สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 313 ครอบครัวมู่ตกสู่ความยุ่งเหยิงแล้ว
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 313 ครอบครัวมู่ตกสู่ความยุ่งเหยิงแล้ว
บทที่ 313 ครอบครัวมู่ตกสู่ความยุ่งเหยิงแล้ว
บทที่ 313 ครอบครัวมู่ตกสู่ความยุ่งเหยิงแล้ว
ปัง ๆๆ! เสียงเคาะหนัก ๆ บนประตูปลุกคนในครอบครัวแม่เฒ่าเจียงให้ตื่นขึ้น
ฟ้าสางแล้ว คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านล้วนไปทำงานในไร่ในสวน คนในครอบครัวมู่เกียจคร้านกว่าผู้อื่น ยังไม่มีผู้ใดตื่นมาทำงานทั้งสิ้น
เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น คนเหล่านั้นยังคงเกี่ยงกันไปเปิดประตู
“ภรรยาเจิ้งอี้ เจ้าออกไปเปิดประตูซิ” ถังซื่อเคาะผนัง ตะโกนไปยังห้องข้าง ๆ
คนถูกเรียกเบ้ปาก แสร้งทำเป็นเมินเฉย
เสียงเคาะประตูยังคงดังต่อไป
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากห้องข้าง ๆ ถังซื่อจึงลุกขึ้นก่นด่า
“บ้านผู้อื่นแต่งสะใภ้เหมือนบ้านเรา แต่สะใภ้บ้านอื่นเขาปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่สามีทุกอย่าง สะใภ้บ้านเรารู้จักแต่ล่อลวงบุรุษ แม้กระทั่งอาหารก็ทำไม่เป็น”
“พอได้แล้ว โหวกเหวกโวยวายอะไรตั้งแต่เช้า?” มู่ต้าไห่ตะคอกขึ้นมาอย่างหมดความอดทน
“รู้จักแต่ตะคอกใส่ข้า! ข้าว่าพวกท่านแต่ละคนสภาพราวกับผี คงถูกปีศาจจิ้งจอกเขมือบแล้วกระมัง!”
มู่ซือเจียวกล่อมลูกสาวของนางที่อยู่ข้าง ๆ
ในระยะเวลาสั้น ๆ นั้น นางดูโทรมลงไปไม่น้อย
เมื่อได้ยินเสียงจากห้องข้าง ๆ มู่ซือเจียวก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สายตาของนางเยือกเย็นขึ้นมาก
เจี่ยงเสี่ยวถงอ้าปากหาว เมื่อนางหันมาเห็นมู่ตงหยวนที่อยู่ข้าง ๆ ก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
นางค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง
“ข้างนอกอึกทึกคึกโครมเพียงนี้ เจ้ายังนอนหลับได้อีก” เจี่ยงเสี่ยวถงเหน็บแนมมู่ตงหยวน
มู่ตงหยวนหลับตาไม่ปริปาก
ถังซื่อเปิดประตูโผล่หัวออกไปถาม “ผู้ใดกัน… พวกเจ้าจะทำอะไร?”
นอกประตูมีคนสวมเครื่องแต่งกายของทางการยืนอยู่ประมาณสิบคน
ทันทีที่ถังซื่อเปิดประตู คนเหล่านั้นก็บุกเข้าไป ไม่สนใจถังซื่อแต่อย่างใด
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? พ่อเด็ก ๆ! มู่ตงหยวน! พวกเจ้ารีบออกมาเร็วเข้า!” ถังซื่อหวีดร้องเสียงแหลม
เสียงนั้นไม่เพียงแต่ทำให้บุรุษสองคนที่อยู่ข้างในตกใจ แต่ยังดึงดูดความสนใจของชาวบ้านอีกด้วย
คนในครอบครัวมู่รีบพากันออกมา
พวกเขาบางคนยังคงสวมใส่เสื้อผ้าของตนเอง บางคนก้มตัวลงใส่รองเท้า แต่ละคนล้วนตื่นตระหนก
ตู้เสี่ยวเอ๋อร์และเจี่ยงเสี่ยวถงมักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอ ถ้าไม่มีคนบุกเข้ามาก็ยากนักที่จะใกล้ชิดกันเช่นนี้
“พวกเจ้าทำอะไรกัน?”
