สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 339 ร่วมมือกับตระกูลฉิน
บทที่ 339 ร่วมมือกับตระกูลฉิน
บทที่ 339 ร่วมมือกับตระกูลฉิน
“เลือดเสือ”
มู่ซืออวี่ถอนหายใจ
“ข้าอาจจะไม่ถูกกับเสือก็ได้”
เจิ้งซูอวี้ตกใจมาก นางรีบวิ่งไปหลังฉากกั้นห้อง มองมู่ซืออวี่ที่กำลังเอนกายอยู่ตรงนั้นแล้วถามว่า “เสือมาจากที่ใด ที่นี่ไม่ใช่หุบเขาหรือกลางป่าลึก จะเผชิญหน้ากับสัตว์ดุร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“จวนจงอ๋อง” มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยล้า
เจิ้งซูอวี้เงียบไปทันที
นางตื่นตระหนกจนลืมไปว่ามีจงอ๋องที่ไม่ใช่คนปกติอยู่ด้วย
“แล้วท่านไม่เจ็บเลยหรือ?”
“ไม่หรอก นี่มันเลือดเสือ”
“ดีแล้ว ไม่สิ ดีตรงไหนกัน เสือตายแล้วหรือ? ผู้ใดฆ่ามัน จงอ๋องไม่ได้ทำให้ท่านเดือดร้อนใช่หรือไม่?” เจิ้งซูอวี้ถามคำถามหลายข้อติดต่อกันอย่างกังวล
“เสือถูกจงอ๋องฆ่า เขาไม่ได้ทำให้ข้าเดือดร้อน ไม่ต้องกังวล”
เมื่อเจิ้งซูอวี้รู้สึกโล่งใจแล้ว นางก็กลับออกไปนั่งดื่มชาด้านนอกแล้วรอให้มู่ซืออวี่อาบน้ำเสร็จ
หลังจากดื่มชาไปหนึ่งถ้วย มู่ซืออวี่ก็เดินออกมาพลางคาดเอวไปด้วย
“เห็นท่านหน้าตาแจ่มใส เป็นเพราะมีสินค้าในคลังแล้วใช่หรือไม่?”
เจิ้งซูอวี้เปลี่ยนใบชาใหม่ หลังรินชาใส่ถ้วยแล้วก็ส่งสัญญาณให้มู่ซืออวี่มานั่งดื่มชาตรงข้ามนาง
“ข้าออกโรงเองทั้งที จะให้ท่านผิดหวังได้อย่างไร ว่าแต่เฟิงเจิงแจ้งข่าวอะไรมาหรือไม่ หากไม่ได้แจ้ง ก็ส่งข่าวไปให้เขาว่าไม่ต้องเตรียมการแล้ว”
“เดี๋ยวข้าจะขอให้พี่ใหญ่เซี่ยส่งจดหมายไปแจ้งทีหลัง แต่อาจจะเริ่มดำเนินการแล้ว”
“นายน้อยฉินได้ให้ข้อเสนอขอความร่วมมือ ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ท่านลองคิดดูว่าจะร่วมมือกับพวกเขาหรือไม่”
เจิ้งซูอวี้อธิบายข้อเสนอของฉินเหวินหานให้มู่ซืออวี่ฟัง
มู่ซืออวี่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรจึงพูดว่า “เขาต้องการเป็นตัวแทนจำหน่ายของเรา”
“ตัวแทนจำหน่ายคืออะไร?” เจิ้งซูอวี้ไม่เข้าใจเพราะไม่เคยได้ยินคำนี้
“เขาต้องการให้เราขายสินค้าในมือของเราให้พวกเขา นายน้อยช่างคิด ตระกูลฉินของพวกเขาทำธุรกิจค้าไม้ แม้ว่าจะมีความมั่นคงมาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ขยับขยายหาช่องทางใหม่ หากพวกเขามาเป็นตัวแทนจำหน่ายของเรา เราก็ขายสินค้าให้เขา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะทำเงินได้เท่านั้น แต่ธุรกิจของเรายังขยายตัวได้อีกมากด้วย ความจริงแล้วข้าไม่มีปัญหาหรอก เราสองคนเป็นผู้หญิง หากจะขยายสาขาก็เปิดได้มากที่สุดไม่กี่สาขาเท่านั้น ทั้งยังไม่มีทางขยายตลาดสินค้าไปทางใต้เหนือแม่น้ำใหญ่ได้ ในเมื่อตระกูลฉินมีอำนาจทางนี้อยู่แล้ว พวกเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาเถอะ”
“เช่นนั้นแสดงว่าท่านยอมตกลงหรือ?”
“ตกลงสิ! เพียงแต่ต้องคุยกันเรื่องการจัดสรรปันส่วนกำไรกันอีกที”
“ดีมาก น่ายินดีที่ได้ร่วมมือกับคนฉลาด ข้าเองก็เคยสู้กับเจิ้งซินเยว่ ทั้งยังเอาชนะนางได้ทุกครั้ง แต่… ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรแล้ว อย่างไรเสียตอนนี้ข้าก็มีชีวิตดีแล้ว”
มู่ซืออวี่มองหน้าเจิ้งซูอวี้
หากนางไม่พบวี่แววของความโศกเศร้าในดวงตาของอีกฝ่าย บางทีประโยคที่ว่า ‘อย่างไรเสียตอนนี้ข้าก็มีชีวิตดีแล้ว’ คงจะน่าเชื่อถือมากกว่านี้
เจิ้งซูอวี้อาจไม่ใส่ใจคนตระกูลเจิ้งเหล่านั้น แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใส่ใจพ่อแท้ ๆ ของตน
“หากท่านร่ำรวยขึ้น เขาจะต้องเสียใจ เขาจะร้องไห้ ขอให้ท่านยอมนับญาติกับเขาแน่นอน” มู่ซืออวี่ปลอบโยน
“ใช่ เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะไม่สนใจเขาแล้วปล่อยให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิต”
เจิ้งซูอวี้รู้ว่าพ่อของนางมีทายาทคนใหม่แล้ว บางทีอาจจะเป็นลูกชายที่เขาตั้งตารอมานาน แล้วเขาจะยังอยากนับญาตินางได้อย่างไร
แม้ว่านางจะร่ำรวย และทำธุรกิจใหญ่กว่าธุรกิจของตระกูลเจิ้ง แต่เขาก็คงไม่เสียใจ เพราะตระกูลเจิ้งถือเป็นตระกูลที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ไม่ได้ต้องการเงินมากนักหรอก ฉะนั้นในสายตาของเขา การได้ลูกชายย่อมสำคัญที่สุด
นางยังมีน้องสาวคนเล็กคอยปลอบโยน นางไม่อาจปล่อยให้น้องสาวคนเล็กกังวลได้
ตอนที่เจิ้งซูอวี้ตัดสินใจออกจากตระกูลเจิ้ง นางก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเจิ้งอีกแล้ว หากไม่ใช่เพราะวิญญาณของเจิ้งซินเยว่ตามมาหลอกหลอน นางคงมีชีวิตที่มีความสุขอย่างที่นางต้องการ และคงจะจำสกุลเจิ้งไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
เรื่องทำธุรกิจร่วมกับตระกูลฉินได้รับการตัดสินใจแล้ว ฉินเหวินหานเป็นคนตรงไปตรงมา เขาตกลงทำตามข้อเสนอของมู่ซืออวี่โดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ หลังจากนั้น ร้านค้าทุกร้านของตระกูลฉินก็ขายเครื่องเรือนจาก ‘เรือนกรุ่นฝัน’
คนอื่น ๆ พบโอกาสทางธุรกิจจากข้อตกลงนี้เช่นกัน พวกเขาต้องการหารือเกี่ยวกับธุรกิจดังกล่าวกับมู่ซืออวี่ แต่มู่ซืออวี่ไม่เห็นด้วย
“ซืออวี่ ร้านเปิดใหม่ในเมืองซูโจวก็ขายเครื่องเรือนด้วยเช่นกัน” เจิ้งซูอวี้เข้ามาจากข้างนอก “เมื่อครู่นี้ข้าผ่านไปพอดี และพบว่าธุรกิจของพวกเขาดีมาก ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงนี้ธุรกิจของเราซบเซาลงมาก”
“สินค้าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าไม่ได้เข้าไปดู”
มู่ซืออวี่วางพู่กันลงแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ไปดูกันเถิด!”
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็มายืนอยู่หน้าประตูร้านใหม่ เมื่อเห็นแผ่นป้ายอันวิจิตรงดงามและหน้าร้านที่กว้างขวาง พวกนางก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกัน
แค่มองเท่านี้อีกฝ่ายก็ชนะแล้ว
ในสถานที่อย่างเมืองซูโจว ที่ดินทุกตารางนิ้วมีราคาสูงลิ่ว ทว่าพวกเขาสามารถเช่าพื้นที่ เปิดเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ได้ ทั้งยังสามารถตกแต่งได้งดงามอลังการเช่นนี้ด้วย แสดงว่าต้องร่ำรวยและมีอำนาจเป็นแน่!
