สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 303 คนที่หนึ่งก็คือเจ้าน่ะสิ
บทที่ 303 คนที่หนึ่งก็คือเจ้าน่ะสิ
บทที่ 303 คนที่หนึ่งก็คือเจ้าน่ะสิ
หวังซิ่วเยว่ไม่ยอมพูด ถึงแม้มู่ซืออวี่มีใจอยากช่วยเหลือก็ไม่สามารถทำอะไรได้หากเจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือ มีเพียงหนทางเดียวนั่นคือให้อยู่ในโรงหมอไปเสียก่อน จะได้ไม่มีผู้ใดตามหานางเจอ
หลังจากนั้น มู่ซืออวี่ก็วุ่นอยู่กับการเตรียมงานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์
หลายวันต่อมา งานชุมนุมก็จัดขึ้นตามตารางงานที่วางไว้
เหล่าบัณฑิตและผู้มากพรสวรรค์เข้าไปในหอวั่งเซียงคนแล้วคนเล่า
“นี่คืออะไร?”
ทันทีที่มาถึงประตู พวกเขาก็เห็นหุ่นไม้ยืนอยู่ตรงนั้น หุ่นไม้ทำท่าทางคล้ายกับ ‘เชิญเข้ามา’ ซ้ำไปซ้ำมา ดูแล้วโง่เขลายิ่งนัก ทว่าก็น่าครื้นเครงใจไม่น้อย
“ข้าเคยเห็นของเล่นไม้ของตระกูลโม่ครั้งหนึ่ง ไม่เพียงแต่เคลื่อนไหวปราดเปรียวเท่านั้น แต่ยังสวยงามมากอีกด้วย ฮูหยินนายอำเภอของพวกเราคงไม่ใช่ศิษย์ตระกูลโม่กระมัง ฝีมือเช่นนี้ไม่อ่อนด้อยเลยแม้แต่น้อย”
“นี่เป็นงานฝีมือของฮูหยินนายอำเภอหรือ?”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น นางเป็นช่างไม้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของที่นี่”
“เฮอะ ไม่ใช่คนไร้ความรู้ผู้หนึ่งหรอกหรือ” บัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยอย่างดูถูก
ผู้คนรอบ ๆ ได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร รู้เพียงว่าควรแยกย้ายกันไปอยู่ให้ห่างจากบัณฑิตผู้นั้นจะดีที่สุด
เมื่อเข้ามาในหอวั่งเซียงก็จะพบเห็นผลงานชั้นเยี่ยมหลากหลายรูปแบบของปีที่ผ่าน ๆ มา
“พวกท่านสังเกตหรือไม่? หอวั่งเซียงในปีนี้ดูใหม่ขึ้นกว่าปีที่แล้วไม่น้อย”
“ข้าได้ยินว่าฮูหยินนายอำเภอนำคนมาปรับปรุงที่นี่ด้วยตนเอง”
“พวกท่านดูนั่นสิ นั่นไม่ใช่เก้าอี้บุนวมรุ่นขายจำนวนจำกัดของ ‘เรือนกรุ่นฝัน’ หรอกหรือ?”
“ใช่แล้ว ราคาไม่ถูกเลย! ฮูหยินนายอำเภอช่างใจกว้างจริง ๆ”
“ยังมีนั่นอีก… นั่นอะไรน่ะ สีสันสวยงาม ดูเหมือนว่ารสชาติจะโอชะไม่น้อย”
เหล่าบัณฑิตล้วนถูกทุกหนทุกแห่งของหอวั่งเซียงดึงดูดความสนใจ
“ข้าอยู่มาจนถึงปูนนี้ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ แล้ว” บัณฑิตอาวุโสผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ทางนั้นมีอะไรน่ะ เหตุใดจึงมีผู้คนมากมายมุงดูอยู่ตรงนั้น?”
ลู่เซวียนเดินตามไป๋เหวยคังเดินเข้าไปในหอวั่งเซียง เขาถูกทุกแห่งหนของหอวั่งเซียงดึงดูดความสนใจเช่นกัน
ไป๋เหวยคังมองกระดานหมากรุกที่ใกล้จะจบตาตรงหน้าพลางเอ่ยถาม “ผู้ใดเป็นคนจัดการที่นี่?”
บัณฑิตที่อยู่ข้าง ๆ รีบอธิบายให้ฟัง “ข้าได้ยินว่าฮูหยินนายอำเภอสั่งให้คนตั้งหมากรุกใกล้จบตาขึ้นขอรับ”
บัณฑิตอีกคนเอ่ยขึ้นมาว่า “นอกจากหมากรุกที่ใกล้จบตากระดานนี้แล้ว ตรงนั้นยังมีหมากกระดานที่ยังไม่สมบูรณ์อีกจำนวนมากด้วยขอรับ ได้ยินว่าล้วนแต่เป็นฮูหยินนายอำเภอทำไว้ ทำให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริง ๆ”
“ไม่ใช่กล่าวกันว่าฮูหยินนายอำเภอไม่รู้จักอักษรแม้แต่ตัวเดียวหรือ?”
