกว่าความสามารถจริง ๆ”
“ตอนนี้ท่านพ่อของเจ้ายังหนุ่ม ยังสามารถปกป้องพวกเราได้ ทว่าหากพวกเจ้าโตขึ้นแล้ว เราแก่เฒ่าแล้ว ใครเล่าจะปกป้องพวกเราได้? อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นเอียงหัวของนางอย่างครุ่นคิด ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
หนึ่งปีนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ พัฒนาอย่างรวดเร็ว เคร้าโครงใบหน้าของนางสมบูรณ์ขึ้น ความเป็นเด็กน้อยบางส่วนหายไป พอให้เห็นเค้าความงามของว่าที่พระสนมที่อาจได้รับความโปรดปรานอันดับหนึ่งขึ้นมาบ้าง
นี่ก็เป็นความตั้งใจเดิมของมู่ซื่ออวี่ที่เล่าเทพนิยายเรื่องนี้ให้ฟังในวันนี้ นางอยากบอกลู่จื่ออวิ๋นว่า หากบุรุษผู้หนึ่งชมชอบเจ้าเพราะความงาม นั่นไม่ใช่ความรักที่แท้จริง อย่าไปรับใช้ราชา และถูกกักขังอยู่แต่ในกรงเลย
ลู่อี้เดินเข้ามา โอบลู่จื่ออวิ๋นที่สติเริ่มเลือนรางเข้ามากอด
“ท่านกลับมาเมื่อไหร่?” มู่ซืออวี่ถาม
“สักพักหนึ่งแล้ว”
คำพูดเหล่านั้นของนางเมื่อครู่นี้ เขาก็ได้ยินแล้วเช่นกัน
“นี่ก็ดึกแล้ว ให้นางนอนที่นี่เถอะ” มู่ซืออวี่เห็นลู่จื่ออวิ๋นกำลังจะตื่นก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
“เช่นนั้นไม่ได้” ลู่อี้อุ้มลู่จื่ออวิ๋นออกไป ส่งลูกสาวให้กับจื่อซูที่ยังไม่นอน ให้นางอุ้มไปส่งที่ห้องของลู่จื่ออวิ๋น
เขากลับเข้ามา พูดพลางถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออกไปพลาง “กลางวันไม่ได้อยู่กับฮูหยิน กลางคืนฮูหยินเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว แบ่งให้เด็กคนนั้นไม่ได้แล้ว”
มู่ซืออวี่ลุกขึ้นปลดเสื้อผ้าเขา
“ขี้งก”
“ข้าขี้งกจริง ๆ นั่นแหละ” ลู่อี้ถอดเสื้อผ้าของเขาออกแล้วกอดนางจากด้านหลัง “วันนี้เกิดเรื่องราวมากมาย หลังทานอาหารกลางวันแล้วข้าอยากเจอเจ้า อยากเจอเจ้าจริง ๆ”
“ข้าคิดว่าท่านคงยุ่งมากจึงไม่กล้าไปรบกวนที่ศาลาว่าการ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “หากไม่ได้ยุ่งมากนัก หากข้ามีเวลาว่าง ข้าไปหาท่านได้หรือไม่?”
“ขอแค่เพียงเจ้ามา ข้ามีเวลาเสมอ หากปลีกตัวออกมาไม่ได้ เจ้าก็เข้าไปในห้องนอนของข้าเพื่อรอข้า ข้าทำงานเสร็จสิ้นแล้วจะไปหาเจ้า” ลู่อี้ลูบผมนางเบา ๆ
“อืม”
ทั้งสองคนนอนลง
มู่ซืออวี่ซบอยู่บนอกเขา ฟังเสียงหัวใจของเขาเต้น รู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
“เรื่องที่เจ้าเพิ่งเล่าให้อวิ๋นเอ๋อร์ฟังเมื่อครู่นี้ เจ้าเป็นห่วงลูกสาวของเราหรือ?”
มู่ซืออวี่ลังเลใจชั่วขณะ จากนั้นจึงลุกขึ้นมองเขา “ไม่กี่วันก่อนข้าฝันเรื่องหนึ่ง”
“อืม?”
“ข้าฝันว่าลูกสาวของพวกเราเติบโตมาหน้าตางดงามล้ำเลิศเป็นพิเศษ ต่อมาจึงได้เข้าวัง ได้รับความโปรดปราน”
ลู่อี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ
เข้าวังหรือ? เขาไม่ชอบเลย
อวิ๋นเอ๋อร์ควรเป็นนกที่โผบินอย่างมีอิสระ ไม่ใช่เป็นนกขมิ้นในกรง
“นางหน้าตาน่ามอง แน่นอนว่าย่อมเป็นที่โปรดปราน ทว่าหัวใจของฮ่องเต้เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ที่สุด ฮ่องเต้วัยเยาว์พระองค์นั้นตกหลุมรักกับสตรีธรรมดาที่อ่อนโยนผู้หนึ่ง ดอกโบตั๋นที่งดงามดอกหนึ่งจึงถูกทิ้งขว้างราวกับของไร้ค่า หญิงสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์มีชีวิตชีวาผู้หนึ่งเปลี่ยนไป เพื่อที่จะแย่งชิงความโปรดปรานนางไม่รีรอที่จะโหดร้ายทารุณไร้หัวใจ กลายมาเป็นคนโหดเหี้ยมดังเช่นสตรีคนอื่น ๆ ในวัง”
นางไม่ชอบเรื่องราวเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่อยากแทนด้วยลูกสาวของตน
ถึงแม้ในนิยายต้นฉบับ ตัวประกอบหญิงที่โหดเหี้ยมผู้นั้นจะเป็นลูกสาวของนางก็ตาม สามีและลูกชายของนางก็เป็นตัวร้ายเช่นกัน
“อวิ๋นเอ๋อร์น้อยจะไม่กลายเป็นคนเช่นนั้น” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ถึงแม้ลูกสาวของข้าจะอยากแต่งงาน นางต้องแต่งกับชายที่มองนางเป็นดั่งสิ่งล้ำค่า อย่าได้กังวลไปเลย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้า”
ลู่อี้ปลอบนางอย่างอ่อนโยน ทว่าในมุมที่นางมองไม่เห็นนั้น แววตาของเขากลับเยือกเย็น
เกรงว่าสิ่งที่ฮูหยินเอ่ยถึงจะไม่ใช่เพียงแค่ฝัน แต่เป็นความจริง
หรือว่านั่นจะเป็นเรื่องราวในอนาคตของอวิ๋นเอ๋อร์?
ที่มาของฮูหยินลึกลับซับซ้อน กระทั่งจนถึงบัดนี้เขายังไม่เข้าใจว่านางเป็นผู้ใด มาจากที่ใด ถึงแม้เขาจะไม่สนใจ ทว่ามักจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ กลัวว่านางจะหายไปเหมือนที่จู่ ๆ ก็โผล่มา
“ฮูหยิน…”
“หืม?”
“เจ้าชอบชีวิตในตอนนี้หรือไม่?”
“ชอบสิ” มู่ซืออวี่กอดเขาแน่น “ชอบเจ้าที่สุด ข้าชอบเจ้าเหลือเกิน”
มุมปากของลู่อี้หยักยกขึ้น “อืม ข้าก็เช่นกัน”
เช่นนั้นนางต้องอยู่ข้างกายเขาไปตลอด อยู่ด้วยกันกับเขาไปจนแก่เฒ่า
“จริงสิ ครอบครัวของพวกเรากำลังจะมีงานรื่นเริงแล้ว” จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็นึกได้ว่านางยังไม่บอกลู่อี้เรื่องถงซื่อกับท่านหมอจู “แม่ข้า… อื้ออ”
[1] องค์หญิงหิมะขาว มาจากเทพนิยายเรื่อง Snow White And The Seven Dwarfs หรือ สโนว์ไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ด