สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 353 เกิดเรื่องกับกองคาราวานตระกูลฉินแล้ว
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 353 เกิดเรื่องกับกองคาราวานตระกูลฉินแล้ว
บทที่ 353 เกิดเรื่องกับกองคาราวานตระกูลฉินแล้ว
บทที่ 353 เกิดเรื่องกับกองคาราวานตระกูลฉินแล้ว
“ท่านวางใจเถอะ ข้าจะช่วย” มู่ซืออวี่ให้สัญญา
ในเมื่อเป็นคนที่ลู่อี้ต้องการปกป้อง ไม่ว่าจงอ๋องผู้นั้นจะน่าเกลียดน่าชังเพียงใด นางก็จะไม่ไปโต้แย้งกับเขา
จากนั้นมู่ซืออวี่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปรับปรุงมื้ออาหารของจงอ๋องและเหวินอี้ ในการทำอาหารบำรุงร่างกายพวกเขา นางมักจะปรึกษากับหมอเทวดาที่รักษาทั้งคู่เพื่อปรับปรุงสูตรอาหารให้เหมาะสม
หลังจากรักษาด้วยยาและอาหารควบคู่กันไป สีหน้าของเหวินอี้ก็ค่อย ๆ แจ่มใสขึ้นทีละน้อย
ส่วนจงอ๋องนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงจากการรักษาหรือไม่ เพราะหลังจากขจัดพิษออกไปแล้ว กลับรู้สึกว่าเขาไม่โหดเหี้ยมและร้ายกาจดังเดิม เพียงแค่ดูเหมือนชายหนุ่มที่อารมณ์ร้ายเท่านั้น
“เหนื่อยจะตายแล้ว” มู่ซืออวี่ลากร่างกายอันเหนื่อยล้าของนางกลับไปยังที่พัก “ถึงแม้วันนี้จะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก ข้าต้องการพักผ่อนสักสองสามวัน”
“บ่าวจะนวดให้เจ้าค่ะ” จื่อซูเอ่ย
“นวดตรงบ่า ข้าปวดเจียนตายแล้ว”
วันนั้นในแต่ละเดือนของสตรีเป็นช่วงเวลาที่ยากเย็นที่สุดแล้ว ถึงแม้ร่างกายของนางจะทำด้วยเหล็กก็ยังมีวันที่นุ่มนิ่มเป็นปุยฝ้าย สองสามเดือนมานี้ ชีวิตนางหมุนไปหมุนมาราวกับลูกข่างก็ไม่ปาน
“งานแสดงสินค้าเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี กิจการของเรากำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เรือนย่อยก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่ฮูหยินจะได้พักผ่อนดี ๆ แล้วเจ้าค่ะ” จื่อเยวี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ดูชุดนี้สิเจ้าคะ ถึงแม้จะสวยงามเพียงใด แทนที่จะแขวนมันไว้ให้ดี หลังจากสวมใส่แล้วสุดท้ายท่านก็มักจะโยนทิ้งเช่นนี้ บนชุดจึงมีรู ถึงแม้จะได้รับการซ่อมแซมก็ย่อมเหลือร่องรอยทิ้งไว้ในอนาคต เช่นเดียวกันกับร่างกายของฮูหยิน ท่านไม่อาจหักโหมและปล่อยปละละเลยจนเกินไปเป็นอันขาดนะเจ้าคะ!”
