สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 355 งานรื่นเริงก่อนแยกจาก
บทที่ 355 งานรื่นเริงก่อนแยกจาก
บทที่ 355 งานรื่นเริงก่อนแยกจาก
ลู่อี้ถูกจงอ๋องเรียกตัวไป กระทั่งกลางดึกจึงกลับมา
มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จัดการประชุมสรุปกับคนงานของสาขาทุกคน ให้รางวัลกับคนงานที่ทำผลงานได้ค่อนข้างดีในช่วงเวลานี้ จากนั้นทุกคนจึงทานหม้อไฟอย่างครึกครื้นร่วมกัน
เมื่อลู่อี้กลับมา มู่ซืออวี่กำลังยืนโงนเงนเอนพิงเสา ปัดมือของจื่อซูที่กำลังพยุงนางออก จากนั้นเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสับสน “ข้าเดินเองได้”
“ฮูหยิน ท่านเดินได้ แต่ท่านเดินอยู่ในสวนนี้มาครึ่งชั่วยามแล้วนะเจ้าคะ” จื่อซูราวกับกำลังจะร้องไห้ “ฮูหยิน ท่านอย่าดื่มอีกนะเจ้าคะ ภายหน้าอย่าได้ดื่มมากมายถึงเพียงนี้นะเจ้าคะ”
“ให้ข้าจัดการเถอะ” ลู่อี้เอ่ยกับจื่อซู
“นายท่าน สุดท้ายท่านก็กลับมาแล้ว” เมื่อเห็นลู่อี้ จื่อซูจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “บ่าวจะไปทำน้ำแกงสร่างเมาสักหน่อย”
“ไม่ต้องล่ะ ตอนนี้ทำมานางก็ไม่ดื่ม เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ” จากนั้นลู่อี้ก็ช้อนตัวมู่ซืออวี่ขึ้นมา
มู่ซืออวี่กอดคอของลู่อี้ นางจ้องมองเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคนนี้เหตุใดถึงได้คุ้นหน้านัก เคยพบที่ใดนะ”
“บางทีอาจเป็นในฝันกระมัง” ลู่อี้เย้าแหย่นาง
วันถัดมา ทุกคนเก็บข้าวของกลับไปยังเมืองฮู่เป่ย
เจิ้งซูอวี้จับมือของมู่ซืออวี่แล้วกล่าวว่า “หลายวันมานี้ข้าได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากท่าน น้อยนักที่ข้าจะรู้สึกชื่นชมใครสักคน ท่านกลับเป็นหนึ่งในนั้น ซืออวี่ รับปากข้า ท่านจะไม่กลายเป็นสตรีเรือนหลัง ท่านจะต้องส่องประกายสว่างไสวเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์อย่างที่ท่านเป็นอยู่ในตอนนี้”
“ท่านก็เป็นคนที่ข้าชื่นชมเช่นกัน” มู่ซืออวี่กล่าว “วางใจเถอะ ข้าคนนี้ไม่รู้จักเกียจคร้าน หากข้าอยู่แต่เรือนหลัง เป็นแค่ภรรยาและมารดาที่ดี ข้าคงเป็นบ้าไปภายในสองสามวัน”
“สามีของท่านรอไม่ไหวแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรแล้ว ตอนที่ข้ากลับไปยังเมืองฮู่เป่ย ข้าค่อยไปพบท่าน” เจิ้งซูอวี้โบกมือ
เมื่อรถม้าเคลื่อนผ่าน ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ มู่ซืออวี่ก็คิดถึงกล่องกลไกนั้นขึ้นมา
นางเอ่ยขึ้นว่า “จื่อซู”
“เจ้าค่ะ” จื่อซูส่งเสียงตอบรับจากข้างนอก
“เจ้าไปบอกเถ้าแก่เนี้ยฉี ลวดลายบนกล่องของนาง ข้าจะศึกษาต่อไป หากมีความคืบหน้าอะไร ข้าจะเขียนจดหมายมาหานาง”
ไม่นานนัก จื่อซูก็กลับมาบอก “ฮูหยิน เถ้าแก่เนี้ยฉีไม่อยู่เจ้าค่ะ ผู้จัดการร้านผู้นั้นบอกว่านางออกจากเมืองไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ!” มู่ซืออวี่พักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว
ลู่อี้ดึงมือนางไปกุม “เจ้าผ่ายผอมลงไปมาก”
“ระยะนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริง ๆ” มู่ซือวี่เอียงพิงแขนเขา “แต่ไม่เป็นไร ข้าชินแล้ว เกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่เงินก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ไม่มีผู้ใดได้ผลตอบแทนมาโดยไม่ต้องเปลืองแรงนี่”
ลู่อี้ลูบผมมู่ซืออวี่เบา ๆ
มู่ซืออวี่คว้ามือของเขามา จากนั้นจึงมองรอยแผลแห่งใหม่
“เหตุใดจึงบาดเจ็บเล่า?”
