สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว
บทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว
บทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว
วันนี้ไม่ใช่วันไปตลาด บนถนนเส้นนั้นจึงมีคนไม่มาก ลู่อี้แบกหมูป่าตรงไปร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุด
เสี่ยวเอ้อร์เฟิงเจิงออกมาทักทายจากร้านอาหารเล็ก ๆ ด้วยความคุ้นเคย และเมื่อเห็นหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ก็ถึงกับตกใจ “ท่านพี่อี้ จับหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร”
ลู่อี้เผยรอยยิ้มมุมปากออกมา “ข้าโชคดีน่ะ”
“นี่ไม่ใช่เพียงแค่โชคดีนะ ท่านนี่แข็งแกร่งแท้ ๆ” เฟิงเจิงยกนิ้วให้ “เยี่ยมมาก เยี่ยมจริง ๆ เดี๋ยวข้าจะไปตามเจ้าของร้านมา ครั้งนี้ของใหญ่เกินไป เจ้าของร้านต้องตัดสินใจเอง”
“ขอบคุณมากน้องเฟิง”
ลู่อี้นำหมูป่ามาวางไว้หน้าประตูแล้วจัดการเช็ดมือให้สะอาดเรียบร้อย
เห็นได้ชัดว่าเป็นการเคลื่อนไหวอย่างลวก ๆ แต่เขาก็ทำมันได้อย่างสง่างาม
คนที่เดินผ่านไปมาเมื่อเห็นหมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ต่างก็ตกตะลึง
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มองแผ่นหลังของลู่อี้ พอเขาหันหน้ากลับมา ความเขินอายบนใบหน้าก็หายไปจนเหลือเพียงความหวาดกลัว
ลู่อี้ลูบไล้แผลเป็นบนใบหน้าของเขาด้วยความเย้ยหยัน
“ท่านบัณฑิตฟาง พูดแล้วก็บังเอิญเสียจริง วันนี้มีคนเอาหมูป่ามาขายพอดี ท่านเข้ามาดูด้วยตนเองเถิด หากจะให้เหมาะสม ข้าจะสั่งหมูป่าตัวนี้ไว้สำหรับงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้”
เจ้าของร้านที่แต่งตัวดีเดินนำชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา
ชายหนุ่มสวมเสื้อคล้ายพวกบัณฑิต สวมหมวกทรงสูงสามเหลี่ยมท่าทางดูสง่างาม
ลู่อี้ได้ยินเสียงเจ้าของร้านพอดีกับสายตาของชายหนุ่มคนนั้นมองมา
ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจ เขามองลู่อี้หัวจรดเท้าก่อนจะยกมุมปาก สายตาดูถูกเหยียดหยามเผยออกมาอย่างปิดไม่มิด
“คนที่เจ้าของร้านเอ่ยถึงคือเจ้านี่เอง”
เจ้าของร้านมองทั้งสองคนพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านบัณฑิตฟางรู้จักพรานลู่หรือ?”
“รู้จักสิ เหตุใดจึงจะไม่รู้จักเล่า เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของข้า”
ทั้งสองจิกกัดกันอย่างหนัก ประชดประชันกันซึ่ง ๆ หน้า
เจ้าของร้านเฉลียวฉลาด ถึงจะด้วยเหตุผลอะไรที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ เขาก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “บัณฑิตฟางได้พบเพื่อนร่วมชั้นในวันนี้นับว่าเป็นโชคชะตาแล้ว”
ฟางโจวอวี่เดินไปทางลู่อี้ สายตากวาดไปที่ชุดผ้าเนื้อหยาบที่เปื้อนเลือด ก่อนจะหยุดลงที่ร่างหมูป่า
“ไม่ได้เจอกันนานนี่”
ลู่อี้มองอีกฝ่ายแบบผ่าน ๆ “เจ้าสอบเลื่อนขั้นได้เป็นบัณฑิตแล้วรึ”
ฟางโจวอวี่ดูภูมิใจ “บังเอิญน่ะ”
“อืม” ลู่อี้ส่ายหัวแล้วพูดกับเจ้าของร้านว่า “หมูป่านี่ท่านต้องการหรือไม่? หากว่าไม่ต้องการ ข้าจะได้แบกกลับ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางโจวอวี่หายไป
ดูท่าว่าอีกฝ่ายยังคงเย่อหยิ่งเช่นเคย…
ไม่รู้ว่าลู่อี้ยังได้รับการยกย่องอย่างสูงจากหัวหน้าบัณทิตและอาจารย์อยู่หรือไม่
ฟังจากคำที่คนอื่นเรียกเขาว่าพรานลู่… เป็นนายพรานงั้นรึ?
