สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 304 กล่าวมาเสียครึ่งวัน
บทที่ 304 กล่าวมาเสียครึ่งวัน
บทที่ 304 กล่าวมาเสียครึ่งวัน
“ฮูหยิน ดูเหมือนทุกคนจะชอบนะเจ้าคะ” จื่อเยวี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
มู่ซืออวี่มองหาเฉินซือจวินท่ามกลางกลุ่มคน ไม่นานก็เห็นเจิ้งซินเยว่กำลังคุยกับเฉินซือจวินอย่างถูกคอ
นางเอ่ยขึ้นว่า “ไปบอกจือเชียนว่าให้จับตาดูสองคนนี้เป็นพิเศษ”
“ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ นายท่านวางสายลับไว้ที่นี่ไม่น้อย ใครที่กล้าก่อเรื่องต้องอับอายเป็นแน่เจ้าค่ะ” จือเยวี่ยนกล่าว
ฉู่หนิงจูซุกซนราวกับเป็นหนูแฮมสเตอร์ตัวน้อย มู่ซืออวี่เห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ “เด็กคนนั้นซุกซนจริง ๆ”
“แม่นางฉู่ใสซื่อบริสุทธิ์มีชีวิตชีวา นายท่านรองอาจดูรำคาญใจ แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นห่วงเป็นใยนางมากทีเดียว ท่านดูนายท่านรองสิเจ้าคะ เขามองแม่นางฉู่ไม่ให้คลาดสายตาอยู่ตลอดเวลา คงเกรงว่านางจะสร้างปัญหาอะไรขึ้นอีก”
เมื่อลู่อี้ปรากฏตัว งานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
งานนี้เป็นช่วงเวลาแสดงพรสวรรค์และการเรียนรู้ ผู้คนต่างขับขานบทกวี เล่นหมากรุก วาดภาพ บรรเลงฉินตามความสามารถของตน
ในฐานะนายอำเภอและขุนนางของเมืองฮู่เป่ย การเข้าร่วมของลู่อี้นับได้ว่าผลักดันความกระตือรือร้นของทุกคน
“ตอนนั้นใต้เท้าลู่ชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะอัจฉริยะของที่นี่ เป็นดังคาด คนบางคนเป็นดาวเหวินฉวี่*[1] ถึงแม้จะประสบเคราะห์กรรมระหว่างทางก็ยังเดินไปในเส้นทางที่ควรจะเป็นได้” ใครบางคนกล่าวขึ้นมา “ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีเกียรติได้เห็นใต้เท้าลู่ได้เขียนภาพอักษรหรือไม่?”
ลู่อี้ยังคงหล่อเหลา วันนี้เขาไม่ได้ใส่ชุดขุนนาง ทว่าสวมเสื้อคลุมทรงใหม่ เผยให้เห็นถึงสัดส่วนร่างกายอันสมบูรณ์แบบของเขา ความสง่าที่เดิมทีมีอยู่ถึงแปดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นสิบส่วนทันที
เขาเอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “อาจารย์ของข้าน้อยอยู่ที่นี่ ไม่กล้าแสดงฝีมือต่ำต้อยจริง ๆ”
ในงานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์ เขาเป็นเพียงผู้รู้หนังสือธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น
ไป๋เหวยคังลูบเคราแล้วเอ่ยขึ้น “ตาเฒ่าเช่นข้าไม่ได้เห็นบทกวีของเจ้ามาหลายปีแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว เขียนออกมาก็พอแล้ว”
“ในเมื่อท่านอาจารย์ออกปาก เช่นนั้นข้าน้อยจำต้องแสดงฝีมือต่ำต้อยนี้แล้ว”
ลู่อี้รับพู่กันที่คนติดตามข้างกายส่งมาให้แล้วเขียนบทกวีบทหนึ่งลงไปในกระดาษ
“บทกวีดี! บทกวีดี!”
“เป็นบทกวีที่ดีจริง ๆ!”
