สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 342 คำถามจากสาวงามผู้เย็นชา
บทที่ 342 คำถามจากสาวงามผู้เย็นชา
บทที่ 342 คำถามจากสาวงามผู้เย็นชา
ตึง! ตึง!
มู่ซืออวี่ทำงานอยู่หลายชั่วโมงจนกระทั่งมืดค่ำ นางก็สร้างนกไม้และสุนัขไม้จนเสร็จ
นางออกมาจากข้างใน ยืดเอว ถอนหายใจเบา ๆ พลางคลายความเมื่อยล้าทั่วร่างกาย
พวกคนงานกลับไปกันหมดแล้ว เช่นเดียวกับเจิ้งซูอวี้ หลังเสร็จสิ้นวันที่วุ่นวายก็ออกไปพักผ่อนที่ตลาดกลางคืน มีเพียงสาวใช้สองคนเท่านั้นที่ยังรอมู่ซืออวี่อยู่
เมื่อเห็นมู่ซืออวี่เดินออกมา จื่อซูและจื่อเยวี่ยนก็หยุดทำทุกสิ่งแล้วทักทายนาง
“ใครยังอยู่ในร้านอีกบ้าง?” มู่ซืออวี่หยุดเดินพลางมองไปทางโต๊ะคิดเงิน
“น่าจะเป็นคุณชายเหวินเจ้าค่ะ” จื่อซูตอบ “เมื่อครู่นี้ตอนที่บ่าวกำลังชงชา เห็นเขามาหยิบน้ำร้อนอยู่เจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่จึงไปเคาะประตูห้องบัญชี
ประตูเปิดออก ใบหน้าซีดเซียวของเหวินอี้ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“ฮูหยิน”
“กายของมนุษย์เราทุกคนล้วนเป็นกายเนื้อ ร่างกายของเราไม่ได้ตีขึ้นจากเหล็กกล้า แล้วจะทนต่อการทำงานหนักมากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ไม่ว่างานจะสะสมจนกองพะเนินมากมายเพียงใด เราก็ต้องพักผ่อนเมื่อถึงเวลา ข้ารู้มาว่าเนื้อกระต่ายอร่อยมาก อยากลองไปลิ้มรสด้วยกันหรือไม่?” มู่ซืออวี่ยิ้ม
“มิกล้าฝืนคำสั่งขอรับ” เหวินอี้ยกยิ้มอ่อน
โคมไฟถูกแขวนไว้ทุกหนทุกแห่งในเมืองซูโจวยามค่ำคืน ส่องแสงสว่างจ้าราวกับว่าเป็นเวลากลางวัน ดูมีสีสันมากเป็นพิเศษ
“แค่กแค่ก” เหวินอี้ไอออกมาเบา ๆ สองครั้ง
มู่ซืออวี่หันไปเห็นว่าเขาพยายามระงับอาการไอ ใบหน้าที่ซีดเซียวแต่เดิมของเขามีสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย
“ค่ำคืนนี้อากาศหนาวเย็น คุณชายเหวินควรสวมเสื้อคลุมหนากว่านี้”
“เป็นเพราะข้าไม่ได้คิดให้รอบคอบเองขอรับ” เหวินอี้ยกยิ้มจาง ๆ “ขอบคุณฮูหยินที่เตือนขอรับ”
มู่ซืออวี่อธิบายกับจื่อซูสองสามคำ จื่อซูจึงออกไปก่อน
“ร้านอยู่ข้างหน้านั่น โปรดตามมาทางนี้” มู่ซืออวี่ทำท่าผายมือเชิญชวน
ซูโจวเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศทุกประเภท แม้ว่ามู่ซืออวี่จะยุ่งมาก แต่นางก็ยังใช้เวลาว่างเดินไปตามถนนและตรอกซอกซอย เพื่อลิ้มลองอาหารอันโอชะทั้งหมดของที่นี่
เมื่อทุกคนนั่งลงที่โต๊ะแล้ว จื่อซูก็กลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมในมือ
“คุณชายเหวิน ใส่เถิด” มู่ซืออวี่บอก “ในฐานะลูกมือยอดเยี่ยมประจำร้านของเรา นี่คือรางวัลของเจ้า อย่าเกรงใจ”
เหวินอี้มองเสื้อคลุมตรงหน้า มันเป็นสีเงินและสีขาว เข้ากับชุดของเขาเป็นอย่างดี งานปักก็ละเอียดประณีตมาก เห็นได้ชัดว่าราคาไม่ได้ถูกเลย
“ขอบคุณฮูหยินขอรับ” เหวินอี้รับมันมาสวม
เขาอ่อนแอ ไม่ค่อยเดินไปไหนมาไหนมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องมีเสื้อคลุมติดตัว
หลังจากเดินไปสักพัก เหงื่อก็ออกเล็กน้อย เขารู้สึกว่าร่างกายที่หนักอึ้งผ่อนคลายลงมาก