“ลู่อี้ เจ้ารีบไปไหนหรือไม่ นานแล้วที่เราไม่ได้พบกัน เช่นนี้ถือว่าเป็นโชคชะตา พรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่ร้านอาหาร อาจารย์กับเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดก็อยู่ที่นั่น เจ้าก็มาด้วยสิ!”
“ยังต้องการหมูอยู่ไหม?” ลู่อี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฟางโจวอวี่ “…”
เจ้าของร้านตอบทั้งรอยยิ้ม “ต้องการสิ!”
“20 ตำลึง” ลู่อี้ยื่นมือออกไป
เจ้าของร้านพลันเบิกตากว้าง “ไม่แพงเกินไปรึ!”
“แพงรึ ” ลู่อี้มองไปทางฟางโจวอวี่ “หมูป่าหายาก ราคานี้ข้าคำนวณจากคนที่ต้องเลี้ยงดูภายในบ้าน ให้พูดอีกครั้งคือของหายากต้องมีราคาแพง ราคานี้เหมาะสมแล้ว 20 ตำลึง พรุ่งนี้ข้าจะมาเอา”
ฟางโจวอวี่ตะคอกใส่อย่างเย็นชา “เอาเถอะ! เอา 20 ตำลึงให้เขา!”
ตราบใดที่ลู่อี้สามารถมาได้ เขาก็จะจ่ายเงินให้
ฟางโจวอวี่เป็นผู้สมัครคนเดียวที่สอบผ่านในปีนี้ เขาได้สังกัดสำนักบัณทิตเพื่อที่เขาจะได้เตรียมตัวสำหรับการสอบขุนนางครั้งต่อไป
เจ้าของร้านเรียกเฟิงเจิงที่อยู่ไม่ไกล “เจ้าพาลู่อี้ไปที่ห้องคิดเงิน”
“รับทราบ” เฟิงเจิงมองอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วจึงเข้ามารับแขก “ท่านพี่อี้ เชิญด้านนี้”
เมื่อเห็นว่าบัณฑิตฟางมีสายตาที่ราวกับว่าอยู่เหนือผู้อื่น เฟิงเจิงก็ขยิบตาให้ลู่อี้ด้วยท่าทางดูน่าขบขัน
ฟางโจวอวี่มองตามลู่อี้ที่เดินจากไป ความโกรธและความเกลียดชังของเขาเผยออกมาผ่านแววตา
เมื่อตอนที่ลู่อี้ยังอยู่ในสำนัก เจ้าสำนักและอาจารย์ทุกคนจับมืออีกฝ่ายไว้ เทียบกับคนอัจฉริยะอย่างลู่อี้แล้ว คนอื่น ๆ ดูธรรมดามาก ฟางโจวอวี่เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกอีกฝ่ายบดขยี้จนตาย
ฟางโจวอวี่จะไม่มีวันลืมอดีตที่เขาเรียนหนักทุกวัน กระนั้นก็ยังถูกลูอี้บดขยี้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะเมื่อเห็นลู่อี้ในตอนนี้ ชายหนุ่มก็รู้ว่าสถานะของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เจ้าของร้านเห็นว่าสีหน้าของฟางโจวอวี่ดูไม่ดีนัก เขาจึงเอ่ยประจบประแจงมากมายเพื่อทำให้อีกฝ่ายมีความสุข
ฟางโจวอวี่ดูภูมิใจ
ดูสิ ลู่อี้ไม่เหมือนวันวานแล้ว
เมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในรายชื่อทองคำ คนธรรมดาอย่างลู่อี้ก็ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าของเขาด้วยซ้ำ
ลู่อี้หยิบเหรียญ 10 เหวินออกมาแล้วยัดใส่มือเฟิงเจิง
ทว่าเฟิงเจิงรีบปฏิเสธ “ท่านพี่อี้ ข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับท่าน อย่าสุภาพกับข้านักเลย ตราบใดที่ข้าช่วยท่านได้ ข้าก็จะช่วย”