ลู่เซวียนเย้ยหยันว่า “หากไม่รู้หนังสือแม้แต่อักษรตัวเดียวจริง ๆ จะเปิดร้านใหญ่โตได้ถึงเพียงนั้นหรือ ทั้งยังรู้จักจัดวางหมากรุกที่ใกล้จบตาเหล่านี้ด้วย อย่าคิดอย่างกบก้นบ่อ*[1] เลย ความคิดคับแคบจะทำตัวเองขายหน้าเอาได้”
“เหตุใดเจ้าคนนี้จึงพูดจาเสียดสีข้าเช่นนี้?” ชายหนุ่มผู้ที่กล่าวว่ามู่ซืออวี่ไม่รู้หนังสือแม้แต่อักษรเดียวเอ่ยด้วยความไม่พอใจ
“พอได้แล้ว ท่านว่าพี่สะใภ้ผู้อื่นเขา เขาจะด่าว่าท่านสักคำสองคำไม่ได้เชียวหรือ?” อีกคนรีบดึงตัวเขาจากไป
“พี่สะใภ้? เช่นนั้นเขาคือ…”
“น้องแท้ ๆ ของใต้เท้าลู่ ตอนนี้เขาเป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนักบัณฑิตเขาเขียว”
ไป๋เหวยคังเหลือบมองลู่เซวียน “เจ้าปกป้องคนในครอบครัวเหมือนพี่ชายของเจ้าไม่มีผิด”
“เราต่างปกป้องคนในครอบครัว ต่อว่าข้าได้ แต่ต่อว่าคนบ้านข้าไม่ได้” ลู่เซวียนประกบมือค้อมคำนับ “ทำให้ท่านอาจารย์ต้องขบขันแล้ว”
เงาร่างหนึ่งทำท่าทีหลบ ๆ ซ่อน ๆ เดินผ่านไป
ลู่เซวียนหิ้วคอเสื้อของคนผู้นั้นขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
ฉู่หนิงจูเบ้ปาก กะพริบตาปริบ ๆ แล้วตอบอย่างเฉลียวฉลาดว่า “ข้าตามพี่หญิงมู่เข้ามา”
“พี่สะใภ้ของข้ามาแล้วหรือ?”
“อืม กำลังตรวจวัตถุดิบอยู่ในครัวด้านหลัง”
ไป๋เหวยคังเห็นฉู่หนิงจูจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปหาสหายเก่า พวกเจ้าผู้เยาว์เที่ยวชมตามสบายเถอะ! ผู้ที่มาวันนี้ล้วนเป็นคนมีความสามารถ พวกเจ้าไปผูกสัมพันธ์สักหน่อย เป็นผลดีต่อพวกเจ้าทั้งนั้น”
ไม่ว่าจะพบเจอคนดีหรือร้าย ล้วนสามารถเพิ่มแรงผลักดันให้ตนได้เติบใหญ่ขึ้น หากพบสิ่งไม่ดีในตัวผู้อื่น สามารถย้อนกลับมามองที่ตนได้ หากพบสิ่งดี ๆ ของผู้อื่น ก็สามารถนำมาปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นได้
“เจ้าอย่าได้วิ่งวุ่นไปทั่ว” ลู่เซวียนเอ่ยเตือนฉู่หนิงจู “ในเมื่อเจ้ามากับพี่สะใภ้ข้า เช่นนั้นก็ไปอยู่ข้างกายนาง”
“ข้าเพียงอยากมาหาเจ้า!” ฉู่หนิงจูชี้ลู่เซวียน มองเขาอย่างเศร้าใจ ก่อนจะก้มหัวลงต่ำราวกับเด็กกระทำความผิด
เมื่อเฉินซือจวินเดินนำชิวสุ่ยเข้ามา พวกนางก็ตกตะลึง
“เหล่านี้ล้วนเป็นฮูหยินลู่ผู้นั้นจัดเตรียมเองหรือ?” ชิวสุ่ยเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “คุณหนู คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยนะเจ้าคะ ไม่เหมือนหญิงชนบทธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย”
“หากนางเรียบง่าย คงไม่มีความสามารถเช่นนี้ ข้านึกไม่ถึงว่านางจะร้ายกาจกว่าที่ข้าคิด” เฉินซือจวินขมวดคิ้ว
“ซือจวิน” เจิ้งซินเยว่เอ่ยทัก นางอยู่ในชุดกระโปรงสีขาว อากัปกิริยาสง่างาม ราวกับดอกไป่เหอ*[2]ที่แสนบริสุทธิ์ดอกหนึ่ง
เฉินซือจวินแต่งกายในชุดกระโปรงสีน้ำเงิน ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมงามสง่า ดูสูงศักดิ์กว่าเจิ้งซินเยว่เล็กน้อย
สตรีในงานล้วนเป็นคนงาม ทว่าบุตรสาวตระกูลขุนนางย่อมแตกต่าง บางทีอาจเป็นเพราะการฝึกฝนความมั่นใจในตนเองตั้งแต่ยังเด็ก เจิ้งซินเยว่จึงมีสง่าราศี นางชอบเที่ยว บุรุษมากมายหลายคนล้วนยกย่องนางเป็นแสงจันทร์ขาวนวล*[3] ทว่าเมื่อมายืนรวมกับเฉินซือจวินแล้ว ประกายของนางกลับหม่นแสงลงไปเล็กน้อย
