สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 312 เรื่องแดงแล้ว
บทที่ 312 เรื่องแดงแล้ว
บทที่ 312 เรื่องแดงแล้ว
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” ท่านหมอจูถาม
ถงซื่อส่ายหน้าเบา ๆ
ความหวาดกลัวที่เก็บซ่อนไว้ภายในจิตวิญญาณของนางไม่อาจลบเลือนหายไปในระยะเวลาอันสั้น แม้นางจะพยายามทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดก็ยังพรั่นกลัวเวลาเห็นหน้าแม่เฒ่าเจียง
ท่านหมอจูส่งนางกลับไปที่บ้าน จนถงซื่อเข้าไปในบ้านแล้ว เขาก็ไม่รีบร้อนจากไปทันที ทว่าไปพบกับมู่ซืออวี่แทน
เมื่อมู่ซืออวี่รับรู้เรื่องนี้ จึงกล่าวขอบคุณท่านหมอจู
“ท่านหมอจู เตาซานเหนียงผู้นั้นจะทำอย่างไร? ท่านและท่านแม่ของข้าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรือ?”
ท่านหมอจูรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
“จะแล้วไปได้อย่างไร ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเตาซานเหนียง บุตรชายของนางหน่วยก้านใช้ได้ ข้าชื่นชมพรสวรรค์ของเขา แต่ก่อนข้าไม่รู้ว่านางจะยุ่งยากเช่นนี้ หากรู้ตั้งแต่แรกข้าคงไม่รับบุตรชายของเขามาแล้ว”
“เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไร?”
“วันนี้ข้าพูดกับนางชัดเจนแล้ว คิดว่านางคงไม่มารบกวนข้าอีกแล้วกระมัง”
“ข้ามองออกว่าเตาซานเหนียงไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ นอกเสียจากว่าท่านกับท่านแม่จะแต่งงานกัน ไม่เช่นนั้นดอกท้อดอกนี้เกรงว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ข้าก็คิดเช่นกัน เพียงแต่แม่เจ้า… อันที่จริงแล้วข้าก็เข้าใจ แม่เจ้ากังวลว่าน้องชายของเจ้าจะรับไม่ได้” ท่านหมอจูเอ่ย “ข้าอยากพูดกับน้องชายของเจ้าให้ชัดเจน เพียงแต่แม่ของเจ้าปฏิเสธ เรื่องนี้จึงได้แต่เลื่อนออกไปเช่นนี้”
มู่ซืออวี่ย่อมเข้าใจนิสัยใจคอของถงซื่อ อีกทั้งยังเข้าใจว่ามารดามีความกังวลมากมาย
อันที่จริง หากนางไม่ใช่คนยุคสมัยปัจจุบัน คงมีเรื่องที่ต้องกังวลมากมายเช่นกัน มู่ซืออวี่จึงเข้าใจได้ เห็นถงซื่อทำให้ตนเองรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ก็สงสารอยู่ไม่น้อย
“ท่านหมอจู เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้า ข้าพี่สาวคนนี้จะคุยกับเขาเอง” มู่ซืออวี่กล่าว “ถึงแม้น้องหานจะไม่ยอมรับในตอนแรก แต่เขาจะค่อย ๆ เข้าใจเอง ท่านกับท่านแม่ข้าไม่ได้เยาว์วัยอีกแล้ว หากไม่คิดไตร่ตรองเพื่อตัวเอง ชีวิตนี้คงทำได้เพียงเสียดายในภายหลังแล้ว จะลำบากไปไย?”
พ่อสับปะรังเคคนนั้นของนางพบพานฤดูใบไม้ผลิฤดูที่สองแล้ว เหตุใดถงซื่อจะทำไม่ได้เล่า?
กล่าวถึงมู่ต้าซาน ชายคนนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ระยะเวลานานเท่าใดกัน นึกไม่ถึงว่าจะหาแม่นางที่ยินดีแต่งกับเขาได้แล้ว สงสัยเพราะเขามีงานทำ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้แล้วกระมัง
หลังจากท่านหมอจูไปแล้ว มู่ซืออวี่ก็ให้จื่อเยวี่ยนไปถามสถานการณ์ของแม่เฒ่าเจียง
ไม่นานนัก จื่อเยวี่ยนก็นำข่าวกลับมารายงาน
“ฮูหยิน ย่าของท่านคนนี้เกรงว่าจะช่วยไว้ไม่ได้แล้ว” จื่อเยวี่ยนส่งแท่งถ่านให้มู่ซืออวี่ จากนั้นยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อมองนางเขียนแบบ
มู่ซืออวี่รับมันมา ไม่รีบร้อนลงมือทำงาน เพียงแต่เอ่ยถาม “ไหนว่ามา นางทำเรื่องพิสดารอะไรอีก?”
