สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 385 สินค้าตระกูลโจว
บทที่ 385 สินค้าตระกูลโจว
บทที่ 385 สินค้าตระกูลโจว
บ่าวรับใช้นำชามาให้
เวินเหวินซงทำท่าทางเชื้อเชิญ “เชิญจิบชา”
โจวป๋อเหวินกล่าวขอบคุณ
หลังจากจิบชาไปอึกหนึ่ง โจวป๋อเหวินก็เริ่มอธิบายจุดประสงค์ของตน
“ใต้เท้าเข้าใจอะไรผิดหรือไม่? ตระกูลโจวของเราทำการค้าอย่างซื่อสัตย์สุจริต พวกเราย่อมไม่กล้าทำผิดกฎหมายอย่างแน่นอน”
เวินเหวินซงจิบชาไปพลาง ดวงตาฉายแววเย้ยหยัน
ทำการค้าซื่อสัตย์สุจริต?
หากไม่ใช่เพราะเซี่ยคุนหาข้อมูลมาได้ ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อว่าตระกูลโจวที่มีภาพลักษณ์เป็นผู้ใจบุญสุนทานจะทำเรื่องสกปรกอยู่ลับ ๆ มากมายเพียงนั้น
“ระยะนี้มีพ่อค้าวาณิชหลั่งไหลเข้ามายังเมืองฮู่เป่ยจำนวนมาก จึงต้องเข้มงวดกวดขันยิ่งกว่าเดิม ท่านเพียงถูกคนเบื้องล่างร้องเรียนมา ตามหลักแล้วอาจไม่มีอะไรผิด”
“ข้าเชื่อว่าพรุ่งนี้คุณชายโจวและตระกูลจะไปที่ศาลาว่าการเพื่อให้รายละเอียดที่จำเป็น หากมีข้อสงสัยใด ๆ ข้าจะส่งคนไปเชิญคุณชายโจวมาถามไถ่ วันนี้เย็นมากแล้ว คุณชายโจวรีบพักผ่อนจะดีกว่า”
โจวป๋อเหวินเห็นเวินเหวินซงมีท่าทีสุภาพ ทั้งสิ่งที่กล่าวมาก็มีเหตุผล จึงผ่อนคลายลงได้มาก
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนใต้เท้าปลัดอำเภอช่วยดูแลแล้ว” โจวป๋อเหวินเอ่ย จากนั้นจึงเหลียวมองผู้ติดตามของตน
ผู้ติดตามส่งกล่องใบเล็ก ๆ กล่องหนึ่งให้ทันที
“นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ใต้เท้าปลัดอำเภอโปรดรับไว้”
เวินเหวินซงไม่ขยับเขยื้อน ทว่าบ่าวข้างกายเขากลับยื่นมือออกไป
บ่าวรับใช้รับกล่องไว้แล้วเอ่ยว่า “ผู้น้อยจะไปส่งคุณชายโจวกลับ เชิญทางนี้ขอรับ”
เมื่อเห็นบ่าวรับใช้ส่งโจวป๋อเหวินกลับไปแล้ว เวินเหวินซงก็ตะโกนออกไปด้านนอก “รีบนำอาหารมาเร็วเข้า! ข้าหิวจะตายแล้ว”
บ่าวรับใช้กลับมาระหว่างเวินเหวินซงกำลังรับประทานอาหาร
เขานำกล่องออกมาวางตรงหน้าเวินเหวินซงแล้วเอ่ยว่า “นายท่าน คุณชายโจวผู้นั้นมอบตั๋วเงินให้บ่าวขอรับ”
จากนั้นเขาจึงหยิบตั๋วเงินออกมา
เวินเหวินซงสะบัดมือ “มอบให้เจ้าก็เป็นของของเจ้า”
บ่าวผู้นั้นซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เขาถอยหลังไปสองสามก้าว ยืนอยู่ข้าง ๆ รอให้เวินเหวินซงสั่งการ
เวินเหวินซงรับประทานอาหารด้วยกิริยาท่าทางที่เรียบร้อยยิ่ง เขาเปิดกล่องใบนั้นออกแล้วดูข้างในพลางเดาะลิ้น “ผลงานชั้นเยี่ยม! หินโมราชั้นเลิศถึงเพียงนี้…”