“กิจการของร้านนี้รุ่งเรืองจริง ๆ นะขอรับ” เหวินอี้มองห้องโถงที่มีผู้คนพลุกพล่าน “ดึกมากแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายออกมากินอาหารเย็น”
“ใช่แล้ว” มู่ซืออวี่สั่งอาหารแล้วหันกลับมาพูดกับเหวินอี้ “ทิวทัศน์ข้างนอกงดงามมาก บรรยากาศมีชีวิตชีวา อาหารก็อร่อย เจ้าไม่ควรอยู่แต่ในห้องทั้งวันแล้วปล่อยให้ช่วงเวลาดี ๆ ผ่านเลยไป”
นักเล่าเรื่องที่อยู่ชั้นบนขับขานเรื่องราวแสนสนุกได้ยอดเยี่ยม เนื้อเรื่องฟังแล้วค่อนข้างคุ้นเคย มันคือเรื่อง ‘คันฉ่องสองด้าน’ ที่ลู่เซวียนแต่งขึ้น
คนด้านล่างรู้สึกทึ่งกับเรื่องเล่านี้ จนไม่ทันได้สังเกตว่าสุราในมือของตนหกเสียแล้ว พวกเขาทุกคนจ้องมองนักเล่าเรื่องด้วยสายตากระหายใคร่รู้ ราวกับเด็กกำลังเรียนหนังสือ
เนื้อกระต่ายถูกยกมาแล้ว กลิ่นหอมหวนโชยมาแตะจมูก มู่ซืออวี่รินสุราใส่จอกให้เหวินอี้แล้วเอ่ยว่า “นี่คือสุราผลไม้ ดื่มสักนิดก็จะดี”
“ได้ขอรับ” เหวินอี้ตอบรับด้วยรอยยิ้มพลางมองไปทางผู้เล่าเรื่อง
นักเล่าเรื่องถ่ายทอดเรื่องราวการแก้แค้นของสองพี่น้อง เมื่อการแก้แค้นมาถึงจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุด แม้แต่ผู้ที่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็ยังดื่มด่ำไปกับกลวิธีการเล่าเรื่องของนักเล่าเรื่อง
เมื่อเห็นว่าเขาตั้งใจฟังอย่างจริงจัง มู่ซืออวี่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะดึงดูดเขาด้วยอาหารเลิศรสที่อยู่ตรงหน้าได้
มีอาหารอีกสองสามจานถูกยกมา เช่นเดียวกับโจ๊กที่มู่ซืออวี่สั่งให้เหวินอี้เป็นพิเศษ
เหวินอี้เป็นโรคกระเพาะ จึงไม่สามารถกินอาหารรสเผ็ดได้ การกินโจ๊กทุกวันสามารถช่วยบำรุงกระเพาะได้
ช่วงนี้มู่ซืออวี่ทำโจ๊กเป็นครั้งคราว และแบ่งไว้ให้เหวินอี้ด้วย นางเกือบจะกลายเป็นแม่ครัวแทนเจ้านายเสียแล้ว
“เนื้อกระต่ายที่นี่รสเลิศยิ่งนัก” จื่อซูพูดขึ้น “ข้าไม่เคยกินเนื้อกระต่ายที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
“ข้ามาที่นี่หลายครั้งแล้ว ข้าอยากจะขโมยสูตรไปทำเองมาโดยตลอด แต่ข้าก็ยังนึกไม่ออกว่าเครื่องสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอมทั้งสองชนิดคืออะไรกันแน่” มู่ซืออวี่กล่าว
“เปราะหอมและกระวานดำขอรับ” เหวินอี้กล่าว
“หือ?” มู่ซืออวี่งุนงง
“ใส่เปราะหอมและกระวานดำ นี่เป็นเครื่องปรุงรสที่ไม่ค่อยใช้กันอย่างแพร่หลาย น่าจะเป็นรสชาติที่ท่านไม่ค่อยได้ลิ้มรสนะขอรับ” เหวินอี้หันกลับมามองนาง
“ท่านยังไม่ได้ชิม แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสองชนิดนี้?” จื่อเยวี่ยนถาม
“ข้าจมูกดี” เหวินอี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมคลี่รอยยิ้มนุ่มนวล “อาจเป็นเพราะข้าไม่อาจกินตามอำเภอใจได้ตั้งแต่ยังเด็ก รับรสได้ไม่มากนัก ข้าจึงมีประสาทรับกลิ่นดีเป็นการชดเชยกระมัง”
“เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือการชดเชย ไม่ใช่การตอกย้ำเจ้า” มู่ซืออวี่กล่าว “กินไม่ได้ แต่กลับได้กลิ่นดีมาก มันยิ่งกระตุ้นให้อยากกินมากขึ้นเป็นสองเท่าไม่ใช่หรือ?”
