สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 297 เขาเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด
บทที่ 297 เขาเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด
บทที่ 297 เขาเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด
ณ สำนักบัณฑิตเขาเขียว ฉู่หนิงจูเดินผ่านเฉลียงทางเดินยาว แล้วเอ่ยถามบ่าวที่กำลังทำความสะอาดลาน “เห็นลู่เซวียนหรือไม่?”
บ่าวคนนั้นชี้ไปยังเส้นทางด้านขวา “เมื่อครู่เพิ่งเห็นเขาไปทางนั้นขอรับ”
“ลู่เซวียน เจ้าคนนิสัยไม่ดี ทิ้งข้าอีกแล้ว”
ฉู่หนิงจูเศร้าใจเล็กน้อย นางชอบอยู่กับเขา แต่ไม่ได้รบกวนเขาสักหน่อย เหตุใดเขาจึงต้องสะบัดนางทิ้งด้วยเล่า?
“สหายโจว เหตุใดที่สิทธิ์นี้จึงตกไปอยู่ในมือของลู่เซวียนได้เล่า? ลู่เซวียนมีความสามารถอะไร ถึงได้ติดตามท่านเจ้าสำนักเข้าร่วมงานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์ครั้งนี้ได้?”
“นั่นสิ สหายโจว แต่ก่อนมีลู่อี้ ตอนนี้มีลู่เซวียน คนแซ่ลู่ที่เป็นศัตรูท่านคนนั้นใช่หรือไม่? ท่านแต่งงานกับคุณหนูตระกูลหลี่แล้วไม่ใช่หรือ พ่อตาของท่านไม่ได้หาตำแหน่งขุนนางให้ท่านหรือไร”
ฟางโจวอวี่สะบัดพัดในมือแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “สหายท่านนี้อย่าได้พูดจาส่งเดช ข้าแต่งงานกับคุณหนูตระกูลหลี่เพราะคำสั่งของบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อ ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับพ่อตาของข้า ส่วนตำแหน่งขุนนางนั้น ตราบใดที่ข้าเข้าสอบขุนนาง ไฉนข้าจะไม่ได้ตำแหน่งขุนนาง บุรุษที่แท้จริงจะอาศัยชายกระโปรงภรรยาได้อย่างไร?”
“พูดถูก ๆ พวกเรากล่าวผิดพลั้งไปแล้ว”
“ทว่าลู่เซวียนผู้นี้ ช่างทำให้คนรู้สึกขวางหูขวางตาจริง ๆ” คนข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ทำให้คนรำคาญเหมือนลู่อี้ผู้นั้นไม่มีผิด พวกเราสั่งสอนบทเรียนให้เขาสักหน่อยดีหรือไม่?”
ฉู่หนิงจูเดินข้ามมาจากเส้นทางด้านข้าง เผชิญหน้ากับบุรุษที่เอ่ยถ้อยคำพิลึกพิลั่นอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ว่าสิ่งใดนางล้วนได้ยินหมดแล้ว
“แค่ลู่เซวียนโดดเด่น พวกเจ้าก็คิดว่าเขาขวางหูขวางตา ในโลกนี้มีคนที่ยอดเยี่ยมอยู่มากมาย พวกเจ้าจะริษยาทุกคนเลยงั้นหรือ?”
“เจ้าเด็กเหม็นโฉ่นี่มาจากที่ใด?”
“ข้ารู้จักเขา เป็นคนมาใหม่ คนรับใช้ของลู่เซวียน”
“ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง! ผิวขาวเนื้อเนียนนุ่ม คงไม่ใช่…”
ชายหนุ่มหลายคนมองฉู่หนิงจูด้วยรอยยิ้มแปลกพิกล
“เจ้าเด็กคนนี้ยังหน้าตาน่ามองกว่าสตรีเสียอีก”
ฉู่หนิงจูมองคนหลายคนเดินเข้ามาหานางด้วยสายตาเยียบเย็น “ก็เหมือนพวกเจ้า ยังคิดจะสอบขุนนางมีลาภยศชื่อเสียงอีกหรือ? เจ้าคิดว่าราชสำนักไม่รู้จักเลือกหรือไร”
“เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ เจ้าว่าอย่างไรนะ”
ฉู่หนิงจูเผยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามออกมา “หูหนวกหรือไร ราชสำนักมีคำสั่ง ผู้พิการเป็นขุนนางไม่ได้ ดูสิ ไม่เพียงแต่หูของพวกเจ้าจะใช้การไม่ได้ ดวงตาของพวกเจ้ายังมืดบอดอีกด้วย ชั่วชีวิตนี้เป็นขุนนางไม่ได้แน่”
“พวกเราลงมือกับลู่เซวียนไม่ได้ หรือจะลงมือกับคนรับใช้เล็ก ๆ อย่างเจ้าไม่ได้อีก? สหายโจว ท่านอย่าได้ห้ามพวกเรา วันนี้พวกเราต้องกำจัดเด็กคนนี้ให้ได้”
ฟางโจวอวี่ไม่ได้สนใจ เขาเพียงถอยออกไปสองสามเก้า
คนเหล่านั้นตรงเข้าไปหาฉู่หนิงจูด้วยแววตามุ่งร้าย
ฉู่หนิงจูก้าวถอยหลังช้า ๆ มองพวกเขาอย่างระแวดระวัง “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? นี่เป็นสำนักบัณฑิตนะ พวกเจ้าไม่กลัวว่าเจ้าสำนักจะลงโทษหรือ?”