ร่ำรวยมาจากที่ใดกันนะ?
“ท่านแขกผู้มีเกียรติ เชิญเข้ามาข้างในก่อนขอรับ” ชายคนหนึ่งกล่าวทักทายหญิงสาวทั้งสองอย่างอบอุ่น
มู่ซืออวี่ไม่ต้องการดึงดูดความสนใจ นางจึงไม่ได้พาจื่อซูและจื่อเยวี่ยนมาด้วย เจิ้งซูอวี้ก็ไม่ได้พาชิวซวงมาด้วย พวกนางแค่มาเพื่อหาข้อมูล ‘สถานการณ์ของข้าศึก’
“ช่างแกะสลักผู้นี้… ฝีมือล้ำเลิศ!” ชายวัยกลางคนด้านข้างอุทาน “เรือนกรุ่นฝันยังไม่อาจเทียบชั้นได้!”
“แต่ราคาของที่นี่…” อีกคนลังเล
“เอ๊ะ น้องหนิง คุณภาพก็ต้องสมราคาอยู่แล้ว”
“สินค้าของเรือนกรุ่นฝัน มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ปรมาจารย์เป็นคนลงมือสร้างเอง ส่วนที่เหลือก็สร้างโดยเด็กฝึกงาน ข้าคิดว่าสินค้าของ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ แห่งนี้งดงามกว่า”
“ข้าได้ยินมาว่าปรมาจารย์ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ แห่งนี้ เป็นปรมาจารย์มานานหลายสิบปีแล้ว เด็กฝึกงานที่เรียนเพียงไม่กี่เดือน จะสามารถเทียบปรมาจารย์เช่นนี้ได้อย่างไร?”
เจิ้งซูอวี้ขมวดคิ้วแล้วมองหน้ามู่ซืออวี่ “โดนคิดร้ายเสียแล้ว!”
“ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินกลบ*[1] ปล่อยไปเถอะ” มู่ซืออวี่พิจารณาสินค้าที่นี่ “แต่พวกเขาพูดถูก ทักษะการใช้มีดแกะสลักของนายช่างของเราด้อยกว่านายช่างระดับปรมาจารย์ผู้นี้แน่นอน”
ทันใดนั้นผู้จัดการ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ร้านของเราเพิ่งเปิดใหม่ ผู้จัดการร้านบอกว่าสินค้าทั้งหมดที่ขายในวันนี้จะลดราคาลงครึ่งหนึ่ง ทว่าแต่ละคนสามารถซื้อได้เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้นขอรับ”
“เพียงชิ้นเดียวหรือ?” เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจทันที “เพราะลดราคางั้นหรือ เช่นนั้นก็ขอให้โชคดี ข้อเสนอนี้พวกเราไม่พอใจหรอกนะ!”
“ร้ายย่อมต้องการขายให้ได้เยอะ ๆ แต่ดันบอกว่าจะขายแค่ชิ้นเดียว นี่หมายความว่าอย่างไร หรือว่าสินค้าไม่พอขายจึงต้องทำเช่นนี้”
“ขนาด ‘เรือนกรุ่นฝัน’ ยังไม่จำกัดการซื้อเลย”
“ใช่แล้ว”
“หากไม่อยากซื้อก็ไสหัวออกไปเสีย!” เสียงเย็นชาและเย่อหยิ่งดังขึ้น “ใครสนเล่าว่าพวกเจ้าจะอยู่หรือไม่?”
มู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้มองหาที่มาของเสียง
เสียงดังมาจากชั้นสอง ทว่าเจ้าของเสียงไม่ปรากฏตัว
ถึงแม้ผู้จัดการร้านจะได้ยินเสียงนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“เถ้าแก่เนี้ยของพวกเราเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว โปรดอย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลยขอรับ”
“เถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าหยาบคายนัก ยังคิดจะอยากค้าขายอีก ฝันเฟื่องไปแล้วหรือเปล่า?”
“นั่นสิ ไม่ซื้อแล้ว ไม่ซื้อแล้ว”
เมื่อเห็นทุกคนต่างเดินออกไปจากร้าน ผู้จัดการร้านก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองหรือวิตกกังวลแต่อย่างใด เขาพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านแขกผู้มีเกียรติ ไปดีมาดีนะขอรับ!”
[1] ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินกลบ หมายถึง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้พลิกแพลงรับมือไปตามสถานการณ์