จื่อซูเอ่ยคำพูดที่สละสลวยเต็มไปด้วยเหตุและผลเหล่านี้เองไม่ได้ แต่สิ่งที่จื่อเยวี่ยนกล่าวมานั้นทั้งน่าฟังและสมเหตุสมผล นางจึงได้แต่พยักหน้าซ้ำ ๆ เป็นการเห็นด้วย
เจิ้งซูอวี้เคาะประตู “ซืออวี่ มีเรื่องด่วน”
มู่ซืออวี่ “…”
นางนอนอยู่ตรงนั้น มองสาวใช้ทั้งสองคน
สาวใช้ทั้งสองมองนางด้วยสายตาสงสารอย่างสุดซึ้ง
จื่อเยวี่ยนวางเสื้อผ้าที่กำลังปะชุนแล้วเดินไปเปิดประตู
ทันทีที่เจิ้งซูอวี้เข้ามา นางก็เอ่ยด้วยความกระวนกระวายใจ “กองคาราวานตระกูลฉินเกิดเรื่องแล้ว”
“ค่อย ๆ พูด ไม่ต้องรีบร้อน” มู่ซืออวี่กล่าว “เกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเขาพบโจรป่า ทั้งกองคาราวานถูกจับเป็นตัวประกัน โจรป่าเหล่านั้นยังส่งจดหมายมาให้นายน้อยของตระกูล ให้นำเงินไปไถ่ตัวคนออกมาอีกด้วย”
“สินค้าของเราครั้งนี้ก็ส่งไปกับตระกูลฉิน”
“มิผิด อีกทั้งยังไม่น้อย”
มู่ซืออวี่ค่อย ๆ ลุกขึ้น
“ฮูหยิน ทำอย่างไรดีเจ้าคะ? ต้องแจ้งทางการหรือไม่?” จื่อซูถาม
“ไปเชิญพี่ใหญ่เซี่ยมา” มู่ซืออวี่บอกจื่อซู “เขาย่อมรับมือกับเรื่องเช่นนี้ได้ดีกว่า”
“จริงสิ พี่ใหญ่เซี่ยไม่ใช่ธรรมดา” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “ก่อนที่พวกท่านจะมาที่นี่ ร้านเรามักจะเจออันธพาลมารังควานครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าตั้งแต่พวกท่านปรากฏตัวก็ไม่มีใครมาวุ่นวายอีกเลย ข้าคิดว่าพวกเขากลับตัวกลับใจแล้ว ต่อมาข้าบังเอิญเห็นอันธพาลเหล่านั้นเคารพพี่ใหญ่เซี่ยและทำงานให้เขา”
เซี่ยคุนมาถึงที่นี่ เมื่อเขาทราบเรื่องราวแล้วจึงเอ่ยว่า “ข้าจะจัดการเอง”
“ตระกูลฉินจะทำอย่างไร?” เจิ้งซูอวี้ถาม
“ข้าจะไปหารือเรื่องนี้กับคุณชายฉิน เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” เซี่ยคุนกล่าว “ฮูหยิน ช่วงนี้ต้องลำบากสักหน่อยแล้ว ช่วยเฝ้าดูทางด้านจงอ๋องเสียหน่อย”
เซี่ยคุนรุดไปที่ตระกูลฉินในคืนนั้นทันที
ฉินเหวินหานได้ยินว่า ‘เรือนกรุ่นฝัน’ ส่งคนมาจึงบอกให้ผู้จัดการแต่ละร้านออกไป แล้วให้คนพาเซี่ยคุนไปหารือกันที่ห้องตำรา
“นายน้อย ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ดังนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อมแล้ว…” เซี่ยคุนเอ่ยขึ้น “ได้ยินว่ากองคาราวานของตระกูลฉินถูกโจรป่าโจมตี โปรดเล่าต้นสายปลายเหตุให้ข้าฟังอย่างถี่ถ้วน”
“ได้ ข้าจะเล่าให้ฟัง” ฉินเหวินหานนำจดหมายเรียกค่าไถ่ที่โจรป่าส่งมาให้ออกมาจากลิ้นชัก “นี่เป็นสิ่งที่โจรป่าเหล่านั้นส่งมา”
หลังจากอ่านจดหมายจบ เซี่ยคุนก็พอทราบสถานการณ์คร่าว ๆ
ฉินเหวินหานยังบอกอีกว่าโจรป่าเหล่านั้นจู่ ๆ ก็โผล่ออกมาอย่างน่าสงสัย
“ท่านเตรียมเงินไปไถ่ตัวคนอย่างที่พวกเขาบอกเถิด ข้าจะไปที่นั่นกับท่าน” เซี่ยคุนเอ่ย
“ท่านเซี่ยตั้งใจจะนำคนไปมากน้อยเพียงใดหรือ?”