“พวกเรายังต้องกลัวถูกลงโทษด้วยหรือ?”
“จัดการซะ”
ฉู่หนิงจูวิ่งหนีทันที
“ตามไป!”
“ฆ่าเขาซะ!”
ฉู่หนิงจูตะโกนดังลั่น “จะฆ่าคนแล้ว! ช่วยด้วย!
“เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ อย่าให้พวกเราจับเจ้าได้แล้วกัน”
สองสามคนนั้นเห็นฉู่หนิงจูตะโกนเช่นนั้น ก็กังวลว่าเรื่องจะไปถึงท่านอาจารย์ในสำนักบัณฑิต โดยเฉพาะผู้อาวุโสอวิ๋นที่คุมกฎระเบียบ ซึ่งรับคำสั่งจากท่านเจ้าสำนักโดยตรงให้เข้มงวดกับลูกศิษย์เป็นพิเศษ
“ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
“ถอนตัวก่อนเถอะ ค่อย ๆ ปล่อยให้เขาสร้างปัญหา เดี๋ยวท่านอาจารย์คนอื่นก็ได้ยินเอง”
“มองไม่ออกเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้จะวิ่งหนีได้เร็วถึงเพียงนี้ พวกเราหลายคนยังตามเขาไม่ทัน”
ฉู่หนิงจูวิ่งไปสักพักหนึ่ง ทว่าเมื่อนางหันกลับไปก็ไม่เห็นผู้ใดแล้ว นางจึงผ่อนฝีเท้าลง
อย่างไรก็ตาม นางมองไม่เห็นทางข้างหน้า จึงเดินชนเข้ากับอันอี้หาง
“อ๊ะ…” ฉู่หนิงจูข้อเท้าพลิก
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” อันอี้หางพยุงนางไว้
“ข้า… เจ็บเท้า” สีหน้าของฉู่หนิงจูซีดเผือด รู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก
“ข้าแบกเจ้าดีหรือไม่?” อันอี้หางเอ่ยถาม
“เจ้าไปเรียกลู่เซวียนมาให้ข้าได้หรือเปล่า? ข้าจะรอเขาอยู่ตรงนี้” ฉู่หนิงจูปฏิเสธ
อันอี้หางพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นเจ้านั่งรออยู่ตรงนี้สักพัก”
ฉู่หนิงจูนั่งลงบนหิน หันหน้ามองไปรอบ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากรอไปสักพักก็ไม่เห็นวี่แววว่าลู่เซวียนจะมาถึง
นางเตะก้อนหินบนพื้นด้วยขาข้างที่ยังอยู่ดี พึมพำกับตนเองอย่างหดหู่ “ลู่เซวียน คนนิสัยไม่ดี”
ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มเหล่านั้นตามมาอีกครั้ง
“ที่แท้เจ้าก็อยู่ตรงนี้จริง ๆ”
เมื่อครู่มีคนบอกพวกเขาว่าเห็น ‘ฉู่หลิง’ อยู่ตรงนี้ พวกเขาจึงตามมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ฟางโจวอวี่ไม่ตามมาด้วย
“ครานี้เจ้าหนีไม่พ้นแล้วกระมัง?”
ฉู่หนิงจูขมวดคิ้ว “พวกเจ้าคิดอะไรอยู่? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ลู่เซวียนใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าพวกเจ้ากล้ารังแกข้า เขาไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”
“ลู่เซวียนกำลังมางั้นหรือ? ข้าว่าปกติเจ้าเกาะติดเขาราวกับวิญญาณเช่นนั้น ลู่เซวียนจะต้องไม่สนใจไยดีเจ้าแน่ เจ้าคิดหรือว่าเขาจะดูแลเจ้า? ข้าว่านะ เจ้าอย่าไปติดตามลู่เซวียนเลย พวกพี่ชายก็เล่นกับเจ้าได้เช่นกัน”
เงื้อมมือปีศาจยื่นออกมาหาฉู่หนิงจู
ฉู่หนิงจูมองเงื้อมมือนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนจะกดลงบนกำไลข้อมือ
ขณะที่นางกำลังจะกดปุ่ม ขาข้างหนึ่งของใครบางคนพลันถีบออกมาก่อน คนต่ำช้าที่มีเจตนาร้ายจึงกระเด็นออกไป
“เจ้าลองแตะเขาดูสิ” ลู่เซวียนยืนขวางหน้าฉู่หนิงจู
ฉู่หนิงจูมองลู่เซวียนอย่างตื่นเต้น “ลู่เซวียน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ข้าใกล้จะถูกพวกเขารังแกจนตายแล้ว”
ลู่เซวียนกลอกตามองบน “วันไหนเจ้าไม่สร้างปัญหา ข้าคงขอบคุณเจ้าแล้ว”
ตัวก่อปัญหาจริง ๆ เลย
“พวกเขาพูดจาใส่ร้ายเจ้า อีกทั้งยังบอกว่าเจ้าไม่คู่ควรติดตามท่านเจ้าสำนักเข้าร่วมงานชุมนุมผู้มีความโดดเด่นทางด้านวรรณศิลป์ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องโมโห!”
