สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 314 บ้านหลังนี้อยู่ไม่ได้แล้ว
ตอนที่ 314 บ้านหลังนี้อยู่ไม่ได้แล้ว
ตอนที่ 314 บ้านหลังนี้อยู่ไม่ได้แล้ว
“สามี ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?” ถังซื่อถามมู่ต้าไห่
สีหน้าของมู่ต้าไห่เริ่มหมดความอดทน “ทำอย่างไรอะไร?”
“ลูกชายของพวกเราจะทำอย่างไร?” ถังซื่อเอ่ย “เมื่อวานนี้ท่านแม่บอกว่านางจะเข้าเมืองไปหาวิธีช่วยลูกชายเรา ข้าคิดว่านางมีวิธีจริง ๆ เสียอีก นึกไม่ถึงว่ากระทั่งนางเองยังถูกจับไปด้วย นางอายุมากแล้ว ถึงลำบากก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี เราไม่จำเป็นต้องห่วงนาง แต่ลูกชายของเราเล่า? พวกเรามีลูกชายคนนี้คนเดียวนะ!”
เจี่ยงเสี่ยวถงเก็บห่อสัมภาระของนางเดินออกมา
“เจ้าจะไปที่ใด?” มู่ต้าไห่ถามนาง
“กลับสกุลเดิมของข้า สถานที่ผีสางเช่นนี้ข้าอยู่ไม่ได้แล้ว” เจี่ยงเสี่ยวถงเอ่ยด้วยสีหน้าขยะแขยง “เป็นแม่ร้างก็ช่างเถิด ถึงแม้จะรักษาหน้าไว้ไม่ได้ แต่รั้งอยู่ที่นี่ถือว่าโง่งมยิ่งกว่า”
มู่ตงหยวนเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าว่าอะไรนะ?!”
สายตาโหดเหี้ยมของเขาทำให้เจี่ยงเสี่ยวถงหวาดกลัวขึ้นมา ทว่าเมื่อนึกว่าตนไม่ต้องอยู่ในสถานที่เลวร้ายแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องรองรับความโกรธของเขาอีก นางจึงเชิดคอขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าพูดผิดหรือ แต่งงานมาเนิ่นนานเพียงนี้แล้ว เจ้าเคยทำตัวเป็นสามีด้วยหรือ?”
มู่ตงหยวนพุ่งเข้าไปบีบคอเจี่ยงเสี่ยวถง
“อ๊า!” เจี่ยงเสี่ยวถงหวีดร้องขึ้นมา
“ข้าจะฆ่าเจ้า นังหญิงแพศยา!” มู่ตงหยวนสาปแช่งเจี่ยงเสี่ยวถงด้วยสีหน้าดุร้าย
มู่ต้าไห่รีบห้ามไว้ “รีบปล่อยนางเสีย เจ้าอยากถูกจับฐานฆ่าคนตายหรือ? รีบปล่อยมือ!”
มู่ตงหยวนมองสีหน้าของเจี่ยงเสี่ยวถงที่เริ่มเขียวคล้ำ ก่อนจะออกแรงบีบหนักกว่าเดิม
พลั่ก!
มู่ต้าไห่คว้าท่อนไม้ใกล้ ๆ ตีไปบนศีรษะของมู่ตงหยวน
ศีรษะของมู่ตงหยวนปวดร้าว เมื่อเขาปล่อยมือ เจี่ยงเสี่ยวถงก็รีบโกยอากาศเข้าไปทันที
“แค่ก ๆ” เจี่ยงเสี่ยวถงคุกเข่าลงบนพื้นแล้วไอออกมา “บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว…”
มู่ตงหยวนมองมู่ต้าไห่ด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เพื่อนังหญิงแพศยาคนนี้ ท่านถึงกับตีน้องชายแท้ ๆ ของท่านเลยหรือ อย่าได้ลืมเสียล่ะ นางเป็นสตรีที่แต่งกับข้า ถึงข้าจะไม่ใช้นาง แต่ท่านก็ไม่ควรใช้”
“เจ้าพูดไร้สาระอะไร?” มู่ต้าไห่จ้องมู่ตงหยวนตาเขม็ง
“ท่านคิดว่าข้าตายไปแล้วหรือ? วันนั้นพวกท่านทำอะไรกันอยู่ในห้องครัว หรือต้องให้ข้าช่วยเตือนความจำให้ หากไม่ใช่เพราะจู่ ๆ พี่สะใภ้ก็กลับมา ท่านคิดจะเข้าห้องหออยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่?”