“ดูตัวอักษรนี้สิ ดุดันหนักแน่น ดียิ่งกว่าบทกวีเสียอีก”
เมื่อมู่ซืออวี่ลงไปชั้นล่าง สตรีหลายคนก็เข้ามาทักทายนาง
“ฮูหยินลู่ การเตรียมงานในวันนี้จัดการได้ถี่ถ้วนยิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นของแปลกใหม่มากมายเพียงนี้มาก่อน” หนึ่งในสตรีเหล่านั้นกล่าวขึ้น “ดูข้าสิ ยังไม่ได้แนะนำตนเองเลย สามีของข้าแซ่จาง”
“ฮูหยินจางกล่าวชมเกินไปแล้ว” มู่ซืออวี่แย้มยิ้มออกมา “หากมีที่ใดรับรองได้ไม่ดีพอ เพียงแค่บอกข้า อย่าได้เกรงใจ”
“หากนี่ยังดีไม่พอ เช่นนั้นข้าคงไม่กล้าจัดงานเลี้ยงแล้ว” ฮูหยินจางกล่าว “ข้าไม่อาจปิดบัง ปกติแล้วข้ามักจะเชิญสหายไปเยี่ยมชมที่บ้าน เดิมทีคิดว่าตนเอาใจใส่มากพอแล้ว ทว่าเมื่อได้ยลฝีมือของฮูหยินลู่วันนี้แล้ว จึงได้รู้ว่าเอาใจใส่ที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร ไม่ต้องเอ่ยถึงเก้าอี้บุนวมตัวนี้ กระทั่งของว่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนล้วนแต่เป็นของรสเลิศทั้งสิ้น”
“ของว่างเหล่านี้น่ะ สิ้นเปลืองความคิดไปไม่น้อย…” มู่ซืออวี่กำลังเอ่ยถึง ‘ติ่มซำดั้งเดิม’
สตรีหลายคนเข้ามาร่วมวงสนทนากับพวกนาง
ถึงแม้มู่ซืออวี่จะเป็นฮูหยินนายอำเภอมาสักพักแล้ว ทว่านางมัวง่วนอยู่กับกิจการ ไม่ได้สังสรรค์กับผู้อื่นมากนัก หลาย ๆ คนจึงไม่มีโอกาสได้ผูกสัมพันธ์ วันนี้จึงถือว่าเป็นโอกาสอันดี
“ฮูหยินลู่” เจิ้งซินเยว่และเฉินซือจวินเดินเข้ามาหาพร้อม ๆ กัน “วันดี ๆ เช่นนี้ ฮูหยินลู่ไม่เหลือภาพอักษรไว้บ้างหรือ?”
มู่ซืออวี่แย้มยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องกระมัง? วันนี้มีบัณฑิตเปี่ยมพรสวรรค์และสาวงามมากมาย ข้าไม่กล้าแสดงฝีมืออันน่าขบขันของข้าแล้ว”
“ใต้เท้าลู่เป็นนายอำเภอเมืองฮู่เป่ย ฮูหยินลู่ ในฐานะฮูหยินของเขา แน่นอนว่าต้องเป็นแบบอย่างให้สตรีเมืองฮู่เป่ยเรา ท่านจะไม่แสดงความสามารถได้อย่างไรเล่า?”
“ฮูหยินลู่วาดภาพได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ย่อมต้องสามารถเขียนภาพอักษรที่สวยงามออกมาได้เป็นแน่ นี่มีอะไรให้ต้องถ่อมตัวกัน ถูกหรือไม่?” เจิ้งซินเยว่เอ่ยเบา ๆ “มาสนิทกันไว้เถิด”
ความเคลื่อนไหวทางฝั่งสตรีดึงความสนใจจากเหล่าบุรุษ
วันนี้มู่ซืออวี่สวมกระโปรงไล่ระดับสีตั้งแต่เอวลงมา สวมใส่เสื้อคลุมไหล่เมฆาลายเมฆ ผัดแป้งเล็กน้อย พอมัดมวยตกหลังม้า*[2] ก็เข้ากันอย่างเหมาะเจาะ ทั้งสง่างาม สูงศักดิ์ มีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัว
การแต่งกายของสตรีในยุคนี้แทบจะไม่แตกต่างกันมากนัก ผัดแป้งหนาหนัก วาดคิ้วต่างกันไม่มาก อย่างเช่นสตรีที่ปรากฏตัวในงานวันนี้ หากไม่ใช่เพราะหน้าตาของพวกเขาแตกต่างกัน พอแต่งหน้าเหมือนกันก็ไม่ต่างจากคัดลอกแล้ววาง
การแต่งกายของมู่ซืออวี่ทำให้ดวงตาของพวกนางเปล่งประกาย
เมื่อครู่นี้พวกนางถูกมู่ซืออวี่ดึงดูดเข้ามา เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะของว่างและการตกแต่งสถานที่ เหตุผลอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกนางรู้สึกตกตะลึงกับการแต่งกายของอีกฝ่าย
รูปร่างในตอนนี้ของมู่ซืออวี่ไม่อ้วนเหมือนแต่ก่อนแล้ว อันที่จริงตอนนี้นางงามพิลาสเสียด้วยซ้ำ รูปร่างเพรียวบาง ครั้นแต่งกายด้วยชุดที่เป็นเอกลักษณ์ ความงามที่มีเพียงหกส่วนก็ทำให้คนชื่นชมได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังรักษาผิวพรรณเป็นอย่างดี ผิวจึงเนียนนุ่มอมชมพู ดูนิ่มนวลกว่าสตรีที่อยู่ตรงนี้เป็นอย่างมาก ไร้สิ่งที่บ่งบอกว่านางให้กำเนิดบุตรมาแล้วถึงสองคนด้วยซ้ำ
“ฮูหยินนายอำเภอ เหตุใดจึงสวยเช่นนี้เล่า ไม่ใช่บอกว่านางเป็นหญิงชนบทหยาบกระด้างหรือ?” ใครบางคนกระซิบกระซาบกัน
“เชื่อข่าวไม่มีมูลพวกนั้นได้อย่างไร? หญิงชนบทหยาบกระด้างผู้หนึ่งจะมีจิตใจบริสุทธิ์ ความคิดหลักแหลม เปิดกลุ่มสอนวาดแบบร่างเองได้หรือ? ถ้าใช่แล้วจะดำเนินกิจการร้านขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”
ลู่อี้เดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยถามมู่ซืออวี่ “มีอะไรหรือ?”
มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “คุณหนูเจิ้งอยากให้ข้าสอนเขียนอักษร ท่านก็รู้ ข้าจะกล้าแสดงฝีมือน่าขบขันของข้าได้อย่างไร”
ลู่อี้เหลือบมองเจิ้งซินเยว่ด้วยสีหน้าเฉยชา “คุณหนูเจิ้งไม่เขียนออกมาสักคำเล่า”
เจิ้งซินเยว่ยิ้มแย้มอย่างมั่นใจ “เช่นนั้นก็ได้ แต่ว่าให้ข้าเขียนคนเดียวจะมีประโยชน์อย่างไร ไม่สู้ให้ฮูหยินลู่มาเขียนด้วยกันเล่า?”
“พี่หญิงเจิ้ง” เฉินซือจวินเอ่ยขึ้น “ให้ข้าเขียนกับท่านเถอะ”
“ข้าเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง ไม่ได้สำคัญอะไร เพียงแต่ทุกคนล้วนรู้ว่าทุกคนที่เข้าร่วมงานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์จะต้องทิ้งภาพอักษรไว้ กฎข้อนี้จำเป็นต้องปฏิตาม” เจิ้งซินเยว่เอ่ยเบา ๆ
“ก็ไม่ใช่ทุกคน…”
“ฮูหยินลู่แตกต่างออกไป นางเป็นฮูหยินนายอำเภอ เรื่องนี้ต้องปฏิบัติตาม” เจิ้งซินเยว่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่เช่นนั้นจะให้สาธารณชนเชื่อถือได้อย่างไร?”
“กล่าวมาเสียครึ่งวันเพียงเพราะอยากเห็นข้าเขียนไม่ใช่หรือ” มู่ซืออวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ได้สิ อยากเขียนอย่างไรกัน?”
“พวกเราเขียนบทกวีหัวข้อเกี่ยวกับดอกไม้” เจิ้งซินเยว่กล่าว “วันนี้มีสตรีมาร่วมงานไม่น้อย เหตุใดไม่มาสนุกร่วมกันเล่า?”
แน่นอนว่าสตรีอื่นล้วนไม่เกรงกลัว ทุกคนมางานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์ครั้งนี้ได้เพราะพรสวรรค์และการฝึกฝน ไม่ใช่เพราะมาเที่ยวเล่น ในยุคนี้ หากเขียนบทกวีไม่ได้ เช่นนั้นยังจะเรียกว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ได้หรือ?
ลูกไม้นี้ของเจิ้งซินเยว่น่ารังเกียจยิ่งนัก หากทุกคนเข้าร่วม ย่อมไม่มีใครกล่าวได้ว่านางพุ่งเป้าไปที่มู่ซืออวี่ ถูกเปรียบเทียบกับผู้คนมากมายเพียงนี้ หากมู่ซืออวี่ทำได้ไม่ดี เช่นนั้นไม่น่าอับอายขายขี้หน้ายิ่งกว่าเดิมหรือ?
เป็นถึงฮูหยินนายอำเภอ แต่กลับมีความสามารถด้อยกว่าสตรีธรรมดาทั่วไป ไม่เท่ากับว่าเป็นการตบหน้าลู่อี้หรือไร
[1] ดาวเหวินฉวี่ เป็นชื่อของดาวดวงหนึ่ง เป็นดาวลำดับที่สี่ในกลุ่มดาวหมีใหญ่ ในตำนานโบราณของจีน ดาวเหวินฉวี่เป็นดาวที่รับผิดชอบด้านวรรณกรรม ผู้ใดที่สามารถเขียนบทความที่ดีและได้เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนัก นับเป็นดาวเหวินฉวี่ที่ลงมาจุติบนโลก
[2] มวยตกหลังม้า เป็นการมัดมวยแบบเอียง เกล้าแบบหลวม ๆ คล้ายกับว่ากำลังจะหล่นลงมา