“นางกัดหูของพี่ใหญ่นักการท่านหนึ่ง กัดออกมาเป็นชิ้นเนื้อเชียวนะเจ้าคะ” จื่อเยวี่ยนเล่า “ข้าได้ยินว่านางถูกขังไว้กับนักโทษฆ่าคนตายคนอื่น ๆ นางอายุปูนนี้แล้ว เกรงว่าจะหวาดกลัวเสียจนอายุลดฮวบลงไปครึ่งชีวิต”
มู่ซืออวี่ไม่รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย
หญิงชรานางนี้ยโสโอหังมาเกือบทั้งชีวิต แก่ปานนี้แล้ว จะได้มีคนดูแลนางเสียที
ทว่าชีวิตของแม่เฒ่าเจียงก็น่าเวทนานัก
นางเป็นห่วงเป็นใยมู่เจิ้งอี้และมู่ตงหยวนถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีผู้ใดทำให้นางสบายใจ บางทีอาจจะจริงที่ผู้คนเขาว่ากันไว้ ยิ่งรักใคร่ห่วงใยลูกหลานมากเพียงใดก็เท่ากับถูกทวงหนี้เท่านั้น ไม่ว่าจะเฉลียวฉลาดเพียงใดก็ไม่มีทางรอดพ้น
ครั้นลู่อี้กลับมา เวลาก็ล่วงเลยไปถึงยามโฉ่ว*[1] แล้ว
แสงเทียนในห้องยังคงส่องประกาย มู่ซืออวี่ผล็อยหลับไปบนโต๊ะ บนนั้นไม่มีภาพแบบสักภาพ
ลู่อี้ยืนอยู่ข้างหลังนาง มองใบหน้าที่หลับใหลอย่างเป็นสุขของภรรยา
เขาไม่อยากรบกวนนาง ไม่ว่าจะกลับมาดึกดื่นเพียงใด ลู่อี้จะมองดูจากนอกห้องเสียก่อน หากเทียนดับไปแล้ว เขาก็จะไปพักผ่อนที่ห้องข้าง ๆ หากเทียนยังไม่ดับจึงจะมาหานาง
อย่างไรก็ตาม น้อยนักที่จะกลับมาดึกดื่นเพียงนี้ ปกติแล้วไม่ว่ายุ่งเพียงใดเที่ยงคืนก็จะกลับมาแล้ว
ลู่อี้ช้อนตัวนางขึ้นมาแล้วเดินไปยังเตียงหลังใหญ่
มู่ซืออวี่สะดุ้งตื่นขึ้นมามองเขาด้วยความงุนงง “กลับมาแล้วหรือ?”
“ทำให้เจ้าตื่นหรือ?” ลู่อี้กล่าวตำหนินาง “คราวหน้าก็ไม่ต้องรอข้าแล้ว หากข้ายังไม่กลับมา เจ้าก็เข้านอนไว ๆ เจ้าทำเช่นนี้ข้าปวดใจยิ่งนัก”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะรอท่าน วันนี้เพียงแค่เผลอหลับไปขณะวาดแบบเท่านั้นเอง” มู่ซืออวี่ไม่ยอมรับ
แน่นอนว่าลู่อี้ไม่เชื่อคำพูดของนาง
ความคิดเล็ก ๆ ของนางนั้นเขามองทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่ในเมื่อนางยืนกรานเช่นนี้เขาก็จะไม่เปิดโปง
ทว่านับแต่นี้ไปหากไม่มีเรื่องด่วนเป็นพิเศษจริง ๆ ลู่อี้จะต้องรีบกลับมานอนด้วยกันกับนาง เขาไม่อยากเห็นนางเสียสุขภาพ
“จริงสิ ท่านหิวแล้วกระมัง ข้าเตรียมอาหารมื้อดึกไว้ให้แล้ว” มู่ซืออวี่ลุกขึ้นนั่ง
“ไม่ต้องแล้ว รีบนอนเสีย”
“เช่นนั้นท่านก็จัดการเอาเอง อาหารอยู่บนเตาเล็ก ๆ ตรงนั้น” มู่ซืออวี่บอก “ตอนนี้อากาศร้อน ใช้เตาเล็กก็เพียงพอแล้ว”
ลู่อี้มองไปตามทิศทางที่นางชี้ จึงพบว่ามีเตาเล็ก ๆ เตาหนึ่งพร้อมกับหม้อใบเล็กอยู่บนนั้นจริง ๆ
เขาเปิดฝาหม้อ กลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมา
“ข้าทำน้ำแกงนี่ทั้งวัน จะได้ช่วยท่านคลายความร้อน ตอนนี้อากาศค่อนข้างร้อน ฝนก็ไม่ตกนานแล้ว ทุกคนล้วนรู้สึกร้อน เดิมทีข้าอยากจะทำที่เย็น ๆ สักหน่อย แต่ก็คิดได้ว่าช่วงนี้ท่านเหนื่อยล้ามากแล้ว แม้กระทั่งอาหารการกินก็ไม่ได้กินอิ่ม ข้าจึงไม่ได้ทำของเย็นให้ท่าน อยากบำรุงร่างกายให้ท่านเสียก่อน”
“อาหารที่ฮูหยินของข้าทำนั้นโอชะที่สุดแล้ว”
“ปากหวานเสียจริง ก่อนหน้านี้ครึ่งวันก็เอ่ยถ้อยคำดี ๆ สักคำออกมาไม่ได้” มู่ซืออวี่กอดหมอนที่นางทำเอง “จริงสิ ย่าของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านตั้งใจจะขังนางไว้นานเพียงใด?”
“นางน่ะหรือ เกรงว่านางจะไม่ได้ออกมาภายในสามปีห้าปีนี้” ลู่อี้เอ่ยเบา ๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่านางทำอะไร?”
“อะไรหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม
“นางขโมยของ อีกทั้งยังมากกว่าหนึ่งครั้ง” ลู่อี้กล่าว “จะกล่าวไปแล้ว นางก็โชคดียิ่งนัก แต่ก่อนที่นางขโมยของล้วนแต่เป็นของคนมั่งมี คนมั่งมีเหล่านี้ของตกหายไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไร แต่หลังจากนางถูกจับไปขังคุกวันนี้ ขณะที่นางกำลังดิ้นรน ปิ่นปักผมหยกได้หล่นลงจากแขนเสื้อของนาง ปิ่นปักผมนั้นฮูหยินผู้หนึ่งทำหายไป เจ้าของเพิ่งมาแจ้งของหายพอดี บอกว่าปิ่นนั้นเป็นตัวแทนความรักที่สามีมอบให้นาง หากเป็นของอย่างอื่นหายไปย่อมไม่เป็นไร แต่ของสิ่งนี้สำคัญกับนางมาก”
“จากนั้นเรื่องก็แดงออกมาแล้ว” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “แม่เฒ่าเจียงยอมรับแล้วหรือ?”
“ยอมรับแล้ว” ลู่อี้ซดน้ำแกงอย่างพึงพอใจ “ในตอนแรกนางไม่ยอมรับ แต่ขู่ไปเพียงไม่กี่คำก็ยอมรับแล้ว วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปค้นบ้านนางตั้งแต่เช้า”
“แต่ก่อนข้ารู้ว่านางไร้ยางอาย นึกไม่ถึงว่าจะด้านถึงเพียงนี้ ไม่แปลกใจที่เหตุใดจู่ ๆ ครอบครัวนางจึงรวยขึ้นมา โดยเฉพาะมู่เจิ้งอี้ ถึงกับนำเงิน 1,000 ตำลึงเงินออกมาไถ่ตัวเสี่ยวเอ๋อร์” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่านว่านางร่ำรวยกระทันหันเช่นนี้ คนในครอบครัวของนางมากมายเพียงนั้นจะไม่นึกสงสัยนางเลยหรือ? ไม่ว่าจะเป็นมู่ตงหยวน มู่เจิ้งอี้ หรือลูกสะใภ้ที่แต่งใหม่คนนั้น แต่ละคนล้วนรู้ความทั้งนั้น”
“ก็มีประโยชน์กับพวกเขา เหตุใดพวกเขาจะต้องเจาะหน้าต่างกระดาษ*[2] ด้วยเล่า? อย่างไรเสีย พวกเขามีเงินให้ใช้ก็เพียงพอแล้ว” ลู่อี้เอ่ย “นางน่าสารแต่ก็ทำผิด สุดท้ายก็ถูกทำร้ายโดยคนที่นางห่วงใยที่สุด”
“หากตรวจสอบพบว่าเงินล่าสุดที่แม่เฒ่าเจียงได้มาล้วนแต่ถูกขโมยมา นางจะได้รับโทษสถานใด?” มู่ซืออวี่ถาม
“นั่นขึ้นอยู่กับว่าครอบครัวของนางยินดีจ่ายค่าปรับให้นางหรือไม่ หากยอมจ่ายค่าปรับ โทษก็จะเป็นสามถึงห้าปี แต่หากไม่นำเงินออกมา เช่นนั้นก็จะถูกขังคุกมากกว่าสิบปี” ลู่อี้เอ่ยพลางซดน้ำแกงหยดสุดท้าย
[1] ยามโฉ่ว คือ ช่วงเวลา 1.00 – 3.00 น.
[2] เจาะหน้าต่างกระดาษ คือ อธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้กระจ่างแจ้ง หรือเปิดเผยความลับ