“สิบคนก็พอแล้ว”
วันถัดมามู่ซืออวี่จึงทราบข่าวว่าเซี่ยคุนตามฉินเหวินหานไปยังที่กบดานของโจรป่า
ไม่กี่วันต่อมา เรือนย่อยก็เสร็จสิ้นแล้ว
มู่ซืออวี่พาจงอ๋องไปดูผลลัพธ์ด้วยตนเอง
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
“ไม่เลว”
“เช่นนั้นเงินงวดสุดท้าย…”
จงอ๋องปรายตามองมู่ซืออวี่เล็กน้อย “เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าเอ่ยถึงเรื่องเงินกับข้า”
“ท่านอ๋องโปรดเข้าใจ พวกเราล้วนเป็นปุถุชนคนเดินดิน เงินเป็นปัจจัยพื้นฐานในโลกใบนี้ เงินขาดไปหนึ่งอีแปะก็สามารถทำให้วีรบุรุษหมดลมหายใจได้ ข้าเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจึงอาจจะหยาบคายไปบ้าง”
“ดูสภาพไม่ได้เรื่องได้ราวของเจ้าสิ ลู่อี้ลดค่ากินค่าดื่มของเจ้าด้วยหรือ? สภาพเช่นนี้ของเจ้า ช่างทำให้เขาขายหน้าจริง ๆ” จงอ๋องหัวเราะเยาะ
“ข้าไม่ได้ไปปล้นของของใคร ข้าหาเลี้ยงครอบครัวด้วยความสามารถของตัวเอง จะทำให้เขาอับอายได้อย่างไร? สำหรับบุรุษแล้ว สตรีที่ไม่เอาแต่เกาะติดอยู่กับเขาอย่างข้าสิ จึงจะไม่ถือว่าสร้างปัญหา”
คนสนิทของจงอ๋องรุดเข้ามา โน้มตัวไปกระซิบใกล้ ๆ หูเขา
จงอ๋องมีสีหน้าไม่น่าดูชมขึ้นมาทันที เขาสะบัดมือ “พาเขาไปเรือนเซียวเหยา”
“ในเมื่อท่านอ๋องมีเรื่องต้องจัดการ…”
“ไปเถอะ!” จงอ๋องหมุนตัวจากไปทันที
มู่ซืออวี่จัดการงานที่เหลือให้เรียบร้อยและเตรียมจะจากไป จากนั้นพ่อบ้านของจงอ๋องจึงมาจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมด
“นี่มากกว่าที่ตกลงกันไว้”
“ท่านอ๋องกล่าวว่าฮูหยินทำงานได้ดี ที่เหลือเป็นรางวัล” พ่อบ้านเอ่ย “หากฮูหยินไม่มีเรื่องใดอีก ผู้น้อยต้องไปหานายช่างผิงแล้ว ท่านอ๋องให้ผู้น้อยไปจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมด”
“ท่านอ๋องมีเรื่องอะไรหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม “อย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วง เพียงแต่เห็นเขารีบร้อนจากไป ดูเหมือนจะมีเรื่องเร่งด่วน ข้าเพียงถามไถ่เท่านั้น”
“คนจากในวังมาขอรับ” พ่อบ้านไม่ได้ปิดบัง
เห็นได้ชัดว่าพ่อบ้านรู้ว่ามู่ซืออวี่มีความสัมพันธ์บางอย่างกับจงอ๋อง
อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังนาง
“คนในวังหรือ…” ไม่แปลกใจว่าเหตุใดตอนนั้นเขาจึงมีสีหน้าแปลก ๆ
ร่างกายของจงอ๋องและเหวินอี้ต่างก็ถูกคนผู้นั้นที่อยู่ในวังทำให้พัง พยัคฆ์ร้ายไม่กินลูกของตน แต่คนผู้นั้นกลับดีได้ไม่เท่าเดรัจฉาน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนดีอะไร
ถึงขนาดเรียกว่าคนดีไม่ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะเป็นกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องได้อย่างไร
ลู่อี้จะไปเป็นขุนนางในราชวงศ์ของคนผู้นี้ ต่อไปเขาจะเดินไปในทิศทางไหน?