ทว่าสตรีเช่นเจิ้งซินเยว่ก็ยังดึงดูดความเห็นอกเห็นใจจากบุรุษได้
ที่นี่ยังมีสตรีอยู่อีกหลายคน แต่พวกนางกลับด้อยกว่าทั้งสองคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือชื่อเสียง กล่าวได้ว่าทันทีที่พวกนางปรากฏตัวก็สามารถดึงดูดบุรุษในที่แห่งนี้ได้ถึงแปดส่วน
“นี่คือของว่างเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้ที่รับผิดชอบบริการแขกเหรื่อแต่งกายแบบเดียวกัน แขกที่มางานไม่ต้องกังวลว่าจะทักคนผิด หากต้องการสิ่งใด เพียงกล่าวกับบ่าวรับใช้ก็พอแล้ว
เมื่อคนถามถึงของกินที่มีสีสันสวยงามเหล่านั้น บ่าวรับใช้ก็แนะนำพวกเขาอย่างคล่องแคล่ว
“นี่เป็นของว่างที่ฮูหยินของพวกเราคิดค้นขึ้นมา ด้านนอกไม่มีขายเจ้าค่ะ ทุกท่านลองชิมดูได้ ไม่คิดเงินเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินนายอำเภอเป็นหญิงที่มาจากชนบทจริง ๆ หรือ? วิสัยทัศน์เช่นนี้ เก่งกาจปานนี้ ไม่ด้อยไปกว่าบุตรสาวจากตระกูลผู้ดีเชียวนะ!”
“นั่นอะไรหรือ?” มีคนชี้ไปยังรูปภาพที่อยู่ไม่ไกล
หนึ่งในบ่าวรับใช้อธิบายว่า “หากปล่อยให้ตรงนั้นว่างจะไม่น่ามองเจ้าค่ะ ฮูหยินกล่าวว่าแขวนรูปวาดเอาไว้ตรงนี้จะสวยงามกว่า นางจึงวาดขึ้นมาเองหนึ่งรูป ได้ยินฮูหยินบอกว่านั่นคือภาพวาดสีน้ำมัน…”
“ภาพวาดประเภทนี้ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน สหายไป๋ ท่านเคยเห็นหรือไม่?”
เหล่าผู้อาวุโสมองภาพนั้น สีหน้าของแต่ละคนล้วนดูสงสัยและอัศจรรย์ใจ
ลู่เซวียนที่อยู่ในฝูงชนเอ่ยไปยิ้มไป “พี่สะใภ้ของข้าไม่ธรรมดาจริง ๆ”
“มีคนมากมายเพียงใดรอชมดูพี่หญิงมู่ท่าดีทีเหลว แต่นางเยี่ยมยอดถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องซ่อนเร้นความสามารถด้วย?” ฉู่หนิงจูเอียงหัวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“นางเป็นพี่สะใภ้ของข้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า เจ้าจะตื่นเต้นไปเพื่ออะไร?”
“พี่หญิงมู่เป็นคนที่สองที่ข้าชื่นชมนับถือ นางเยี่ยมยอดเช่นนี้ ข้าย่อมรู้สึกยินดี”
“คนที่สอง?” ลู่เซวียนตอบสนองไม่ทันไปครู่หนึ่ง
“คนที่หนึ่งก็คือเจ้าน่ะสิ เจ้าจะเป็นคนที่ข้านับถือที่สุดตลอดไป” ฉู่หนิงจูยกย่องลู่เซวียนอย่างใจกว้าง
ลู่เซวียนกระแอมเบา ๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นจึงคีบของว่างชิ้นหนึ่งขึ้นแล้ววางลงบนจานนาง “ทานให้มาก พูดให้น้อย”
“ลู่เซวียน เจ้าดีกับข้าจริง ๆ” ฉู่หนิงจูพลันเผยสีหน้าเบิกบานใจ
ลู่เซวียนหันไปรอบ ๆ อย่างทำตัวไม่ถูก “ข้ามีเรื่องต้องทำ เจ้าไปหาพี่สะใภ้ของข้าเอาเองก็แล้วกัน”
หลังจากที่ตรวจสอบอาหารกลางวันด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว มู่ซืออวี่ก็ขึ้นไปยังชั้นสองของหอวั่งเซียง เพราะบริเวณนี้สามารถมองเห็นสถานการณ์ข้างล่างได้อย่างทั่วถึง
[1] กบก้นบ่อ หมายถึง คนวิสัยทัศน์คับแคบ
[2] ไป่เหอ คือ ดอกลิลลี่
[3] แสงจันทร์ขาวนวล เปรียบเปรยถึงคนที่รักกันแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้