สายตาของมู่ต้าไห่หลุกหลิก สีหน้าอึดอัดใจเล็กน้อย
เจี่ยงเสี่ยวถงสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงคว้าเอาห่อผ้าคิดจะวิ่งหนีไป
ในตอนนั้นเอง ถังซื่อก็กรีดร้อง กระโจนลงไปบนตัวของเจี่ยงเสี่ยวถง แล้วฟาดบนใบหน้าซีกซ้ายของอีกฝ่ายไปหนึ่งฉาด จากนั้นก็ต่อด้วยใบหน้าด้านขวาอีกฉาดทันที
“นังหญิงต่ำช้าหน้าไม่อาย! สามีของเจ้าใช้ไม่ได้ ถึงกลับกล้ามายั่วยวนพี่ชายสามี นังหญิงแพศยาไร้ยางอาย! ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
มู่ตงหยวนมองคนเหล่านี้ด้วยสายตาเย็นชา
ดูสิ พวกใบหน้าน่าสะอิดสะเอียนเหล่านั้นคือคนในครอบครัวของเขา
ตอนนั้นที่เขายังเป็นผู้ติดตามคุณชายหวัง ครอบครัวไม่เคยเย็นชาใจไม้ไส้ระกำต่อเขาเพียงนี้ บัดนี้เขาไร้ประโยชน์แล้ว ไม่มีเงินแล้ว พวกเขาจึงเป็นเช่นนี้
มู่ซือเจียวกอดเด็กในอ้อมแขนของนางแน่น
นางอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ครอบครัวเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็วจะทำให้ชีวิตของนางพังพินาศ
ไม่ใช่สิ มันพังพินาศไปแล้วต่างหาก
นางต้องวางแผนเพื่อตนเองแล้ว
ถังซื่อโกรธจัดจนคลุ้มคลั่ง ตบตีเจี่ยงเสี่ยวถงเสียจนส่งเสียงร้องห่มร้องไห้ราวกับผีสาง
ครั้นตีจนเหนื่อยนางจึงหยุดมือ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเตะไปบนร่างเจี่ยงเสี่ยวถงอย่างแรง
“นังหญิงแพศยา!”
มู่ต้าไห่รู้สึกผิดจึงไม่กล้าเข้าไปยุ่ง เมื่อถังซื่อมองมาอย่างโกรธแค้น เขาก็ยกมือขึ้นมากุมหัว “โอ๊ย ปวดหัวเหลือเกิน พวกเจ้าหน้าที่ผลักข้า หัวข้าคงกระแทกแน่แล้ว ข้าขอไปพักสักหน่อย”
“ข้าจะบอกเจ้าให้นะ นอกเสียจากข้าตายไปแล้ว หากเจ้ากล้าพานังหญิงไม่ได้เรื่องได้ราวเหล่านั้นกลับมา ข้าจะทำให้เจ้าพินาศวอดวายไปด้วยกัน”
“นังหญิงบ้า เหตุใดถึงได้บ้าเพียงนี้?” มู่ต้าไห่ซ่อนตัวอยู่ในห้องด้วยความสำนึกผิด
ตู้เสี่ยวเอ๋อร์มองมู่ซือเจียว “เจ้าหน้าตาพอใช้ได้อยู่บ้าง อยากตามข้าไปเรือนวสันต์หรือไม่?”
มู่ซือเจียวขมวดคิ้วมุ่น
ตู้เสี่ยวเอ๋อร์บิดผ้าเช็ดหน้าของนาง ยิ้มหวานหยาดเยิ้มออกมา “ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้เข้าเรือนวสันต์ แต่สิ่งเหล่านั้นที่เจ้าทำกับที่แม่นางในเรือนวสันต์ทำมีอะไรแตกต่างกัน?”
“พี่ชายข้าดีกับเจ้าถึงเพียงนี้…” มู่ซือเจียวเย้ยหยัน “หากไม่ใช่เพื่อเจ้า คงไม่กลายมาเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เขาเป็นตายร้ายดีไม่แน่นอน เจ้ายังคิดจะกลับไปสถานที่เช่นนั้นอยู่อีกหรือ?”
“ข้าให้เขาทำเช่นนี้หรือไร” ตู้เสี่ยวเอ๋อร์แสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา “ไม่มีเงิน แต่กลับเข้าหอโคมเขียว*[1] ประหนึ่งลูกผู้ลากมากดี ยังกล้าวาดวิมานในอากาศให้ข้าอีก หากไม่ใช่เพราะเขานำเงินมากมายเพียงนั้นมาไถ่ถอนข้า เจ้าคิดว่าข้าจะติดตามเขามาหรือ? เห็นว่าเขาหลอกง่ายและรักข้าสุดหัวใจ นึกว่าจะได้อยู่อย่างสุขสบายสักสองสามปี นึกไม่ถึงว่าจะสร้างปัญหามากมายก่ายกองเช่นนี้ แทนที่จะใช้ชีวิตทุกข์ยากอยู่อย่างนี้ ไม่สู้กลับไปเรือนวสันต์ ต้อนรับผู้มา บอกลาผู้ไปดีกว่า”
“หญิงโสเภณีผู้นี้ใจคอโหดเหี้ยมจริง ๆ ช่างมารยาสาไถยไร้คุณธรรม” มู่ซือเจียวเย้ยหยัน
“ข้าเป็นหญิงโสเภณี แล้วเจ้าเป็นอะไร? เจ้าแย่เสียยิ่งกว่าหญิงโสเภณีอีก” ตู้เสี่ยวเอ๋อร์กระซิบใกล้ ๆ หูมู่ซือเจียว “เจ้าเบิกตาดูเอาเถอะ พี่ชายของเจ้าไร้ประโยชน์แล้ว ย่าของเจ้าก็กลับมาไม่ได้แล้ว พวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นหนอนดูดเลือด เจ้าคิดว่าพ่อแม่ของเจ้าจะจัดแจงลูกสาวที่หน้าตาสวยงามอย่างเจ้าอย่างไร?”
