สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 318 แม่เฒ่าเจียงคุกเข่าลงอ้อนวอน
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 318 แม่เฒ่าเจียงคุกเข่าลงอ้อนวอน
บทที่ 318 แม่เฒ่าเจียงคุกเข่าลงอ้อนวอน
บทที่ 318 แม่เฒ่าเจียงคุกเข่าลงอ้อนวอน
แม่เฒ่าเจียงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว น้ำตาหลั่งไหลลงมาอาบสองแก้ม
นางคลานเข้ามา จับลูกกรงเหล็กไว้ มองมู่ซืออวี่อย่างวิงวอน “ซืออวี่ ข้าขอร้องเจ้าล่ะ ได้โปรดช่วยอี้เอ๋อร์ด้วย ข้าขอร้อง”
“ท่านทำผิดร้ายแรงเพียงนี้ ข้าช่วยท่านไม่ได้หรอก” มู่ซืออวี่ตอบอย่างไม่แยแส
“สามีของเจ้าเป็นนายอำเภอ โทษสถานใดก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของเขาไม่ใช่หรือ? ซืออวี่ ข้าเป็นย่าของเจ้า เจ้าช่วยข้าเถอะ ใช่ แต่ก่อนข้าไม่ดีกับเจ้า ต่อไปข้าจะเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า หากเจ้าบอกให้ข้าไปทิศตะวันออก ข้าจะไม่ไปทิศตะวันตก ข้าจะเป็นบ่าวรับใช้เจ้า ขอแค่เพียงเจ้าช่วยชีวิตข้า ช่วยชีวิตพี่ชายของเจ้า ไม่ว่าเรื่องใดข้าล้วนเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง”
“โอรสสวรรค์ทำผิดยังโทษเทียบเท่าสามัญชน เหตุใดท่านจึงคิดว่าตนจะเป็นข้อยกเว้น?” มู่ซืออวี่มองแม่เฒ่าเจียงแล้วเอ่ยเบา ๆ “ไม่มีผู้ใดช่วยพวกท่านได้หรอก หากรู้ว่ามีวันนี้ เหตุใดยังคงทำเช่นนั้น”
แม่เฒ่าเจียงเห็นว่ามู่ซืออวี่ไม่ช่วยตนแน่แล้ว ก็ได้แต่ตะโกนตามหลัง “มู่ซืออวี่ เจ้าอย่าได้ชะล่าใจไป! ต้องมีสักวันที่เจ้าอับโชค สามีของเจ้าเป็นขุนนางแล้ว เจ้ายังคิดว่าเขาจะยังชอบหญิงบ้านนอกบ้านนาอย่างเจ้าหรือ! ถึงตอนนั้นเขาอยากมีสตรีมากน้อยเพียงใด เขาก็จะมีตามที่เขาต้องการ เจ้าไม่ควรค่าแม้กระทั่งเป็นสาวใช้ผู้หนึ่งของเขาด้วยซ้ำ”
“เจ้า! นังหญิงแพศยาอกตัญญู เจ้าจะต้องไม่ได้ตายดี ข้าขอสาปแช่งให้ชีวิตนี้ของเจ้าถูกหย่าร้าง ปีศาจที่เจ้าเบ่งออกมาสองตัวนั่นจบไม่สวยแน่”
นักการเกามองลู่อี้ที่อยู่ข้างเขาอย่างกระอักกระอ่วน
เดิมทีพวกเขามาไต่สวนนักโทษอีกคดีหนึ่ง แต่กลับพบมู่ซืออวี่เข้าพอดี บนตัวของลู่อี้ยังมีเลือดหลงเหลืออยู่ พวกเขากลัวว่าจะทำให้นางตกใจจึงหลบอยู่ในมุมมืด นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับฉากนี้
ยายเฒ่าแซ่เจียงผู้นั้นคงเบื่อหน่ายชีวิตแล้วจริง ๆ นางกล้าก่นด่าสาปแช่งถึงขั้นนี้ เป็นคนโง่เขลาที่ไม่กลัวตายโดยแท้
“ในเมื่อนางพูดคำพูดน่าฟังไม่เป็น เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว” ลู่อี้มองนักการที่รับผิดชอบเฝ้าห้องขังนิ่ง ๆ “เส้นทางที่ถูกเนรเทศไปลำบากเล็กน้อย หากนางหุบปากเสีย นางอาจจะรอดชีวิตไปถึงที่หมาย”
“ขอรับ ขอรับ” นักการรับคำสั่ง
ลู่อี้เดินออกไปข้างนอก
นักการคนนั้นมองนักการเกาแล้วกระซิบกระซาบ “สหายเกา ที่ใต้เท้าเอ่ยว่า ‘ไม่ต้องพูด’ คือ…”
“เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่มามากกว่าสิบปี ยังต้องให้ข้าสอนว่าทำให้คนผู้หนึ่ง ‘หยุดพูด’ อย่างไรอีกหรือ? ใต้เท้าบอกว่า ‘หยุดพูด’ ความหมายตรงตามตัวอักษร หญิงผู้นี้จิตใจอำมหิต เจ้าทำเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเสีย”
สองสามวันมานี้มู่ซืออวี่ไม่ได้ออกไปนอกศาลาว่าการบ่อยนัก
เพื่อมู่เจิ้งอี้ลูกชายที่ล้ำค่าของตนแล้ว ถังซื่อและมู่ต้าไห่จะต้องมาหานาง ขอให้นางช่วยเหลืออย่างแน่นอน มู่ซืออวี่คร้านจะตอแยกับพวกเขา จึงทำเพียงหลบเลี่ยงไม่พบใครจนกว่าจะรู้วันเนรเทศของมู่เจิ้งอี้และแม่เฒ่าเจียง
“ฮูหยิน ถังซื่อและมู่ต้าไห่มาหานายท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ ท่านคาดเดาได้อย่างไรเจ้าคะ นายท่านไม่ได้พบพวกเขา แต่สั่งโบยพวกเขาสิบไม้ก่อน จากนั้นโยนพวกเขาออกนอกประตูเจ้าค่ะ” จื่อซูเอ่ยอย่างตื่นเต้น
จื่อเยวี่ยนที่กำลังจัดช่อดอกไม้ที่ตัดมาจากในสวนเอ่ยขึ้นเบา ๆ “สองคนนี้โง่งมจริง ๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแล้ว เหตุใดต้องมาหาเรื่องให้เดือดร้อนด้วย?”
“พวกเขาไม่ได้โง่เขลา เพียงแต่ไม่ยินยอม อายุปูนนี้แล้ว ลูกชายไม่อยู่ ลูกสาวก็หายตัวไป ไม่มีใครให้พึ่งพิงอีก คิดว่าต่อไปพวกเขาจะทำอย่างไรเล่า” มู่ซืออวี่กล่าว
ถงซื่อและหูโม่ลี่ใช้เวลาอันเงียบสงบอยู่ในเรือนลู่สองสามวัน
หูโม่ลี่ไม่ได้ปิดบังถงซื่อ นางบอกเล่าเรื่องมารดาให้ฟัง ถงซื่อรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าท้ายที่สุดก็ตัดสินใจทำตามที่มู่ซืออวี่จัดการ
ในเมื่อนางไม่รู้จะจัดการอย่างไร เช่นนั้นก็ปล่อยให้คนที่รู้จัดการ ระยะนี้ถงซื่อนับว่าเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว นางไม่ใช่คนฉลาดเฉลียว ไม่ว่าเรื่องใดล้วนทำได้ไม่ดี แต่เรื่องเชื่อฟังลูกสาว นางย่อมทำได้
“พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่แม่เฒ่าเจียงและมู่เจิ้งอี้ถูกเนรเทศแล้ว”
คืนนั้น ลู่อี้กล่าวกับมู่ซืออวี่ที่อยู่ในอ้อมแขน
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปดูเสียหน่อย” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าอยากเห็นพวกเขาออกจากโลกของพวกเราไปด้วยสายตาตนเอง ต่อจากนี้ไป หูของข้าก็จะสงบแล้ว ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับพวกเขาอีกแล้ว”
“ได้ ข้าจะไปกับเจ้า”
“ท่านไม่ยุ่งอยู่หรือ?”
“มีเวลาน้อยนิดที่ยังพอออกมาได้บ้าง”
มู่ซืออวี่ซุกเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ฟังเสียงหัวใจของเขาเต้น
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่มีเขาอยู่ข้างกาย นางจะรู้สึกสงบสุขเสมอ…
วันต่อมา แม่เฒ่าเจียงและมู่เจิ้งอี้ก็ถูกนำตัวออกมา
ทั้งสองอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง เสื้อผ้าบนตัวมีกลิ่นเหม็นหึ่งโชยออกไปไกล ผู้คนรอบ ๆ หลบหลีกพวกเขาออกไปไกลราวกับพวกเขาเป็นโรคติดต่อร้ายแรง สายตาที่จ้องมองมายังย่าหลานคู่นี้เต็มไปด้วยความรังเกียจ
“ยายเฒ่าคนนั้นแก่แล้ว ยังจะทำอะไรได้?”
“นางทำได้หลายเรื่องเชียวล่ะ เจ้ารู้เรื่องขโมยกระมัง ยายเฒ่าคนนั้นติดนิสัยลักเล็กขโมยน้อย ว่ากันว่าของที่นางขโมยมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ตำลึงเงินเชียวนะ”
“มากขนาดนั้นเชียวรึ?”
ถังซื่อและมู่ต้าไห่มองดูมู่เจิ้งอี้จากฝูงชน
แม่เฒ่าเจียงเป็นอย่างไร พวกเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่มู่เจิ้งอี้เป็นลูกชายของพวกเขา เหตุใดจึงกลายมาเป็นเช่นนี้ นี่คิดจะบีบให้พวกเขาสองสามีภรรยาต้องตายหรือไร
“ลู่อี้! ลู่อี้!” มู่ต้าไห่เห็นลู่อี้และมู่ซืออวี่ก็ปรี่เข้าไปหาอย่างทุลักทุเลทันที
ถึงแม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว รอยแผลที่หลงเหลือจากการถูกโบยถึงสิบไม้ไม่ได้หายเร็วเช่นนั้น
เมื่อได้ยินว่าสองย่าหลานจะถูกเนรเทศออกไปสถานที่ห่างไกลวันนี้ มู่ต้าไห่และถังซื่อจึงลากร่างผุพังของตนรุดมา
แม่เฒ่าเจียงเห็นมู่ต้าไห่ก็ตะโกน ‘อ๊ะ อ๊ะ’ ขึ้นมาอย่างดีใจ
มู่ต้าไห่ได้ยินแล้วหน้าพลันแข็งค้าง ความขุ่นเคืองหยุดชะงัก
ตอนแรกเขาคิดจะสะสางบัญชีกับลู่อี้ จึงวิ่งมาทางที่อีกฝ่ายอยู่ทันที แม่เฒ่าเจียงอยู่ใกล้พอดี จึงเห็นว่าลิ้นนางหายไปแล้ว
เขายังจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
แผ่นหลังของเขาเย็นเฉียบ ฝ่าเท้าของเขาก็เย็นเฉียบเช่นกัน
ลู่อี้มองมู่ต้าไห่อย่างเยือกเย็น
นักการเกาเย้ยหยันว่า “ชื่อของใต้เท้าลู่เป็นสิ่งที่เจ้าเรียกได้หรือ? ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ได้บทเรียน เด็ก ๆ พาตัวเขาไป โบยเพิ่มอีกสิบไม้”
นักการสองคนคุมตัวมู่ต้าไห่ไปแล้ว
มู่ต้าไห่พยายามดิ้นให้หลุด เขาบาดเจ็บอยู่แล้ว จะเป็นคู่มือนักการสองคนที่จับผู้ร้ายทั้งปีได้อย่างไร?
ถังซื่อพลันหวาดกลัว ไม่กล้าวุ่นวายอีก แต่เมื่อเห็นสภาพของมู่เจิ้งอี้ หัวใจของถังซื่อราวกับถูกมีดมากมายนับไม่ถ้วนทิ่มแทง
“เจ้าเด็กโง่คนนี้ เจ้าเด็กโง่ เพื่อสตรีในหอโคมเขียวผู้หนึ่งเจ้ากลับทำให้ตนเองกลายเป็นเช่นนี้ เกิดเรื่องกับเจ้าแท้ ๆ แต่นางกลับหอโคมเขียวเป็นหญิงโสเภณีต่อไปแล้ว ภายหน้าพ่อแม่จะทำอย่างไรเล่า?”
สายตาของมู่เจิ้งอี้เหลือเพียงความว่างเปล่า
ได้ยินคำพูดของถังซื่อแล้ว เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรไป
ระหว่างช่วงเวลาที่มู่เจิ้งอี้อยู่ในห้องขัง เขาครุ่นคิดมามากมายแล้ว เพื่อสตรีเช่นนั้นผู้หนึ่ง เขากลับทำลายชีวิตตนเองจนย่อยยับ เสียดายนักที่ทำเช่นนั้นลงไป
ทว่าในโลกนี้ไม่มียาแก้เสียดาย เขาไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
ถงซื่อและมู่เจิ้งหานก็มาดูเช่นกัน
เมื่อเห็นสภาพน่าอนาถของแม่เฒ่าเจียง ทั้งสองก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
แม่เฒ่าเจียงเคยเป็นขุนเขาที่ไม่อาจสั่นคลอน ไม่เคยตระหนักกระทั่งวันนี้ว่าแม่เฒ่าเจียงไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พวกเขาคิด นางกับลูกชายต่างหากที่อ่อนแอ
สองย่าหลานถูกเจ้าหน้าที่คุมตัว เนรเทศไปยังสถานที่อันแสนห่างไกล
จบเรื่องนี้แล้ว ไม่นานคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไป