สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 330 ลู่อี้ เจ้าช่างบังอาจนัก
บทที่ 330 ลู่อี้ เจ้าช่างบังอาจนัก
บทที่ 330 ลู่อี้ เจ้าช่างบังอาจนัก
ณ จวนเจี่ยง เจี่ยงถิงจือโอบกอดนางบำเรอที่เขาเพิ่งรับมาไว้ในอ้อมแขน ทันใดนั้นคนรับใช้คนสนิทของเขาก็เข้ามาแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เจี่ยงถิงจือปล่อยผู้หญิงในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “เจ้าออกไปก่อน”
หลังจากที่นางบำเรอออกจากห้องไปแล้ว คนรับใช้ของเขาก็รายงานตามความเป็นจริง “ใต้เท้าขอรับ สินค้า ‘ว่านเซียงถัง’ ของเราหายไปหมดแล้วขอรับ”
“เกิดอะไรขึ้น?” เจี่ยงถิงจือถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มีคนแอบเข้าไปในว่านเซียงถัง คนของเราค้นหาทั่วบริเวณแล้ว ผลที่ได้…”
“พูดมา!”
“ตายหมดเลยขอรับ”
เจี่ยงถิงจือลุกยืนขึ้นทันที สายตาของเขาเหี้ยมเกรียม “ตายหมดเลยหรือ?”
“คนคุ้มกันสามสิบห้าคนที่เฝ้าอยู่ที่นั่นตายหมดเลยขอรับ” คนรับใช้กล่าว “เมื่อบ่าวทราบข่าว ก็มีเพียงซากปรักหักพังเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่มีเบาะแสใดหลงเหลืออยู่เลยขอรับ”
“แล้วผู้หญิงเหล่านั้นอยู่ไหน?”
“ไม่พบศพขอรับ ทว่าพบรอยเท้าในที่เกิดเหตุ น่าจะถูกพาตัวไปขอรับ”
“เจ้าบอกว่าเมื่อสองสามวันก่อนมีคนมาตรวจสอบเรา รู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด?”
“ดูเหมือนว่าจะมาจากเมืองฮู่เป่ยขอรับ”
“เมืองฮู่เป่ยหรือ?” เจี่ยงถิงจือนึกถึงลู่อี้ที่เขาเคยเจอมาก่อน
เขาเคยพบกับลู่อี้มาก่อน อย่างไรเสียเขาก็เป็นหัวหน้าของที่นี่ เมื่อครั้งที่ลู่อี้ได้เป็นนายอำเภอเป็นครั้งแรก ขุนนางคนสำคัญจากทั่วเมืองย่อมต้องไปพบปะกับเขา ตอนนั้นจึงได้พบกัน
“ลู่อี้นั่นจะบังอาจต่อกรกับข้าหรือ?” เจี่ยงถิงจือเย้ยหยัน “ข้าจะไปพบเขา”
ยามค่ำคืน กองคาราวานเดินทางบุกป่าฝ่าดง มุ่งหน้าไปยังหรงเฉิงที่อยู่ห่างจากเมืองฮู่เป่ยหลายร้อยลี้
มีรถม้ามากกว่าสิบคัน ในรถม้าแต่ละหลังมีหญิงสาวสิบคนนั่งอยู่
ผู้หญิงเหล่านี้มีใบหน้าซีดเซียว แววตาว่างเปล่าราวกับศพเดินได้
“พี่หวา เราได้ออกจากเขตใต้บังคับบัญชาของเขาแล้ว ที่นี่น่าจะปลอดภัยดี เหตุใดไม่แวะพักที่นี่เล่า มันไม่ง่ายเลยที่จะเดินทางยามค่ำคืน เพราะมันง่ายที่รถม้าจะวิ่งลงไปในคลอง”
“ก็ได้ พักผ่อนที่นี่” ไป่หลี่หัวกวาดสายตามองโดยรอบแล้วพูดว่า “แต่น่าจะมีสัตว์ร้ายผ่านไปมาแถวนี้ ก่อกองไฟอีกสองสามกอง แล้วหาอะไรกินกัน”
“รับทราบ”
เมื่อทุกคนพักผ่อน หญิงสาวที่อยู่ข้างในก็ออกมาเช่นกัน
หญิงสาวที่ดูไร้ความรู้สึกเหล่านั้นมีมากกว่าร้อยคน แต่ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาสักคำ ไม่เพียงเท่านั้น พวกนางยังดูราวกับว่าได้รับการฝึกพิเศษมา ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของพวกนางเลย ทั้งป่าดงจึงมีเพียงเสียงผู้ชาย
“พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ พวกเจ้าควรกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยพักผ่อน” ไป่หลี่หัวพูดกับหญิงสาวเหล่านั้น
หญิงคนหนึ่งก้าวมาหาไป่หลี่หัว “นายท่าน ข้าขอพูดอะไรสักหน่อยได้หรือไม่?”