“ขอบคุณมาก” ลู่อี้จดจำเฟิงเจิงที่ดีกับเขาได้เสมอ
“แต่ท่านพี่อี้ พรุ่งนี้ท่านจะมาจริง ๆ หรือ คนเช่นบัณฑิตท่านนั้น พวกข้าก็ไม่ได้จัดการง่าย ๆ เหมือนกัน ดูสายตาที่มองท่านสิ มุ่งร้ายชัด ๆ”
“ไม่ต้องกังวลไป”
หากเขารับปากในทันที เขาจะได้รับเงินจำนวนมากเช่นนี้ได้อย่างไร
นอกจากนี้ เขาเองก็คิดถึงอาจารย์ของเขาด้วย
พวกเขาคงต้องผิดหวังเพราะเขามากใช่หรือไม่
เมื่อนึกถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขา ลู่อี้ก็รู้สึกหนักใจ
ลู่อี้รับเงิน 20 ตำลึงมา ก่อนจะหยิบไม้เท้าขึ้นมาแล้วกลับไปที่หมู่บ้าน
“20 ตำลึง” มู่ซืออวี่มองเงินที่อยู่ตรงหน้านาง “ต้องหาหมูมาอีกสองตัวถึงจะใช้หนี้ได้หมด”
ลู่อี้ที่กำลังคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ พอได้ยินนางพูดเช่นนั้นจึงหันไปมอง
มู่ซืออวี่มองดูเงินด้วยความประหลาดใจ ความอยากรู้อยากเห็นเผยอยู่ในแววตาของนาง แต่ไม่มีความละโมบแฝงอยู่เลยสักนิด
หากเขายังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของคนเช่นนี้ได้ ฉายา ‘อัจฉริยะ’ ก็คงจะไร้ประโยชน์
“แม้ว่าหมูป่าจะมีค่า แต่ก็ไม่สามารถขายได้ในราคาที่สูงขนาดนั้น ท่านพี่ ท่านขายมันมาได้อย่างไร?” ลู่เซวียนถาม
“ข้าเจอกับฟางโจวอวี่ เขาสอบผ่านได้เป็นบัณฑิต พรุ่งนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงขึ้น เขาเป็นคนซื้อหมูป่าตัวนั้นไป” ลู่อี้ตอบเสียงเบา
“ฟางโจวอวี่ คนที่ขัดท่านมาตลอดน่ะรึ เขาสอบผ่านได้เป็นบัณฑิตจริง ๆ หรือ” ลู่เซวียนพลันมีใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นรื่อย ๆ
“คนนั้นคือใครกัน?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามขึ้นมา
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า” ลู่เซวียนชักจะรำคาญใจ
“เจ้าไม่ต้องพูด ข้าก็พอจะเดาได้” มู่ซืออวี่บ่นขึ้นมา ก่อนจะเริ่มนับเงิน “หนึ่ง… สอง… สาม…”
“เจ้าจะเดาได้อย่างไร” ลู่เซวียนมองไปที่นาง
เมื่อเห็นนางเปลี่ยนไปนับเงินแทน เขาก็เคาะโต๊ะอย่างกระวนกระวาย “เจ้าบอกว่าเจ้าเดาได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่พูดเล่า?”
“แล้วเจ้ารีบอะไรด้วย” มู่ซืออวี่นับถึงเลขแปด ที่เหลือก็นำไปให้ลู่ฉาวอวี่ “เจ้าเอาไปให้ท่านหมอจูใช้หนี้ค่าตรวจรักษาของพวกเรา”
“ไม่ใช่ 20 ตำลึงรึ” มู่เจิ้งหานถาม
“นั่นพวกข้าตั้งใจทำให้พวกมู่ต้าซานกลัวต่างหาก ความจริงแล้วค่ารักษาของท่านแม่ใช้เงินแค่ 3 ตำลึง แต่ก่อนหน้านี้เราติดหนี้ท่านหมอจูอยู่ ทั้งหมดก็รวมเป็น 12 ตำลึง”