สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 31 ท่านพี่ นางไม่แปลกหรือ?
บทที่ 31 ท่านพี่ นางไม่แปลกหรือ?
บทที่ 31 ท่านพี่ นางไม่แปลกหรือ?
มู่ซืออวี่ยกยิ้มให้ลู่อี้ “ขอบใจเจ้ามาก”
ขอบคุณที่เขาเชื่อนาง แม้ว่าเหตุผลของนางจะดูเกินจริงก็ตาม
คนฉลาดอย่างลู่อี้จะมองไม่เห็นข้อแก้ตัวง่อย ๆ ของนางได้อย่างไร แต่ที่เขาไม่ได้เผยให้เห็น นั่นก็เพราะความอ่อนโยนของเขาเองต่างหาก
เดิมทีลู่อี้ทั้งเกลียดชังทั้งเอือมระอาเจ้าของร่างเดิมจนกระทั่งนางตาย แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาอบอุ่นขึ้นแล้ว และความสัมพันธ์ของนางกับลูกทั้งสองคนก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะสามารถเปลี่ยนโชคชะตาของเขาได้หรือไม่
หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าของร่างเดิมที่เสียไปเมื่อครึ่งปีที่แล้ว
ครึ่งปี…
เจ้าของร่างเดิมตายไปแล้วงั้นหรือ?
ไม่ ๆ นางจะคิดฟุ้งซ่านไม่ได้
ในเมื่อต้องมาขลุกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว นางก็ต้องหาวิธีทำลายสถานการณ์นี้ให้ได้ เจ้าของเดิมก็คือเจ้าของเดิม นางก็คือนาง พวกนางไม่เหมือนกัน โชคชะตาก็ต้องไม่เหมือนกัน
แล้วก็พวกเขา…
ลู่อี้ก็ดี ลู่ฉาวอวี่ก็ดี ลู่จื่ออวิ๋นก็ดี จนถึงตอนนี้พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ดีมาก ๆ จะให้พวกเขาใช้ชีวิตที่มืดมนอย่างนี้ได้อย่างไรกัน
นางต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้พวกเขามีความสุข ยิ่งความสุขเพิ่มขึ้นมากเพียงใด อัตราความเป็นไปได้ยิ่งน้อยลงมากเท่านั้น
“ต่อให้พี่ชายของข้าดูดีแค่ไหน เจ้าก็อย่ามองเขาขนาดนี้ พวกเรายังอยู่นี่ น่าไม่อายเสียจริง” ลู่เซวียนขัดจังหวะความคิดของมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่ฮึมฮัมเสียงเบาพร้อมทั้งหันมองไปทางลู่อี้ เพียงแค่หันไปมอง ติ่งหูของเขาก็แดงขึ้นมา
“ข้าไม่ได้มองเจ้าเสียหน่อย แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเล่า” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “ข้าไปทำงานล่ะ”
พอถงซื่อและมู่เจิ้งหานออกมาจากบ้านตระกูลมู่ และมาใช้ชีวิตกับลูกสาวอยู่ที่บ้านของตระกูลลู่ หญิงสาวในหมู่บ้านต่างก็อดไม่ไหวที่จะซุบซิบนินทา อยากรู้ว่าทั้งสองจะสามารถอยู่กับคนตระกูลลู่ได้หรือไม่
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประตูทางเข้าของบ้านตระกูลลู่มีคนเดินเข้าเดินออกอยู่ตลอด ครั้นคนตระกูลลู่ออกมาพบ เหล่านักเผือกก็ทำเป็นเฉไฉไม่รู้เรื่อง ฝีมือการแสดงเช่นนี้บอกเลยว่าให้ราคาได้มากสุดแค่ 5 เหมา
หลังจากที่ลู่อี้ตักน้ำแล้วก็ขึ้นไปยังภูเขาเพื่อตัดไม้ ตอนที่ร่างกายอันแข็งแกร่งแบกท่อนไม้ผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน เหล่าสตรีต่างมองแขนล่ำ ๆ ที่กำลังออกแรงพร้อมกับกลืนน้ำลาย ด้วยเหตุนี้คำพูดที่แพร่กระจายในวงนินทาก็สามารถสร้างจินตนาการทุกชนิดจนสามารถรวบรวมเป็นหนังสือได้ โดยเฉพาะร่างกายที่สูงใหญ่กำยำของลู่อี้กับร่างอ้วนท้วมตัวเตี้ยของมู่ซืออวี่แล้ว ภาพในจินตนาการนั้นก็ทำให้พวกเขาไม่ผิดหวัง
“ข้าเดิมพันกับเจ้าไว้สูงสุดห้าวัน สองคนนั้นจะต้องโดนขับไล่ออกมาแน่นอน ลู่อี้มีน้องชายที่กำลังป่วยอยู่หนึ่งคน มีลูกชายกับลูกสาวอีกสองคน อีกทั้งยังมีผู้หญิงขี้เกียจกินเก่งชอบเอาเปรียบอีกหนึ่งคน ตอนนี้ยังต้องมาเลี้ยงแม่ยายกับน้องเมียอีก ถือเป็นการรังแกคนซื่อสัตย์ชัด ๆ เลย”