“ครั้งนี้ปราบโจรป่า” ลู่อี้ไม่ได้ปิดบังนาง “ไม่เป็นไร ตกสะเก็ดแล้ว”
มู่ซืออวี่ดึงมือเขาเข้ามาใกล้ ๆ แล้วเป่าเบา ๆ ราวกับจะสามารถช่วยลบเลือนความเจ็บของเขาได้
ลู่อี้ประคองใบหน้าของนางลงมาแล้วจูบหน้าผากนางแผ่วเบา “ใต้ตาเจ้าคล้ำหมดแล้ว หมู่นี้ไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่มเลยใช่หรือไม่? นอนเสียหน่อยเถอะ”
มู่ซืออวี่หลับตาลง
ข้างกายมีคนคุ้นเคย อีกทั้งยังมีกลิ่นอายคุ้นเคยรายล้อม ในที่สุดนางก็ผ่อนคลายลงแล้ว
เซี่ยคุนควบม้าเข้ามาใกล้รถม้า “อย่างที่ใต้เท้าลู่คาดไว้ จงอ๋องเพิ่งออกจากเมืองซูโจว เขาก็โดนลอบสังหารทันที”
“ดูเหมือนจงอ๋องกลับไปยังเมืองหลวงครานี้ เขาจะเคลื่อนไหวอย่างเอิกเกริก” ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ “คนของท่านตระเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
“วางใจ ตั๊กแตนตำข้าวจะจับจักจั่น หารู้ไม่ว่ามีนกกระจอกอยู่ข้างหลัง*[1] นักฆ่าเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเราแล้ว”
“ลำบากท่านแล้ว”
มู่ซืออวี่ได้ยินเสียงมากมายอย่างเลือนราง ทว่าจับใจความไม่ได้ว่าพวกเขากำลังเอ่ยถึงเรื่องอะไรกัน อย่างที่ลู่อี้กล่าวไว้ นางง่วงนอนมากจริง ๆ เกรงว่าแม้แต่เสียงฟ้าผ่าก็ไม่อาจปลุกนางให้ตื่นได้
ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาก็มาถึงเมืองฮู่เป่ยแล้ว
ไม่ได้กลับมายังเมืองฮู่เป่ยเสียครึ่งปี ครั้นเห็นเมืองฮู่เป่ยอีกครั้ง กลับรู้สึกว่าในความคุ้นเคยนั้นมีความไม่คุ้นเคยอยู่ สถานที่หลายแห่งเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“ตอนที่ข้าไปตรงนั้นยังไม่มีบ้าน”
“ใช่ สร้างขึ้นใหม่” ลู่อี้เลิกม่านขึ้น มองตามสายตาของนางไป
“บ้านทางโน้นทรุดโทรมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก” มู่ซืออวี่ชี้ไปอีกทาง
“บ้านในย่านชุมชนแออัดเดิมทีก็ทรุดโทรมอยู่แล้ว อีกทั้งยังเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ข้าเพิ่งซื้อไว้ คนที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่นได้รับเงินอุดหนุนจากทางการ ทางการจัดหาที่อยู่ให้พวกเขาใหม่แล้ว”
“หากยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไร มิสู้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเสียดีกว่า” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “ข้ามีความคิดเห็นหนึ่ง”
“กลับบ้านไปพักผ่อนเสียก่อน มีความคิดอะไรเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ลู่อี้ไม่ยอมตกปากรับคำ
มู่ซืออวี่กอดแขนของลู่อี้ “สามี…”
“ออดอ้อนไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าเหนื่อยถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่รู้จักหวงแหนร่างกายตนเองอีก” ลู่อี้ขมวดคิ้ว
รถม้าหยุดนิ่งอยู่ที่เรือนหลังศาลาว่าการ
“ท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นในชุดกระโปรงสีชมพูวิ่งเข้ามาหา “ท่านแม่…”
ทันทีที่มู่ซืออวี่ลงจากรถม้าก็เห็นลู่จื่ออวิ๋นวิ่งมาหา จึงเร่งฝีเท้าไปหาแล้วอุ้มลู่จื่ออวิ๋นขึ้นมา
ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก
ถงซื่อและท่านหมอจูก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน
อันอวี้เดินเข้าไปหาเซี่ยคุน ใบหน้างามมองเขาอย่างเอียงอาย
เซี่ยคุนสัมผัสแก้มของอันอวี้เบา ๆ จากนั้นจึงพานางไปยังเรือนหลัง
“คิกคิก…”
จือเชียนหัวเราะเบา ๆ
