สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 363 ท่านแม่ยายไปพักผ่อนแล้ว
บทที่ 363 ท่านแม่ยายไปพักผ่อนแล้ว
บทที่ 363 ท่านแม่ยายไปพักผ่อนแล้ว
“ข้าจะไปช่วยท่านแม่ยายชงชา” เซี่ยคุนบอกอันอวี้
อันอวี้ประหลาดใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเซี่ยคุนเรียกแม่ของนางว่า ‘ท่านแม่ยาย’
เซี่ยคุนเข้ามาในห้องครัวข้าง ๆ แล้วใช้มือสับลงไปที่ท้ายทอยของอวี้ซื่อ
อวี้ซื่อที่กำลังด่าลูกสาวว่าเป็นของขาดทุนพลันรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้ายทอย จากนั้นนางก็คอพับและล้มลงทันที
เซี่ยคุนพยุงอวี้ซื่อแล้วหิ้วขึ้นมา
ภายในห้อง อันอี้หางมองอันอวี้ ไม่เพียงแต่เห็นว่าแก้มนางแดงเปล่งปลั่ง ทว่าแววตายังเต็มไปด้วยความผ่อนคลายและความสุขอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เขาจึงรับรู้ว่าอีกฝ่ายสุขสบายดี
“พวกเราพี่ชายน้องสาวไม่ได้พบกันหลายเดือนแล้ว เห็นว่าตอนนี้เจ้ามีความสุข พี่ใหญ่ก็วางใจ”
“ท่านพี่เล่าเรียนให้สบายใจเถิด ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า” อันอวี้กล่าว “ท่านทานอะไรแล้วหรือยัง? ข้าจะไปทำอาหารสักสองสามอย่างมาให้พวกท่านดื่มสุรา พวกท่านไม่ค่อยได้พบกัน เหตุใดไม่ดื่มสักสองสามจอกเล่า?”
เซี่ยคุนเดินเข้ามา “ไม่ต้องล่ะ เมื่อครู่นี้ ข้าเพิ่งบอกคนขับรถม้าให้ไปสั่งอาหารที่ภัตตาคารมาสักสองอย่าง อีกเดี๋ยวอาหารคงมาส่งแล้ว”
“ให้พี่ภรรยาเลี้ยงเถอะ” อันอี้หางกล่าวด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไร” เซี่ยคุนเอ่ย “จริงสิ เมื่อครู่นี้ข้าเห็นท่านแม่ยายเหนื่อยเล็กน้อย นางบอกว่าจะกลับไปพักผ่อนที่ห้อง ไม่ทานอาหารร่วมกับพวกเราแล้ว”
อันอี้หางงุนงง ทว่าเมื่อนึกถึงอารมณ์โมโหร้ายของมารดาที่นับวันยิ่งแย่ลงก็พอจะเข้าใจ นางโมโหราวกับจะลุกเป็นไฟได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเวลาที่เห็นเซี่ยคุนและอันอวี้ เกรงว่าคงเพราะไม่ยินดีทานอาหารร่วมกับพวกเขาจึงหาข้ออ้างไม่ออกมา
คนดูแลร้านประจำภัตตาคารมาส่งอาหารถึงประตูบ้านอย่างรวดเร็ว
เซี่ยคุนบอกไว้ว่าสั่งอาหารมาสองสามอย่าง แต่ความจริงกลับมีนับสิบ แต่ละอย่างล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อของภัตตาคารทั้งสิ้น
อันอี้หางมองเซี่ยคุน
อวี้ซื่อมักจะรังเกียจเซี่ยคุนที่เป็น ‘คนรับใช้’ ทว่าคนรับใช้ตระกูลใดเล่ามีบรรยากาศรอบกายเช่นนี้ คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเป็นแน่ น้องสาวได้แต่งงานกับบุรุษเช่นนี้นับว่าประเสริฐมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม นี่นับว่าเป็นวาสนาของนาง