นายช่างผิงเห็นว่าจงอ๋องให้เงินจำนวนมาก ทั้งยังมากกว่าที่คาดก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เดิมทีคิดว่าแค่พวกเขาออกไปโดยมีชีวิตอยู่ได้ก็ดีมากแล้ว
“ขอบพระคุณท่านอ๋องที่ประทานรางวัล” นายช่างผิงเอ่ยกับพ่อบ้าน
“อันที่จริงแล้วเจ้าต้องขอบคุณคนผู้หนึ่ง” พ่อบ้านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องไม่ใช่คนที่พูดคุยด้วยง่าย พวกเจ้าสร้างปัญหาหลายครั้งหลายครา ทำให้เรือนย่อยเต็มไปด้วยความวุ่นวาย สร้างความไม่พอใจให้ท่านอ๋องเป็นอย่างมาก ทว่าเถ้าแก่เนี้ยมู่เอ่ยถึงความดีของเจ้าบ่อยครั้ง บอกว่าพวกเจ้าพยายามทำดีที่สุดแล้ว อีกทั้งยังสร้างคุณงานความชอบใหญ่หลวง ท่านอ๋องจึงไม่ลงโทษพวกเจ้า”
“ขอบคุณใต้เท้าที่ย้ำเตือน” นายช่างผิงเอ่ย “ข้าน้อยต้องขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยมู่อีกครั้งอย่างแน่นอน”
หลังจากที่พ่อบ้านจากไป เหล่านายช่างที่อยู่ข้าง ๆ เขายังไม่เชื่อ “หากเถ้าแก่เนี้ยมู่พูดแทนพวกเราจริง ๆ พวกเราก็คงไม่ได้รับค่าจ้างเมื่อครู่นี้”
นายช่างผิงเอ่ยนิ่ง ๆ “เจ้าจะไปรู้อะไร? หากจงอ๋องไม่ให้ พวกเราจะกล้าไปขอหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนตายในเงื้อมมือเขากี่มากน้อย? ขอกล่าวตามตรง เหตุผลที่เราไปขอค่าจ้างเมื่อครู่ก็เพราะคิดว่าหากเราตายอยู่ที่นี่ เราจะพอมีเงินหลงเหลือไว้ให้คนในครอบครัวบ้าง นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะรอดจริง ๆ”
“อาจารย์ ท่านหมายความว่า… แค่พวกเรารับงานนี้ก็เกือบไปเยือนประตูนรกแล้วหรือขอรับ?”
“เจ้าเอ่ยอะไร?” นายช่างผิงกล่าว “พวกเราเข้าร่วมการออกแบบกลไกห้องลับ นั่นไม่ใช่งานที่สามารถปล่อยให้คนกลับออกไปอย่างมีชีวิตได้”
ทุกคนเงียบไปทันที
“วันนั้นข้าได้ยินเถ้าแก่เนี้ยมู่เอ่ยถึงเรื่องค่าจ้างกับจงอ๋อง” นายช่างคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นข้ากลัวมาก คิดว่าเถ้าแก่เนี้ยมู่จะถูกลงโทษแล้ว แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“เหตุใดเจ้าไม่บอกพวกเรา?”
“ทุกคนไม่ชอบเถ้าแก่เนี้ยมู่ ข้ากลัวว่าหากบอกพวกท่าน พวกท่านจะไม่เชื่อ” นายช่างคนนั้นกล่าวต่อ “ต่อมาท่านอ๋องก็ไม่ได้จ่ายอะไรให้พวกเรา บอกไปก็ไร้ความหมาย”