“ลู่อี้เป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจ ไม่ใช่แค่ห้าวันแน่นอน ข้าขอพนันว่าสิบวัน”
“ข้าขอพนันว่าหนึ่งเดือน ถึงลู่อี้จะไม่มีความสุข แต่เขาก็จะไม่เผยให้ใครเห็นหรอก ดูสิ เขายังต้องเลี้ยงดูแม่ยายกับน้องเมียอีกตั้งหนึ่งเดือน แค่นี้ก็แย่มากพอแล้ว”
“ใช่แล้ว เจ้าได้ยินมาว่าสภาพบ้านตระกูลมู่เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“เมื่อก่อนหานเอ๋อร์ต้องทำงานในบ้าน ส่วนมู่ต้าไห่กับมู่ต้าซานทำงานในนา วันนี้ได้ยินแม่เฒ่าเจียงโวยวายอยู่ในบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าเจ็บเอวแปลบ ๆ นี่แหละ แต่สะใภ้ใหญ่ของนางยังนอนหลับจนตะวันส่องก้น ข้าเพิ่งเคยเห็นพี่สะใภ้ใหญ่บ้านนั้นโดนด่า แม่หานเอ๋อร์เพิ่งจะออกไป สะใภ้ใหญ่ลำบากแย่ หลังจากนี้ยิ่งแย่แน่”
ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานช่วยกันหอบฟืนลงภูเขาไป เมื่อลู่ฉาวอวี่เกิดลื่นขึ้นมา มู่เจิ้งหานก็รีบเข้ามาดึงไว้
“ขอบคุณขอรับ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นเบา ๆ
มู่เจิ้งหานไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ไม่ต้องขอบใจ ข้าดูแลเจ้าเพราะความจำเป็น”
“ท่านคือท่านน้าของข้า ท่านอาวุโสกว่าข้า ไม่ต้องระมัดระวังตัวอย่างนั้นหรอก ข้าไม่ได้จะกินท่านเสียหน่อย” ลู่ฉาวอวี่กระชับฟืนบนหลังแล้วออกเดินทางต่อ
“ข้า…” มู่เจิ้งหานกัดฟันเดินตามไป “เจ้าไม่รู้สึกว่าพวกเราเป็นลูกติดรึ”
“ท่านเป็นน้องชายของนาง พวกเราต่างก็เหมือนเป็นสายเลือดเดียวกัน หากท่านว่าอย่างนั้นก็คงใช่”
“ข้าเห็นว่าเจ้าไม่ค่อยมีความสุข…” มู่เจิ้งหานยังไม่ทันกล่าวจบ ลู่ฉาวอวี่ก็หยุดฝีเท้า
“ตาข้างไหนของท่านที่เห็นว่าข้าไม่มีความสุข?”
“เจ้า… เหตุใดจึงพูดเช่นนี้” มู่เจิ้งหานถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ท่านพ่อของข้าไม่ชอบพูดมาก ข้าตามใจเขา” ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองเขาชั่วครู่ “แล้วแต่ผู้หญิงคนนั้น ข้าก็ไม่ได้ชอบที่จะพูดคุยกับนางสักเท่าไหร่”
“นางคือแม่ของเจ้า เจ้าเรียกนางอย่างนี้ได้อย่าง…”
“นางเป็นพี่สาวของท่าน ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินท่านเรียกนางดี ๆ เช่นกัน” ลู่ฉาวอวี่ตอบเสียงเบา “บาดแผลของท่านยังต้องได้รับการดูแลอีกกี่วัน ถ้าอีกนานก็ไม่ต้องตามข้าขึ้นไปแบกฟืนบนภูเขาหรอก”
“อย่างนั้นไม่ได้ ข้าบาดเจ็บเพียงนิดเดียว ไม่เป็นไรแล้ว ก่อนหน้านี้เคยกระดูกหักมาแล้วยังต้องไปหาบน้ำผ่าฟืน” มู่เจิ้งหานกล่าว
ในลานบ้านที่สวยงามและเงียบสงบแห่งนี้ มู่ซืออวี่จัดการกับฟืนเหล่านี้อย่างคล่องแคล่ว
ลู่เซวียนรดน้ำผักอยู่ที่ลานบ้านไปพลางมองมู่ซืออวี่ทำงาน นางผ่าฟืนได้มากขึ้นเรื่อย ๆ บนพื้นล้วนเต็มไปด้วยฟืนไม้ที่ถูกวางเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นแล้วสายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ประจวบเหมาะกับลู่อี้ขนฟืนกลับมาพอดี ลู่เซวียนจึงเดินไปทางลู่อี้ “ท่านพี่…”
ลู่อี้หยิบผ้าขนหนูข้างกายขึ้นมาเช็ดเหงื่อไคลและคราบฝุ่น สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “มีอะไรรึ?”