ณ ห้องตำราเจ้าสำนัก
ไป๋เหวยคังจิบชา ฟังผู้อาวุโสอวิ๋นอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ทว่าเขาไม่มีความตั้งใจจะเข้าไปยุ่งแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสอวิ๋น พวกเราแค่อยอกล้อเขาเล่นเองนะขอรับ” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นมา
“ผู้อาวุโสอวิ๋น พวกเขาตีข้า ด่าทอข้า ทั้งยังกล่าวว่าสำนักบัณฑิตไม่ยุติธรรม เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีพรสวรรค์มากกว่า กลับให้ลู่เซวียนไปงานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์” ฉู่หนิงจูเอ่ยด้วยความโมโห “แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ยอมให้พวกเขากล่าวหาสำนักบัณฑิต สำนักบัณฑิตของพวกเรายุติธรรม ไร้ความลำเอียงที่สุดแล้ว ท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสอวิ๋นย่อมจัดแจงตามความสามารถของทุกคน พวกเขาจะใส่ร้ายสำนักบัณฑิต ใส่ร้ายท่านเจ้าสำนัก ใส่ร้ายผู้อาวุโสอวิ๋นอย่างนี้ได้อย่างไร?
“พวกเราเอ่ยตั้งแต่เมื่อไหร่…”
“พวกเจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าลู่เซวียนไม่ควรได้สิทธิ์นั้นไป?”
“นั่นเป็นเพราะ…” พวกเขาแค่รู้สึกว่าฟางโจวอวี่เหมาะสมยิ่งกว่า
“พวกเขายอมรับแล้ว” ฉู่หนิงจูฟ้องขึ้นมาทันที “พวกเขายังบอกอีกว่า ข้าหน้าตาเหมือนสตรี มิสู้อยู่กับพวกเขา….”
สีหน้าของลู่เซวียนมืดครึ้มลงทันที
ถ้วยชาในมือของไป๋เหวยคังถูกวางลงบนโต๊ะดัง ‘ตึง’
เขาเงยหน้าขึ้นมองลูกศิษย์เหล่านั้น
“พวกเจ้าพูดหรือ?”
“ท่านเจ้าสำนักนัก พวกเราไม่ได้…”
“พวกเขาพูด พวกเขายังกล่าวอีกว่า ลู่เซวียนเป็นคนโปรดข้างกายท่านเจ้าสำนัก พวกเขาไม่กล้ารังแก ข้าเป็นแค่เพียงคนรับใช้เล็ก ๆ ที่ลู่เซวียนไม่สนใจ อยากรังแกข้าอย่างไรก็จะรังแกอย่างนั้น”
ขณะที่ฉู่หนิงจูเอ่ยนั้น ดวงตาของนางก็หลุบลงต่ำ
“พวกเจ้า ต่อไปไม่ต้องมาที่สำนักบัณฑิตเขาเขียวแล้ว” ไป๋เหวยคังเอ่ยขึ้นนิ่ง ๆ “คนนิสัยใจคอเช่นนี้ ถึงแม้ต่อไปพวกเจ้าจะกลายเป็นขุนนาง ก็เป็นได้เพียงขุนนางโฉดชั่วคดโกง รังแต่ทำลายชื่อเสียงของสำนักบัณฑิตจนป่นปี้ไม่มีชิ้นดี”
“ท่านเจ้าสำนัก อย่านะขอรับ พวกเราไม่อาจออกไปจากสำนักบัณฑิตได้”
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราเพียงแค่ล้อเขาเล่นเองนะขอรับ”
“ฉู่หลิง เจ้าอธิบายกับท่านเจ้าสำนักสักหน่อย พวกเราเพียงแค่หยอกล้อกันเท่านั้น เจ้าก็ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลยนี่”
ลู่เซวียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขาของเขาบาดเจ็บแล้ว จิตใจของเขาก็ไม่สู้ดี นี่หรือเรียกว่าเขาไม่บาดเจ็บ? เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าอย่างไรจึงจะบาดเจ็บ? ต้องรอให้เจ้าทำเรื่องหยาบช้ากับเขาก่อนงั้นหรือ?”