หลายปีที่ผ่านมานางอยู่อย่างทุกข์ยาก แม้กระทั่งสวรรค์ก็ไม่อาจทนได้จึงได้มอบเซี่ยคุนมาช่วย
“พี่ภรรยาสอบผ่านระดับมณฑลเป็นเรื่องมงคล ข้าจึงเตรียมของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้ หวังว่าจะชอบ”
เซี่ยคุนส่งกล่องใบหนึ่งให้อันอี้หาง
อันอี้หางกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงนำภาพวาดเขียนอักษรออกมาจากกล่อง
เมื่อคลี่ภาพวาดเขียนอักษรนั้นดู ลายพู่กันของแท้จากศิลปินชื่อดังทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
“นี่แพงเกินไปแล้ว”
ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ว่านี้มีราคาเกือบหลายร้อยตำลึงเงิน
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เงิน แต่เป็นผลงานของศิลปินท่านนี้ที่ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ
เซี่ยคุนเอ่ยว่า “สำหรับผู้ที่ชื่นชอบย่อมเป็นของดี แต่สำหรับคนหยาบกระด้างเช่นข้า มันเป็นภาพวาดเขียนอักษรธรรมดา ๆ เท่านั้น เพียงแขวนไว้เป็นของตกแต่งก็พอแล้ว พี่ภรรยาไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
อันอวี้มองเซี่ยคุนด้วยสายตาพราวระยับราวกับดวงดาว
เหตุใดเขาจึงยอดเยี่ยมเช่นนี้?
เดิมทีอันอวี้คิดว่าเซี่ยคุนมาพบอันอี้หางพอเป็นพิธี แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเตรียมของขวัญไว้ล่วงหน้าและจัดการทุกอย่างไว้หมดแล้ว
เซี่ยคุนบีบมืออันอวี้อยู่ใต้โต๊ะ
สาวน้อยคนนี้จ้องมองเขาไม่ละสายตา ไม่เห็นหรือไรว่าพี่ชายของนางเริ่มมองด้วยสายตาเย้าแหย่แล้ว?
“อะแฮ่ม” อันอี้หางกระแอมเบา ๆ
เท่านั้นเองอันอวี้จึงรู้สึกตัว
ใบหน้าของนางแดงเรื่อ มือก็รินสุราให้พวกเขาสองคน
เมื่อไม่มีคนเช่นอวี้ซื่อคอยขัด บรรยากาศระหว่างสามคนจึงดีมากทีเดียว
เซี่ยคุนเพิ่งทานอาหารมา ท้องจึงไม่หิวนัก หลัก ๆ แล้วเพียงแค่ดื่มสุรากับอันอี้หางเท่านั้น
“วันนี้ค่อนข้างรีบร้อนมาหาจึงไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสม พรุ่งนี้ข้าเชิญเจ้ากับสหายร่วมชั้นของเจ้าไปดื่มสุราที่ภัตตาคารเป็นอย่างไร?” เซี่ยคุนถาม
ก่อนหน้านี้ยังคิดจะเชิญอวี้ซื่อไป อย่างไรเสียอวี้ซื่อก็เป็นมารดาของสองพี่น้อง ทว่าเมื่อพบนางในวันนี้แล้ว เขาคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทอีก ไม่เช่นนั้นคงเสียบรรยากาศเป็นแน่!
“พรุ่งนี้… ลู่เซวียนคงเชิญคนจากสำนักบัณฑิตไปกระมัง?” อันอี้หางเอ่ย “ข้าควรจัดแยกกับเขา รอเขาจัดงานเลี้ยงเสร็จ ข้าค่อยเชิญท่านอาจารย์และสหายมาดื่มสุราดีกว่า”
“เช่นนั้นก็วันมะรืน วันมะรืนพวกเขาจะจัดงานเลี้ยงให้คนงานในร้าน ทว่าไม่กระทบกับสิ่งใด พวกเจ้าจัดด้านบน พวกเขาจัดอยู่ด้านล่างเช่นนี้ก็ได้” เซี่ยคุนกล่าว
“ต้องหารือกับฮูหยินลู่สักหน่อยหรือไม่?” อันอี้หางเอ่ยขึ้น
“ข้าจะไปบอกกล่าวฮูหยินสักหน่อย ฮูหยินไม่คิดอะไรกับเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้” เซี่ยคุนกล่าว “ต่อไปพี่ภรรยาก็ต้องเตรียมตัวสอบฮุ่ยซื่อ*[1]แล้ว หากต้องการให้ข้าช่วยเรื่องอะไร ขอเพียงแค่กล่าวออกมา”
อันอวี้นั่งรินสุราและคอยคีบอาหารให้อยู่ข้าง ๆ
สำหรับนางแล้ว พี่ชายและสามีเป็นบุรุษที่สำคัญที่สุด เมื่อพวกเขาสามารถดื่มกินด้วยกันอย่างกลมเกลียวเช่นนี้ได้ นางที่มองอยู่ข้าง ๆ ก็ดีใจยิ่ง
“น้องสาว อยู่ที่ร้านสาวทอผ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” อันอี้หางเอ่ยถามอันอวี้
เมื่ออันอวี้เอ่ยถึงอาจารย์ สหายที่ร้านสาวทอผ้า และสิ่งที่นางได้เรียนรู้ในแต่ละวัน แววตาของนางก็เป็นประกายระยิบระยับ
ตอนนี้นางไม่มีปมด้อยอีกแล้ว ราวกับบุปผาที่เบ่งบาน นางเผยรูปโฉมที่งดงามที่สุดออกมา
สองชั่วยามต่อมา เซี่ยคุนจึงพาอันอวี้กลับไป
อันอี้หางดื่มสุราไปเล็กน้อยจึงเมามาย เขากลับเข้าไปพักผ่อนในห้องตนเอง
ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่หลับสนิทเป็นพิเศษอีกคืนหนึ่ง
หลายปีมานี้เขาลำบากตรากตรำเล่าเรียนก็เพื่อให้มีรายชื่อบนป้ายทอง บัดนี้เหลืออีกเพียงหนึ่งก้าว ชื่อก็จะได้ปรากฏในป้ายทองแล้ว หินที่กดทับหัวใจมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ถูกยกออกเสียที
อันอี้หางตื่นขึ้นเพราะเสียงด่าทอต่อว่า
“คนอกตัญญูจะต้องถูกฟ้าผ่าตายเข้าสักวัน นี่ไม่ใช่ลูกเขย แต่เป็นหมาบ้าตัวหนึ่ง”
“ท่านแม่…” อันอี้หางเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าซับซ้อน “ท่านเป็นอะไรไป?”
“หานเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าอย่าได้ไปคบค้าสมาคมกับเจ้าคนแซ่เซี่ยอีก เจ้าไม่รู้ว่า…”
อวี้ซื่อพ่นความคับข้องใจที่นางได้รับเมื่อคืนออกมาจนหมด
หลังจากกล่าวจบ นางก็ปาดน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้น “นี่เป็นลูกเขยหรือ? ลูกเขยที่ใดปฏิบัติต่อแม่ยายเช่นนี้? ข้าไม่ควรให้อันอวี้แต่งออกไปกับคนเช่นนั้นตั้งแต่แรก เจ้าว่ายังมีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้อีก?”
อันอี้หางนึกไม่ถึงว่า ‘ท่านแม่ยายไปพักผ่อนแล้ว’ ของเซี่ยคุนจะมีความหมายเช่นนี้
เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
ทว่าเมื่อเห็นสภาพของอวี้ซื่อ เขาก็คิดว่าการที่เซี่ยคุณทำเช่นนั้นก็ไม่แปลกนัก
“ท่านแม่ เขาเป็นคนสนิทของใต้เท้าลู่” อันอี้หางกล่าว “ท่านรู้หรือไม่ว่าใต้เท้าลู่ให้ความสำคัญกับเขาเพียงใด? ว่ากันตามตรง แม้เขาจะบอกว่าตนเป็นคนรับใช้ แต่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าครอบครัวลู่ไม่ได้ปฏิบัติกับเขาอย่างบ่าวเลย เขาเป็นคนมีความสามารถ ภายหน้าเกรงว่าเขาจะรุ่งเรืองขึ้นไปอีก น้องสาวข้าดองกับเขาแล้ว หากพวกเรากลมเกลียวกัน ภายหน้าเขาย่อมช่วยพวกเราได้มาก การที่ท่านเกลียดชังเขา ทั้งยังทำร้ายน้องสาวข้าเช่นนี้ ไม่มีผลดีอะไรต่อเราแม้แต่น้อย”
“สถานะคนใช้ของเขาจะมีประโยชน์อะไร?” อวี้ซื่อเอ่ยเหยียดหยาม
“ท่านแม่ ข้าจะซื้อบ้านเล็ก ๆ ในชนบทให้ท่านสักหลัง ท่านกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดเถอะ!” อันอี้หางหลุบตาลง “ท่านสร้างศัตรูไปทุกที่เช่นนี้ เกรงว่าภายหน้าคงสร้างความเดือดร้อนให้ข้า บางทีท่านอาจเหมาะกับการใช้ชีวิตอยู่ในชนบทมากกว่า”
อวี้ซื่อมองลูกชายด้วยความตกตะลึง “เจ้าอยากไล่ข้าไปงั้นหรือ?”
“ข้าเพียงคิดว่าท่านต้องสงบจิตสงบใจสักพัก” อันอี้หางกล่าว “จริงสิ น้องเขยจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงให้ข้าคืนพรุ่งนี้ ถึงตอนนั้นข้าจะจัดงานเลี้ยงเฉพาะเหล่าสหาย ท่านแม่ไม่ต้องไปจะดีกว่า อย่างไรเสียท่านก็ไม่รู้จักผู้ใด อยู่ที่นั่นเพียงคนเดียวคงอึดอัด”
จากนั้นอันอี้หางก็กลับเข้าห้องไป
เมื่อคืนนี้เขาดื่มมากเกินไปหน่อย หัวยังคงปวดตุบ ๆ
“แต่ละคนล้วนเกลียดข้า…” อวี้ซื่อร้องไห้ฟูมฟาย “ข้าจะไป ข้าจะไป คอยดู…”
วันนี้เมืองฮู่เป่ยคึกคักเป็นอย่างมาก เวินเหวินซงนำเจ้าหน้าที่จำนวนมากมาลงทะเบียนรับสมัครอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มแข็งแรงกำยำที่ยินดีใช้แรงงานชำระภาษีต้องลงบันทึกประวัติไว้เพื่อความสะดวกต่อการจัดเก็บข้อมูล
หนิวเหมยผลักมู่ต้าซานเข้าไปในฝูงชน
มู่ต้าซานแสดงสีหน้าอับอาย “เจ้าอย่าผลัก ข้าจะออกไปแล้ว”
“ท่านเป็นเขยแต่งเข้า ถ้าท่านไม่ไปผู้ใดจะไป? ท่านคงไม่ให้ท่านพ่อท่านแม่ข้าไปหรอกนะ” หนิวเหมยกล่าว “ตอนนี้ร่างกายท่านไม่แข็งแรง ท่านทำงานระยะยาวไม่ได้ ครอบครัวเราไม่มีรายได้แม้แต่น้อย”
สายตาจากทุกทิศทุกทางจับจ้องมาที่เขา
มู่ต้าซานก้มหัวลง เดินไปข้างหน้าพร้อมกับกลุ่มคน
“ท่านลุง ร่างกายของท่าน…” เจ้าหน้าที่ส่ายหัว “ย่ำแย่เกินไปแล้ว เกรงว่าจะไม่สามารถทำงานใช้แรงหนัก ๆ เช่นนี้ได้”
“ร่างกายของเขาแข็งแรง” หนิวเหมยที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ย “น้องชาย ท่านให้เขาผ่านเถอะ! ครอบครัวพวกเรามีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถใช้แรงงานได้ ไม่มีผู้อื่นอีกแล้ว ท่านต้องเหลือทางรอดให้เราบ้างสิ”
[1] ฮุ่ยซื่อ คือ การสอบระดับประเทศ หลังจากสอบผ่านระดับนี้แล้ว ต่อไปจึงจะเป็นการสอบหน้าพระที่นั่ง