“โชคดีที่ข้าชินแล้วขอรับ” เหวินอี้พูดแล้วก็หยิบเนื้อกระต่ายเข้าปาก จิบสุราอีกหนึ่งอึก “สุรานี้หวานหอมเสียจริง ไม่มีรสชาติบาดลิ้นเลย”
“แม้ว่ามันจะไม่มีรสชาติเหมือนสุรา แต่ก็ยังเป็นสุราที่มีฤทธิ์แรง เจ้าควรดื่มไม่เกินสามแก้ว” มู่ซืออวี่เตือน
“ท่านทำให้ข้านึกถึงใครบางคน” เหวินอี้พูด “เขามักจะบอกข้าว่าอย่าแตะต้องสิ่งนี้ อย่ากินสิ่งนั้น…”
หลังจากดื่มสุราจนหมดแก้ว เขาก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ขอบคุณฮูหยินสำหรับการตอบแทนในวันนี้ ข้าค่อนข้างง่วงแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”
“เอาสิ”
หลังจากเหวินอี้จากไป นายกับบ่าวก็กินอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข ผ่อนคลายกว่าตอนแรกมาก
“ฮูหยิน นี่ยังไม่พอ ขอสั่งเพิ่มอีกได้หรือไม่เจ้าคะ?” จื่อซูเลิกแสร้งทำเป็นกุลสตรี แล้วขอให้มู่ซืออวี่สั่งอาหารเพิ่ม
“กินมากเพียงใดก็ได้ หากไม่พอก็ให้บอก” มู่ซืออวี่กล่าว “พรุ่งนี้ฉาวอวี่จะมา เพียงแค่คิดข้าก็มีความสุขแล้ว กลับไปคืนนี้ข้าคงนอนไม่หลับ รอให้กินจนเหน็ดเหนื่อยเสียก่อนค่อยกลับแล้วกัน”
ทันทีที่คำพูดจบลง คนผู้หนึ่งก็มานั่งในตำแหน่งของเหวินอี้เมื่อครู่นี้
มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวผู้งดงามในชุดสีม่วง
“เป็นเจ้านั่นเอง!” มู่ซืออวี่ยกยิ้ม “เถ้าแก่เนี้ยฉี”
จื่อซูและจื่อเยวี่ยนไม่เคยพบกับหร่วนฉีมาก่อน พวกนางจึงมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จื่อซูโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของมู่ซืออวี่ “ฮูหยิน นางช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“เด็กโง่ แม้ว่าเจ้าจะอยากกระซิบ เจ้าก็ต้องรอจนกว่าคนผู้นั้นจะออกไปก่อนสิ จะมากระซิบต่อหน้านางได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่พูดด้วยความหงุดหงิด
“อ้อ” จื่อซูยกยิ้มอย่างขวยเขิน แล้วมองไปที่หร่วนฉีอีกครั้ง
หร่วนฉียังคงสวมชุดสีม่วง ไร้ซึ่งเครื่องประดับบนร่างกายแม้กระทั่งต่างหู ท่าทางยังคงเย็นชาและเย่อหยิ่ง ดูราวกับดอกเหมยที่บานสะพรั่งยามเหมันต์ที่เปี่ยมไปด้วยความทระนง
หร่วนฉีหยิบนกไม้ออกมาแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “เจ้าเป็นคนทำสิ่งนี้หรือ?”
“เหตุใดมันถึงได้มาอยู่ในมือเจ้า?” มู่ซืออวี่งุนงง “ข้าเป็นคนทำเอง วันนี้ข้าทำสองชิ้น ข้าให้ลูกศิษย์ไปหนึ่งชิ้น”
“เจ้ารู้วิชาเซวียนหยวนหรือ?” เจ้าของสายตาคมจ้องมองมาที่นาง “เจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับสกุลโม่?”
“โม่อะไร? ข้าเคยได้ยินมาว่าคนสกุลโม่เป็นยอดฝีมือในวงการของเรา พวกเขาเก่งเรื่องกลไก ช่างฝีมือห้าหรือหกในสิบคนมักมาจากสกุลโม่ แต่ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรอกนะ”