สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 32 โชคดีที่พ่อเจ้ายังอยู่
บทที่ 32 โชคดีที่พ่อเจ้ายังอยู่
บทที่ 32 โชคดีที่พ่อเจ้ายังอยู่
มู่ซืออวี่และลู่อี้หันไปมองลู่จื่ออวิ๋นที่กำลังเกาะอยู่ตรงนั้น ก่อนจะโยนของที่อยู่ในมือทั้งหน้าทั้งหลังทิ้งไป แล้วรีบวิ่งไปหาทันที
พวกเขายังไม่ทันจะวิ่งไปถึง เสียงหน้าต่างแตกดัง ‘ปึง!’ ก็ดังขึ้นมา
ร่างเล็กบอบบางน่ารักของลู่จื่ออวิ๋นร่วงลงไปกระแทกหินก้อนเล็กทันที
“โอ๊ย!” นางร้องออกมาด้วยความตกใจกลัว
มู่ซืออวี่หน้าเผือดสี เร่งฝีเท้าแต่ก็ไปไม่ทัน
นางเพียงแค่หวังว่าความเร็วของลู่อี้จะเร็วมากพอที่จะช่วยลดการได้รับบาดเจ็บของเด็กน้อยได้
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับนางแล้ว ภาพนี้ราวกับหยุดชะงักเอาไว้ หัวใจเต้นรัวเร็วจนแทบจะหลุดออกมาด้านนอก
ลู่เซวียนก็วิ่งออกไปเพียงไม่กี่ก้าว แต่ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป แค่ก้าวออกไปไม่กี่ก้าวเขาก็ไม่มีแรงแล้ว เท้าชายหนุ่มอ่อนแรงจนต้องล้มพับนั่งลงกับพื้น เขาได้แต่มองไปทางลู่จื่ออวิ๋นด้วยสายตาหวาดกลัว
“อวิ๋นเอ๋อร์! เป็นอะไรหรือไม่?” ถงซื่อที่นั่งอยู่ด้านในเห็นสถานการณ์นี้ก็ลงมาจากเตียง แต่เพราะเจ็บบาดแผล ทำให้นางไม่สามารถไปไหนได้ “ลูกอวี่ อวิ๋นเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ลู่อี้ม้วนตัว เหยียดแขนออกไปรับลู่จื่ออวิ๋นจากด้านล่าง
ตุ้บ!
ลู่จื่ออวิ๋นร่วงลงมาสู่อ้อมแขนของเขาพอดี
มู่ซืออวี่เพิ่งมาถึง เมื่อเห็นว่าหน้าของลู่จื่ออวิ๋นซีดลงด้วยความตกใจ นางก็คุกเข่าลงแล้วจับมือเล็ก ๆ ของลูกสาวขึ้นมา “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ริมฝีปากของลู่จื่ออวิ๋นสั่นเครือ นางหลั่งน้ำตาออกมา ก่อนจะทิ้งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของมู่ซืออวี่ “ท่านแม่…”
ลู่อี้อุ้มลู่จื่ออวิ๋นส่งให้นาง
มู่ซืออวี่รีบปลอบเสียงนุ่ม “ไม่เป็นไรแล้วนะ ต่อไปอย่าทำเรื่องอะไรที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก โชคดีที่วันนี้พ่อของเจ้าอยู่ด้วย มิเช่นนั้นเจ้าอาจะตกลงมา ไม่เป็นไรแล้ว… ไม่เป็นไรแล้ว…”
ลู่เซวียนยันพื้นลุกขึ้นพลางมองดูแม่และลูกสาวโอบกอดกัน หลังจากนึกตามที่ลู่อี้พูด ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกของลู่อี้แล้ว
ไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร เพียงแค่ขอให้นางจริงใจต่ออวิ๋นเอ๋อร์และฉาวอวี่ นั่นก็เพียงพอที่จะเป็นท่านแม่ของเด็กสองคนนี้ได้แล้ว
“ลูกอวี่…” ถงซื่อล้มลงที่พื้นแต่ก็ลุกขึ้นได้ นางเดินมายืนที่หน้าต่างแล้วถามขึ้นว่า “อวิ๋นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่านแม่วางใจเถิด นางแค่ตกใจ ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ท่านรีบกลับไปนั่งเถิด แผลก็ยังไม่หายดี ระวังปากแผลจะเปิดออกมาล่ะ” มู่ซืออวี่ตอบถงซื่อ
ถงซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับมาอย่างวางใจ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
มู่ซืออวี่อุ้มลู่จื่ออวิ๋นให้ลุกขึ้นยืน นางเห็นว่าแขนของลู่อี้ดูแปลกไปจึงเอ่ยถามทั้งที่คิ้วขมวดว่า “แขนของเจ้าได้รับบาดเจ็บรึ?”
“ไม่” ลู่อี้ตอบเสียงเบา “เจ้าอยู่กับอวิ๋นเอ๋อร์ไปเถิด ขาดเหลืออะไรค่อยบอกข้า ข้าจะมาทำให้”
“ทำรึ ทำอะไร? มือเจ้าได้รับบาดเจ็บแล้วนั่น” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ปล่อยวางก่อนเถิด เราไม่ได้เร่งรีบอะไร รออีกสักสองสามคืนก็ได้”
“ท่านพี่ ข้ายังมียาอยู่บ้าง รีบทายาก่อนเถิด” ลู่เซวียนเดินเข้ามา
“ไม่ได้บาดเจ็บมากถึงเพียงนั้น ผ่านไปสักสองสามวันมันก็ดีขึ้นแล้ว”
สำหรับตระกูลลู่แล้ว ยาถือว่าเป็นสิ่งที่แพงมาก
“เจ้าต้องทายา จะได้ดีขึ้นไว ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “อวิ๋นเอ๋อร์ตกลงมาจากหน้าต่างพอดีกับตอนที่ท่านเข้าไปรับนางไว้ได้ในอ้อมแขน ท่านยังจะทำงานอยู่รึ มือนี้ไม่มีประโยชน์แล้วสิ”
“ลูกเขย เจ้าทายาเถิด เจ้าเป็นเสาหลักของครอบครัว จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าไม่ได้นะ” ถงซื่อกล่าวอย่างเห็นด้วย
“ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้ตัวหนัก ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร” ลู่อี้แกว่งแขนไปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีปัญหาอะไร
“ท่านพ่อ… ข้าขอโทษ… ” ลู่จื่ออวิ๋นที่เพิ่งหยุดร้อง พอเห็นว่าแขนของลู่อี้ใช้การไม่ได้จึงร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านทายาได้หรือไม่ ข้าไม่อยากให้ท่านแขนหัก”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานเพิ่งจะแบกฟืนกลับมาถึง
เมื่อเห็นว่าลู่จื่ออวิ๋นร้องไห้เช่นนี้ ลู่ฉาวอวี่จึงใช้สายตาเย็นชามองไปทางมู่ซืออวี่ “ท่านทำอะไรนาง?”
มู่ซืออวี่ชำเลืองมองเขา “ท่านพ่อกับท่านอาของเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะทำอะไรได้”
ลู่ฉาวอวี่คิดตาม แต่เขาก็ยังกังวลใจเพราะสิ่งที่นางเคยทำในอดีต เขาจึงไม่สามารถไว้วางใจนางได้ เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต สีหน้าของเขาก็ครึ้มลง
“ท่านพี่… ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าพลาดเองเจ้าค่ะ”
ลู่ฉาวอวี่วางฟืนลงบนพื้นแล้วยื่นมือไปหานาง “หน้าดำเช่นนี้ ขอทานยังดูดีกว่าเจ้าเสียอีก ข้าจะพาเจ้าไปล้างหน้าเอง”
ระหว่างที่ลู่ฉาวอวี่พาลู่จื่ออวิ๋นไปล้างหน้า เด็กชายก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาออกมาพร้อมยาในมือแล้วพูดกับลู่อี้ว่า “ทายาเถิด”
มู่เจิ้งหานกำลังย้ายกองฟืนเหล่านั้นไปที่อื่น
มู่ซืออวี่จึงนำชามใส่ถั่วเขียวหวานแช่เย็นด้วยน้ำบ่อมาให้ “ดื่มเถิด ฟืนเพียงพอสำหรับสองวันแล้ว เจ้าไม่ต้องขึ้นไปบนภูเขาอีกแล้ว”
“ข้าไม่เหนื่อย” มู่เจิ้งหานลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ “ท่านให้ท่านแม่ดื่มเถิด ข้าไม่ดื่มแล้ว”
“ข้ามีถั่วเขียวหวานพอให้ทุกคน เจ้ากำลังโต ควรพักเมื่อถึงเวลาพัก อย่าฝืนตัวเอง ถ้าอยู่บ้านลู่แล้วยังต้องทำงานเหมือนอยู่บ้านมู่ อย่างนั้นก็กลับไปอยู่บ้านมู่สิ ข้าเป็นพี่สาวเจ้า เจ้าต้องฟังคำข้าไม่ใช่หรือ”
“หลายปีมานี้ ข้าอยากได้ท่านเป็นพี่สาวเช่นนี้ ข้าควรจะมีความสุขก็จริงอยู่ แต่บ้านของท่านกำลังลำบาก ข้าคิดดีแล้ว ตอนนี้ท่านแม่ก็ยังเจ็บอยู่ รอท่านแม่ดีขึ้นเมื่อไหร่ ข้าจะพาท่านแม่ออกไปอยู่ด้วย” มู่เจิ้งหานพูด “พวกข้าจะคืนเงินค่ายาที่ติดค้างท่านด้วย”
“เจ้าเป็นแค่เด็กคนเดียวจะพาท่านแม่ออกไปใช้ชีวิตได้อย่างไร” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว
“หานเอ๋อร์พูดถูก” ถงซื่อที่ไม่รู้ว่ามายืนที่ประตูห้องตั้งแต่เมื่อไรเอ่ยขึ้น
“เหตุใดถึงลงมาจากเตียง” มู่ซืออวี่ยื่นมือออกไปช่วย
มู่เจิ้งหานก็เข้าไปช่วยอีกแรง
ถงซื่อดึงมือของเด็กทั้งสองคนเข้ามาแล้วพูดว่า “ถึงอย่างไรข้าก็จะไม่รบกวนพวกเจ้า พวกเจ้ายังมีครอบครัวที่ต้องดูแล เดี๋ยวข้าออกไปหาหมู่บ้านตีนเขาแล้วสร้างบ้านสักหลังอยู่ที่นั่น รอข้าหายดีก่อน ข้าจะรับจ้างซักผ้าให้กับผู้คน ถึงอย่างไรข้าก็มีทางออกนั่นแหละ”
“ดูแลร่างกายให้ดีก่อนค่อยพูด ท่านกลับไปนอนบนเตียงก่อนเถิด” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “ข้าจะไปดูว่าอวิ๋นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
หากถงซื่อยืนยันที่จะทำเช่นนี้ นางก็จะไม่หยุด แม้ว่านางอยากจะดูแลแม่ แต่นี่คือบ้านตระกูลลู่ พวกเขาจะรู้สึกไม่สบายใจก็ไม่แปลก
ตราบใดที่ออกจากบ้านตระกูลมู่ได้ ชีวิตของพวกเขาก็ไม่เลวร้ายเกินไปแล้ว หากพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ นางก็จะช่วยเอง
ลู่เซวียนกำลังทายาให้ลู่อี้ มือข้างที่ได้รับบาดเจ็บเปลี่ยนเป็นสีแดงช้ำ
ลู่ฉาวอวี่มองอยู่ข้าง ๆ ลู่จื่ออวิ๋นด้วยใบหน้าเย็นชา ในใจก็ยังรู้สึกผิด
มู่ซืออวี่ตะโกนเรียก “ตอนเย็นจะทำของอร่อยให้กินบำรุงร่างกาย ไม่ต้องทำงานหนักล่ะ อีกไม่กี่วันจะได้ดีขึ้น”
“พวกเจ้าไปทำธุระของตนเองเถอะ ข้าไม่เป็นไร” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ฉาวอวี่ ขึ้นไปบนภูเขากับพ่อ ไปดูว่าในกับดักมีเหยื่ออยู่หรือไม่”
“ขอรับ”
“ให้ข้าไปด้วยสิ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่ตลอด จนไม่มีเวลาขึ้นไปดูบนภูเขาเลย”
“ได้”
ขึ้นภูเขาครั้งนี้เปลี่ยนจากสองคนเป็นห้าคน ไม่เพียงแต่มู่ซืออวี่เท่านั้น ยังมีลู่จื่ออวิ๋นและมู่เจิ้งหานที่ตามไปด้วย
ในบ้านจึงเหลือเพียงแค่ลู่เซวียนและถงซื่อ
ทุกคนเดินไปยังภูเขาท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่จ้องมองอยู่
“เห็นแล้วหรือไม่ พ่อหนุ่มคนนั้นจากตระกูลลู่เลี้ยงแม่ยายกับน้องเมียไว้ในบ้านจริง ๆ ด้วย สะใภ้ถงเจ็บป่วยอ่อนแอมาแรมปี ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจอลูกเขยโง่ ๆ จากตระกูลลู่”
“สะใภ้ถงก็น่าสงสารเช่นกัน นางบาดเจ็บมาก หากไม่มีใครดูแลนาง นางอาจจะไม่รอด ยังดีที่ครอบครัวมู่มีชีวิตชีวามากขึ้น แต่วันนี้แม่เฒ่าเจียงกับลูกสะใภ้ใหญ่ทะเลาะกันด้วยนะ”
“จริงรึ วันนี้ข้ากลับไปที่บ้านของท่านแม่ก็ไม่เห็น เหตุใดถึงทะเลาะกันขึ้นมาได้เล่า?”