ไป่หลี่หัวเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นดูลังเล ราวกับว่านางมีปัญหาบางอย่าง เขาจึงพยักหน้าตอบรับ
“มาทางนี้”
หญิงสาวคนนั้นเดินตามไป่หลี่หัวไปยังมุมที่เงียบสงบ
“ที่นี่ไม่มีใคร ดังนั้นพูด…” เมื่อไป่หลี่หัวหันกลับมา ก็ต้องกลืนคำว่า ‘มาเถิด’ ลงท้องไป เขาเห็นหญิงสาวถอดเสื้อผ้าออกอย่างชำนาญ จึงรีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
“นายท่าน ข้ายินดีรับใช้ท่าน ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิดเจ้าค่ะ!” หญิงสาวคนนั้นคุกเข่าลงกับพื้น
ไป่หลี่หัวตระหนักดีว่าการปรากฏตัวของพวกเขาไม่ได้สร้างความสบายใจให้กับหญิงสาวเหล่านั้นเลย ทว่าพวกนางกลับรู้สึกเหมือนหนีเสือปะจระเข้ ไม่แปลกใจเลยที่จะไม่มีความสุขตลอดทาง
“เจ้าลุกขึ้นก่อน แล้วใส่เสื้อผ้าด้วย” ไป่หลี่หัวพูด “อย่ากังวล พวกเราแตกต่างจากคนพวกนั้น พวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า เพียงแต่พวกเราไม่อาจเปิดเผยเรื่องที่ช่วยพวกเจ้าได้ เราจึงไม่อาจปล่อยพวกเจ้ากลับบ้านได้ ทำได้เพียงส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่อื่นที่ปลอดภัย”
สองวันต่อมา ลู่อี้เพิ่งเสร็จสิ้นการพิจารณาคดี เขากำลังจะเดินไปที่สวนหลังศาลาว่าการ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเจี่ยงถิงจือนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา กำลังอ่านเอกสารรายงานที่เขาเพิ่งเขียนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ใต้เท้าเจี่ยง”
“ใต้เท้าลู่”
เจี่ยงถิงจือมองลู่อี้
“ไม่รู้ว่าวันนี้ลมอะไรหอบท่านใต้เท้าเจี่ยงมาที่นี่” ลู่อี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ช่างบังเอิญนักที่ข้าเพิ่งได้สุราอายุห้าสิบปีมา ใต้เท้าเจี่ยงควรลองลิ้มรสมันนะขอรับ”
“แน่นอน ข้าต้องดื่มกับใต้เท้าลู่สักหน่อย” เจี่ยงถิงจือพูดอย่างเกียจคร้าน “เมื่อครู่นี้ใต้เท้าลู่ตัดสินคดี ข้าเห็นว่าทำได้ดียิ่งนัก ใต้เท้าลู่สามารถตัดสินคดีได้ล้ำเลิศ ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
“นั่นเป็นเรื่องของหน้าที่ ไม่สมควรได้รับคำชมเชยจากผู้อาวุโสเช่นนี้หรอกขอรับ”
ลู่อี้พาเจี่ยงถิงจือไปยังศาลาว่าการ เมื่อนักการเกาเห็นเช่นนั้นก็มองไปที่ลู่อี้
เจี่ยงถิงจือปรากฏตัวที่นี่ แสดงว่าค้นพบเบาะแสอะไรแล้วใช่หรือไม่?
ไม่น่าเป็นไปได้ พวกเขาไม่ได้ทิ้งเงื่อนงำใดไว้
ทว่าคดีหญิงสาวหายตัวไปทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในเมืองฮู่เป่ย ศาลาว่าการได้ส่งคนไปตรวจสอบอยู่นานครั้งหนึ่ง หากตอนนี้เจี่ยงถิงจือจะสงสัยพวกเขาก็เป็นเรื่องปกติ
ลู่อี้ไม่กลัวความสงสัย ในฐานะนายอำเภอของเมืองฮู่เป่ย เจี่ยงถิงจือไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของเขา จึงไม่มีทางจัดการกับเขาได้
ส่วนผู้บังคับบัญชาของลู่อี้ก็เรียกลู่อี้ว่าพี่น้องมานานแล้ว ทั้งยังให้ความสนใจเขามาก หากเจี่ยงถิงจือคิดจะทำอะไรเขา ผู้ใหญ่คนนั้นก็จะต้องหาทางปกป้องเขา ไม่เช่นนั้นคำว่า ‘มิตรภาพ’ ก็คงจะไม่มีความหมาย
“ใต้เท้า คุณหนูเฉินมาขอรับ” คนรับใช้รายงานลู่อี้ที่กำลังร่ำสุราอยู่
ลู่อี้สั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าไปบอกคุณหนูเฉินว่าข้ามีแขก วันนี้ไม่สะดวกให้ความบันเทิงนาง”
“คุณหนูเฉินคนนั้นสนิทกับเจ้าหรือไม่? หากสนิทก็เชิญนางเข้ามาเลย” เจี่ยงถิงจือหัวเราะ “จริงจังเกินไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ากังวลว่าข้าจะฉกฉวยนางไป?”
“ใต้เท้าโปรดอย่าล้อเล่นเลยขอรับ คุณหนูเฉินเป็นหญิงสาวตัวเล็กขี้อาย ทั้งยังมักจะประหม่า หากจู่ ๆ ต้องมาพบชายที่ไม่รู้จัก ข้าก็กังวลว่านางจะรู้สึกไม่สบายใจ” ลู่อี้พูดพร้อมกับกวักมือเรียกคนรับใช้ “เจ้าไปบอกคุณหนูเฉิน… “
คนรับใช้ฟังคำสั่งของลู่อี้แล้วรีบตอบรับ
“เป็นเพราะนางขี้อายและมักจะประหม่า นางจึงควรได้รับอนุญาตให้ออกมาดูโลกบ้าง เจ้าจะปกป้องนางเช่นนี้ตลอดไปได้อย่างไร” เจี่ยงถิงจือกล่าว
ลู่อี้ยกยิ้มฝืดเฝื่อน ไม่รู้จะทำอย่างไร
เจี่ยงถิงจือยิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่า ‘คุณหนูเฉิน’ คนนี้คือผู้หญิงของลู่อี้
แท้จริงแล้ว หากเขารู้ข้อมูลของลู่อี้คงไม่เข้าใจผิด และจะไม่ทำตัวอหังการเช่นนี้
ทว่าเขาไม่รู้จักลู่อี้ ส่วนลู่อี้กลับรู้จักเขาเป็นอย่างดี
เพื่อที่จะทำความเข้าใจคนผู้นี้ ลู่อี้ต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ากังวลว่าข้าจะแย่งคนรักของเจ้าไป?” เจี่ยงถิงจือยกยิ้มมีเลศนัย
ลู่อี้จึงจำต้องยอมตกลงอย่างไม่เต็มใจ “เช่นนั้นก็เชิญคุณหนูเฉินเข้ามา!”
“ดื่ม” เจี่ยงถิงจือยกจอกสุราขึ้น แล้วพูดเรื่องสุรากับลู่อี้ “จะว่าไปแล้วข้าไม่ได้ไปเมืองฮู่เป่ยมาสองปีแล้ว เจ้าปกครองที่นี่ จึงเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นขุนนางผู้ประเสริฐที่รักราษฎรราวกับลูกตัวเอง ไม่ทราบว่าใต้เท้าลู่มีวิธีการเป็นขุนนางชั้นเยี่ยมอย่างไร โปรดบอกข้ามา ให้ข้าเรียนรู้จากเจ้าบ้างเถิด”
“ใต้เท้าชอบล้อเล่นนัก ข้าเพิ่งดำรงตำแหน่งนายอำเภอได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น ใต้เท้าฉินทำอย่างไร ข้าก็อาศัยครูพักลักจำทำตามแบบอย่าง มิอาจเรียกว่าล้ำเลิศได้หรอกขอรับ”
เวลานี้เฉินซือจวินสวมชุดเรียบง่ายเดินเข้ามา
ครั้งนี้เป็นชุดที่เรียบง่ายมาก ไม่เหมือนกับชุดที่นางชอบสวมใส่ตามปกติ
เจี่ยงถิงจือมองเฉินซือจวิน ดวงตาของเขาฉายแววสนใจอย่างยิ่ง
“งาม งามเหลือเกิน” เจี่ยงถิงจือพึมพำ