คนครอบครัวมู่พยายามหยุดพวกเขาไว้
หัวหน้าที่มาวันนี้ไม่ใช่นักการเกา ต้าหนิว หรือเอ้อร์หนิว แต่เป็นไป่หลี่หัวที่พวกเขาไม่รู้จัก
ไป่หลี่หัวนำตราสัญลักษณ์ออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางการจะใช้ระหว่างการตรวจค้น ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเห็นตรา แต่ก็เคยเห็นสัญลักษณ์ทางการบนนั้น
“แม่เฒ่าเจียงขโมยของ ข้าได้รับคำสั่งของใต้เท้าให้มาตรวจค้น เอาของที่ถูกขโมยมากลับคืนไป” ไป่หลี่หัวเอ่ยอย่างเยือกเย็น
“ขโมย… ของรึ” ถังซื่อตะลึงงัน
“หากพวกเจ้าขัดขวางพวกเรา เช่นนั้นก็จะจับไปขังคุกพร้อมกัน”
ทุกคนในครอบครัวมู่มองดาบบนเอวของเจ้าหน้าที่ทางการ พวกเขาจะกล้าขัดขวางได้อย่างไร?
“ท่านแม่ขโมยของงั้นหรือ?” ถังซื่อมองมู่ต้าไห่
มู่ต้าไห่ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
“เจ้าเป็นใบ้ไปแล้วรึ!” ถังซื่อผลักมู่ต้าไห่ “ท่านแม่จะขโมยของได้อย่างไร?”
เจี่ยงเสี่ยวถงหัวเราะเยาะขึ้นมา “ไม่แปลกใจเหตุใดนางมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากมายเพียงนี้ ที่แท้ก็ขโมยมานี่เอง ถุย เช่นนี้ยังกล้ามาสู่ขอที่บ้านข้าอีก ข้าไม่สนแล้ว ข้าจะกลับบ้าน”
“เจ้าน่ะหรือจะกลับบ้าน ครอบครัวแต่งลูกสาวออกไปก็เท่ากับสาดน้ำออกไป เจ้ากลับบ้านตอนนี้ สกุลเดิมของเจ้ายังจะต้อนรับเจ้าหรือ? นอกจากนี้แซ่เจ้ากับยายเฒ่าคนนั้นยังใกล้กัน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาปริปากบ่น หา?” ถังซื่อต่อว่า
“ข้าถูกหลอกมาที่นี่ เหตุใดจะกลับไปไม่ได้ เดิมทีแต่งงานกับเจ้าขยะผู้นี้ก็เลวร้ายพอแล้ว ตอนนี้ยังมาเกี่ยวข้องกับคดีความอีก เหตุใดข้าต้องมาตกระกำลำบากอยู่ที่นี่ด้วย?” เจี่ยงเสี่ยวถงตอกกลับ
“พอแล้ว” มู่ต้าไห่ตวาดขึ้นมา “เวลาเช่นนี้พวกเจ้ายังมาเถียงกันอยู่อีก”
หลังจากได้ยินข่าว หัวหน้าหมู่บ้านก็รีบรุดมา
ถึงตอนนี้นักการก็ค้นของที่ไม่รู้แหล่งที่มาออกมาได้ไม่น้อย
กลายเป็นว่าแม่เฒ่าเจียงเฉลียวฉลาดพอตัว
เห็นได้จากของเหล่านี้ว่า หากนางขโมยบางอย่างมา นางจะไม่ขายหรือนำออกไปจำนำในทันที กลับรอท่าสักพักกระทั่งเรื่องซาลงไปค่อยนำออกไปขาย เช่นนี้จะปลอดภัยกว่า
ดูเหมือนคนผู้นี้จะขโมยมาเป็นเวลานานแล้ว นับได้ว่าสั่งสมประสบการณ์แล้วระยะหนึ่ง
“เจ้าหน้าที่ทุกท่าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ?” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม
ไป่หลี่หัวเห็นหัวหน้าหมู่บ้านก็รู้ว่าไม่ใช่คนบ้านนี้ สุ้มเสียงจึงอ่อนลงเล็กน้อย
“เมื่อวานนี้แม่เฒ่าเจียงกัดเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ระหว่างทำปิ่นทองหล่นลงมา ปิ่นนั้นฮูหยินผู้หนึ่งทำสูญหายไป ฮูหยินมาแจ้งว่าของหายเมื่อวานนี้ เราเลยพบหัวขโมยพอดี แม่เฒ่าเจียงสารภาพแล้ว ช่วงระยะเวลานี้นางหาเลี้ยงชีพด้วยการขโมยของ ตอนนี้เราจึงมาตรวจค้นหาของที่ขโมยมากลับไป”
“เหตุใดยายเฒ่าคนนี้ถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้?” หัวหน้าหมู่บ้านโมโห “ชื่อเสียงของหมู่บ้านเราป่นปี้ย่อยยับเพราะนางแล้ว ต่อไปผู้ใดจะกล้าแต่งลูกสาวมาหมู่บ้านเราอีก ผู้ใดจะกล้าแต่งลูกสาวหมู่บ้านเราออกไป?”
เดิมทีชาวบ้านก็ชมความคึกครื้นอย่างเบิกบาน ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว สีหน้าพวกเขาก็พลันแปรเปลี่ยนฉับพลัน
“ไม่นะขอรับ ท่านเจ้าหน้าที่ ใต้เท้าของพวกท่านก็คือลู่อี้ ลู่อี้เป็นหลานเขยครอบครัวเรานะขอรับ!” มู่ต้าไห่ฉีกยิ้มประจบประแจงทันที “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนี้กระมัง?”
ไปหลี่หัวเอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ใต้เท้ากล่าวแล้ว ฮูหยินของเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้า ไม่ต้องมาอ้างความเป็นญาติ หากเจ้ากล้าพูดจาไร้สาระ เช่นนั้นก็ต้องถูกลงโทษ”
“ข้าไม่พูดแล้ว ข้าไม่พูดไร้สาระแล้ว!” มู่ต้าไห่รีบหุบปากโดยพลัน จากนั้นจึงก้าวถอยหลังกลับไป
ชาวบ้านคุยกันอื้ออึงอยู่ข้างนอก
“ลู่อี้เป็นนายอำเภอแล้ว น่าเกรงขามจริง ๆ!”
“ชู่ว! ตอนนี้ต้องเรียกว่าใต้เท้าลู่แล้ว ชื่อของใต้เท้าลู่ พวกเราเรียกง่าย ๆ ได้หรือ?” ชายที่อยู่ข้าง ๆ สอนหญิงสาวที่ไม่รู้ความคนนั้น
ข้าวของของแม่เฒ่าเจียงถูกรื้อค้นหมดแล้ว เหล่าเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจค้นไม่รั้งอยู่ พวกเขาจากไปทันที
ชาวบ้านมองครอบครัวมู่ต้าไห่ด้วยความโกรธ
“ข้าว่าแล้วว่าหมู่นี้ครอบครัวของพวกเจ้าราวกับไปพบสมบัติล้ำค่าอะไรมา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ถุย! ใช้วิธีเช่นนี้ถึงได้ให้กำเนิดลูกชายกเฬวรากออกมา” หญิงเฒ่าคนหนึ่งก่นด่าสาปแช่งอย่างโหดร้าย
“หัวหน้าหมู่บ้าน แม่เฒ่าเจียงทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงเช่นนี้ ต่อไปเราจะยังเงยหน้าได้หรือ? หากอนาคตคนจากหมู่บ้านอื่นเห็นพวกเรา มีแต่จะปฏิบัติกับพวกเราราวกับโจร หัวหน้าหมู่บ้าน ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
“ไม่หรอก” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขึ้น “หมู่บ้านของพวกเรามีนายอำเภอ นี่เป็นความรุ่งโรจน์ของหมู่บ้านเรา”
“จริงด้วย พี่น้องครอบครัวลู่ทำให้หมู่บ้านของพวกเรามีหน้ามีตา ตอนนี้ผู้ใดบ้างไม่บอกว่าฮวงจุ้ยหมู่บ้านพวกเราดี แต่มีปลาเน่าตัวนี้ออกมาเนี่ยน่ะสิ”
“เกรงว่าจะมีมากกว่าหนึ่ง แม่เฒ่าเจียงอายุก็มากโขแล้ว มือไม้จะปราดเปรียวเพียงนั้นที่ใดกัน? ไม่รู้ว่ามีผู้อื่นร่วมกันทำอีกหรือไม่”
ครั้นทุกคนในครอบครัวมู่ถูกคนในหมู่บ้านหัวเราะเยาะ ในใจก็เต็มไปด้วยไฟแค้น พวกเขาถูกข่มขู่ แต่ก็ไม่กล้าทำให้คนในหมู่บ้านขุ่นเคือง ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่อาจอยู่ในหมู่บ้านได้อีกต่อไป
ข้าวของภายในบ้านถูกรื้อค้นหมดแล้ว ทว่าบ้านหลังนี้ยังอยู่! ตราบใดที่มีบ้าน อย่างน้อยก็มีที่อยู่ ส่วนเรื่องอื่นนั้น ทำได้เพียงหาวิธีอื่นแล้ว
“เอาล่ะ พวกเราไปเถอะ!” ยิ่งหัวหน้าหมู่บ้านมองหน้าคนครอบครัวมู่เท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกปวดหัวและยิ่งรังเกียจมากเท่านั้น
คนอื่น ๆ ฟังคำหัวหน้าหมู่บ้านแล้วพากันแยกย้าย
หัวหน้าหมู่บ้านหยุดอยู่ตรงหน้าประตู จากนั้นจึงหันกลับมาเอ่ยกับมู่ต้าไห่ “ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบหญิงเฒ่าครอบครัวเจ้าผู้นั้น ทว่ายังมีคำบางคำที่อย่างไรก็ต้องเอ่ย นางทำเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าต้องลำบากแล้ว เจ้าในฐานะที่เป็นลูกของนาง ยังต้องหาเวลาไปเยี่ยมนาง หาของไปให้นางบ้าง นางจะได้อยู่ในห้องขังสบายขึ้นสักหน่อย”