“ท่านพี่ ท่านไม่รู้สึกว่านางแปลกไปรึ?” ลู่เซวียนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าเห็นว่าช่างไม้หลี่ทำงาน แต่ไม่เห็นว่าเขาจะต้องใช้เครื่องมือใด ๆ ในการวัด แต่ตัดของไปตรง ๆ เลย นางไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ แต่กลับตัดไม้ได้อย่างเรียบร้อยราวกับว่าเคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน”
ลู่อี้มองไปทางมู่ซืออวี่
นางกำลังหลงใหลอยู่ในโลกของตนเอง ไม่รับรู้ใด ๆ เกี่ยวกับโลกภายนอก
อีกทั้งนางยังไม่รู้ด้วยว่าในแววตาของนางมีแสงสว่างสดใสเปล่งประกายออกมามากเพียงใด
แน่นอนว่ามู่ซืออวี่ผู้แพรวพราวคนนี้ไม่มีวันเป็นผู้หญิงไร้สมองคนนั้นได้
“นางเป็นเช่นนี้ไม่ดีรึ”
“ดีมันก็ดีอยู่ แต่ว่าข้าไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด ร่างกายนี้แน่นอนว่าเป็นของเดิมอยู่แล้ว หากแต่คนที่อยู่ภายใน… ยังเป็นคนเดิมคนเดียวกันกับร่างกายนี้หรือไม่ คนคนหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน หากให้พูดอีก มู่ซืออวี่คือใคร ก็คือคนที่ไร้ความสามารถคนหนึ่ง ถ้าสวรรค์ไม่ได้เปลี่ยนนาง นางจะมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านพี่ ท่านสังเกตบ้างหรือไม่ ท่านไม่กลัวรึ หากว่านางเป็นวิญญาณร้าย ท่านมีแผนการจะรับมืออย่างไร?”
“หากว่านางเป็นวิญญาณร้าย เหตุใดต้องมาทำงานบ้านด้วย สิ่งเดียวที่นางต้องการคือเล่ห์กล นางจะทำอะไรก็ได้ที่นางต้องการ หากนางอยากกินเรา เราก็หนีได้ ข้าไม่สนหรอกว่านางเป็นใคร ข้าสนใจเพียงแค่อวิ๋นเอ๋อร์และฉาวอวี่ชอบแม่แบบนี้หรือไม่ ในสายตาของข้า ผู้หญิงทุกประเภทก็เหมือนกันหมด”
ลู่เซวียนใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองลู่อี้ “อย่างนั้นรึ”
“แล้วไม่เป็นอย่างนั้นตรงไหน?” ลู่อี้เอ่ยขึ้นเบา ๆ
จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา นางหันไปมองลู่อี้แล้วโบกมือทักทายเขา “ท่านกลับมาพอดีเลย รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า”
ลู่อี้ปัดเสื้อผ้าที่เปื้อนฝุ่นของเขาแล้วเดินไป
ลู่เซวียนส่ายหัวเบา ๆ “อย่างนี้ก็ยังเรียกหรือ ก่อนหน้านี้ยังทำคนเดียวได้ไม่ต้องสนใจใคร เขาทำเป็นว่าไม่ได้ยิน ตอนนี้เพียงแค่เรียกครั้งเดียวก็ไปแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นเกาะอยู่ที่หน้าต่างแล้วโบกมือทักทายลู่เซวียน “ท่านอา… ท่านอา…”
ลู่เซวียนหันกลับมาเห็นว่าลู่จื่ออวิ๋นกำลังอยู่ในท่าทางที่อันตรายจึงรีบตะโกนเตือน “เสี่ยวอวิ๋น! หน้าต่างนั่นมันพังแล้ว เจ้ารีบถอยไปเร็ว!”