สมกับเป็นพี่คุน ทำอะไรไม่คิดจะปกปิดเสียเลย
“กลับมาเสียที” ถงซื่อกล่าว “อวิ๋นเอ๋อร์บ่นถึงเจ้าทุกวัน กระทั่งไม่นานมานี้ก็ทำเข็มทิ่มมือตนเอง อาจารย์ฟ่านทนไม่ได้ อนุญาตให้ลาหยุดได้สองสามวัน จะได้ปรับตัวก่อนจะกลับไป”
มู่ซืออวี่ดึงมือน้อย ๆ ของลู่จื่ออวิ๋นมาดูแล้วคิ้วขมวดมุ่น “เจ็บหรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นอ้อนนางว่า “ท่านแม่ไม่อยู่ไม่เจ็บ ท่านแม่กลับมาแล้วก็เจ็บขึ้นมา”
“ดูปากเล็ก ๆ นี่สิ ใครจะกล้าแยกจากนางไปทำให้นางเจ็บเล่า?” ถงซื่อกล่าว
“ข้าเตรียมของขวัญมาให้เจ้าแล้ว” มู่ซืออวี่พูดขึ้น “อีกเดี๋ยวจะให้เจ้าดู”
“ดูตอนนี้…”
ทั้งครอบครัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่อย่างครึกครื้น
มู่ซืออวี่ถือโอกาสนี้แจกจ่ายของขวัญให้กับทุกคน
ลู่อี้ให้คนไปเรียกลู่เซวียนกลับมา ลู่เซวียนกลับไม่ได้กลับมาเพียงลำพัง ยังพาเด็กหนุ่มที่ชื่อฉู่หลิงกลับมาด้วย
คืนนั้น ทั้งครอบครัวรวมตัวกันอย่างมีชีวิตชีวา
“ท่านแม่ วันนี้ท่านนอนกับข้าเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นดึงมู่ซืออวี่ไว้ไม่ยอมปล่อย
ลู่ฉาวอวี่ส่งเสียงกระแอมขึ้นมาหนึ่งที “โตป่านนี้แล้ว ยังต้องนอนกับท่านแม่อีกหรือ”
“ก็ข้าคิดถึงท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นเบะปาก
ลู่ฉาวอวี่ดึงลู่จื่ออวิ๋นออกไปแล้วเอ่ยถามนางเบา ๆ “เช่นนั้นเจ้าอยากได้น้องชายน้องสาวหรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตาปริบ ๆ แล้วพยักหน้าน้อย ๆ
“ท่านพ่อไม่ได้เจอท่านแม่นานแล้ว เจ้าไม่ให้ท่านแม่กลับไปห้องท่านพ่อ แล้วจะมีน้องชายน้องสาวเมื่อใดกัน” ลู่ฉาวอวี่เคาะหน้าผากของลู่จื่ออวิ๋น “อย่างไรเสียท่านแม่กลับมาบ้านครั้งนี้ก็ไม่ไปที่ใดแล้ว จะรีบร้อนอะไร?”
มู่ซืออวี่เห็นว่าทั้งสองคนทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ จึงหันกลับไปถามลู่อี้ว่า “ลูกชายของท่านพยายามให้อวิ๋นเอ๋อร์ทำอะไรน่ะ?”
ลู่อี้จับมือมู่ซืออวี่แล้วพูดกับลู่จื่ออวิ๋นและลู่ฉาวอวี่ว่า “แม่พวกเจ้าเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว ข้าจะพานางกลับไปพักผ่อนเสียก่อน สองสามวันนี้หากแม่พวกเจ้าพักผ่อนเพียงพอแล้ว พวกเจ้าค่อยมาเล่นกับนาง”
ลู่จื่ออวิ๋นยังอยากอยู่กับมู่ซืออวี่ เมื่อเห็นพวกเขาไปแล้ว ใบหน้าเล็ก ๆ พลันหม่นหมองลงทันที
เด็กหญิงตัวน้อยดูเสียใจอยู่บ้าง
“เอาล่ะ พรุ่งนี้พี่ชายจะซื้อขนมกุ้ยฮวา*[2] ให้เจ้ากิน” ลู่ฉาวอวี่ลูบหัวลู่จื่ออวิ๋นเบา ๆ
ลู่จื่ออวิ๋นมองเขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย “เราเป็นฝาแฝดกัน แต่ท่านสูงกว่าข้ามาก ข้าสงสัยว่าท่านชอบลูบหัวข้า คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าเตี้ย”
ลู่ฉาวอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่เขาสงสัย “อาจารย์ฟ่านของพวกเจ้าสอนแค่เพียงการเย็บปักถักร้อยเท่านั้นหรือ?”
“แล้วจะให้สอนอะไรเล่า?” ลู่จื่ออวิ๋นไม่เข้าใจ
“ข้าคิดว่า… คงต้องให้เจ้าอ่านตำราให้มากขึ้นหน่อย จะได้ประเทืองปัญญาขึ้นบ้าง” ลู่ฉาวอวี่ตอบ
[1] ตั๊กแตนตำข้าวจะจับจักจั่น หารู้ไม่ว่ามีนกกระจอกอยู่ข้างหลัง หมายถึง ไล่ตามผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย กลับละเลยอันตรายที่ร้ายแรงกว่า
[2] กุ้ยฮวา คือ ดอกหอมหมื่นลี้ ขนมกุ้ยฮวาทำมาจากข้าวเหนียวหรือถั่วกวน จากนั้นเอาไปผสมน้ำตาลที่สกัดมาจากดอกกุ้ยฮวา