มู่ซือเจียวบีบมือตนเองแน่น นางจะไม่ให้พวกเขามาบงการนางอีกแล้ว
เรื่องของครอบครัวมู่กลายเป็นที่โจษจันของผู้คนทั้งหมู่บ้าน เมื่อเอ่ยถึงคนครอบครัวมู่ ทุกคนล้วนกล่าวอย่างดูถูก แม้แต่เหล่าสตรีที่เคยเป็นตะเภาเดียวกันกับแม่เฒ่าเจียง ตอนนี้หลบเลี่ยงได้ไกลเพียงใดก็หลบเลี่ยงไปไกลเพียงนั้น
ถึงแม้ทุกคนในครอบครัวมู่จะน่าเกลียดชังและน่าเวทนาเพียงใด ทว่าผู้คนยังคงอยากรู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไป
บุตรหลานรุ่นเยาว์ของครอบครัวมู่มีเพียงมู่เจิ้งอี้ที่เป็นหลานชาย ตอนนี้มู่เจิ้งอี้อาจต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องขังสองสามปี เช่นนั้นต่อไปมู่ต้าไห่และถังซื่อจะทำอย่างไร?
เมื่อเหยาซื่อกลับมายังแปลงผัก ชาวบ้านเห็นนางเก็บผักสดไปมากมายหลายชนิด จึงถามนางว่าจะจัดงานเลี้ยงใช่หรือไม่
“จัดงานเลี้ยงอะไรกัน? บ้านพวกเราไม่ได้มีเรื่องมงคลอะไรเสียหน่อย” เหยาซื่อตอบ “ข้าตั้งใจจะส่งไปศาลาว่าการ ให้แม่ฉาวอวี่ลองชิมดูน่ะ ที่บ้านมีอาหารหลายอย่างแล้ว กินเองไม่หมดหรอก”
“พี่หญิงเหยา ท่านกับแม่ฉาวอวี่ยังไปมาหาหาสู่กันอยู่หรือ?”
“แน่นอน แม่ฉาวอวี่ดูแลครอบครัวพวกเราเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ต้าจู้บ้านเราหางานทำในเมืองได้แล้ว นั่นก็เป็นแม่ฉาวอวี่ที่ช่วยแนะนำให้”
“ต้าจู้บ้านท่านไม่ได้ไปทำงานที่ร้านของนางหรือ? ข้าว่านะ แม่ฉาวอวี่ไม่เพียงแต่เป็นฮูหยินนายอำเภอ ทว่ายังมีร้านออกใหญ่โตเช่นนั้นอยู่ในมือ หากนางดีกับพวกท่านจริงละก็ ควรจัดแจงต้าจู้ให้ทำงานในร้านนางสิ!”
“ร้านนั้นบ้านพวกเจ้าเปิดหรือ ถึงคิดจะทำอะไรตามใจ? แม่ฉาวอวี่ทำเช่นนี้เพราะนางมีความคิดของนาง หากเจ้ามีสมองอย่างนาง จะรู้จักแต่เช็ดก้นให้หลานชายอยู่ที่บ้านหรือ?” เหยาซื่อกล่าวด้วยความโมโห
“เจ้าคนนี้เหตุใดไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วนะ!”
“ข้าไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วหรือ? หากข้าไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วจริง ๆ ข้าคงตกหลุมพรางของเจ้าไปแล้ว เจ้าทนเห็นพวกเรามีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่ได้ใช่หรือไม่? หากข้าเป็นเจ้านะ ข้าจะห่วงเรื่องครอบครัวของตนเอง ไม่ใช่เอาแต่ริษยาผู้อื่นเช่นนี้”
สตรีที่ถูกต่อว่าผู้นั้นหาบน้ำจากไปพร้อมบ่นกระปอดกระแปด อย่างไรเสียพูดไปก็ไร้ประโยชน์
เหยาซื่อไม่สนใจหญิงผู้นั้นอีก นางทำเรื่องที่ตนกำลังทำอยู่ต่อไป
พวกชาวบ้านเข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจว่าเหตุใดมู่ซืออวี่จึงดูแลเหยาซื่อเป็นอย่างดี เพราะเหยาซื่อซาบซึ้งใจกับความปรารถนาดีของผู้ให้ความช่วยเหลือนี่เอง หากพวกเขาพบคนเช่นนี้ พวกเขาย่อมยินดีจะสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนางเช่นกัน
[1] หอโคมเขียว คือ หอนางโลม