วันต่อมา เวินเหวินซงวางกล่องนั้นลงตรงหน้าลู่อี้
ลู่อี้เหลือบมอง จากนั้นจึงกล่าวว่า “เจ้าเก็บไว้เถอะ”
“ให้ข้าจริง ๆ หรือ?” เวินเหวินซงระแวง ทว่ามือเขาไม่ได้ระแวงด้วย
เขาหยิบกล่องใบนั้นไปกอดไว้ในอ้อมอกไม่ยอมปล่อย “หินโมราชิ้นนี้อย่างน้อยก็มีราคาพันตำลึงเงิน คนแซ่โจวผู้นี้ช่างใจกว้างจริง ๆ กับปลัดอำเภอคนหนึ่งยังใจกว้างถึงเพียงนี้ หากเปลี่ยนมาประจบท่าน ไม่รู้ว่าจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่เพียงใดมาให้”
“นั่นขึ้นอยู่กับว่าภายหน้าเจ้าจะทำข้อตกลงอะไรกับเขา” ลู่อี้เอ่ยเบา ๆ “ข้าไม่มีเวลาไปสนใจเขา”
“เช่นนั้นสินค้า…”
“คืนให้เขา”
“น่าสงสารคนแซ่โจวผู้นี้ที่ต้องมาตกอยู่ในกำมือท่าน! ยอมรับเลยว่าตระกูลโจวไม่ทำให้พวกเราผิดหวังจริง ๆ ตลอดหลายปีมานี้ พวกเขาทำเรื่องเลวร้ายมากมาย บางทีตอนนั้นที่กิจการของพ่อแม่ท่านล้มเหลว เกรงว่าตระกูลโจวอาจมีส่วน!”
“ข้าเพียงแค่อยากสืบหาความจริงที่เกิดขึ้นในปีนั้น” ลู่อี้กำพู่กันในมือแน่น
“ท่านไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” เวินเหวินซงกล่าว “หากพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องจริง ๆ พวกเราย่อมไม่ปล่อยไปแน่นอน”
โจวป๋อเหวินยืนอยู่ด้านนอกศาลาว่าการ เขามองนักการขนสินค้าออกมา โดยมีเวินเหวินซงตามมาด้านหลัง
เขารีบเข้าไปทักทาย เอ่ยกับเวินเหวินซงว่า “ขอบคุณใต้เท้าปลัดอำเภอ”
“เฮ้อ ข้าเป็นเพียงปลัดอำเภอตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ข้าจะกล้าให้ท่านเรียกว่า ‘ใต้เท้า’ ได้อย่างไร? เอาอย่างนี้เถอะ เจ้าและข้าพบพานครั้งแรกก็คุ้นเคยดั่งสหายเก่า ไม่สู้คบหากันเป็นพี่น้องเป็นอย่างไร ข้าเห็นว่าข้าอายุมากกว่าน้องโจวสองปี เช่นนั้นข้าเป็นพี่ใหญ่ก็แล้วกัน”
“นับว่าเป็นเกียรติของข้าแล้ว พี่เวิน ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริง ๆ ไม่รู้ว่าวันนี้ท่านพอจะมีเวลาว่างหรือไม่ หากพอมีเวลาว่าง เช่นนั้นไปดื่มกันสักสองสามจอกเป็นอย่างไร?” โจวป๋อเหวินกล่าว
“ตอนนี้ไม่ได้ ข้ายังมีงานต้องทำ เอาอย่างนี้ ตอนเย็นพวกเราไปดื่มสักสองสามจอกเป็นอย่างไร ถือเสียว่าฉลองที่ได้พบสหายใหม่”
เวินเหวินซงมองตามหลังโจวป๋อเหวินที่หายลับไป
“เทียบกับการการอนุมัติเอกสารแล้ว การทำแบบนี้เหนื่อยกว่าเสียอีก ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดใต้เท้าลู่จึงใจกว้าง นี่เป็นงานที่ต้องทำด้วยใจจริง ๆ!”
“ท่านอาเวิน” ลู่จื่ออวิ๋นยืนอยู่ตรงหน้าเวินเหวินซง “ท่านกำลังมองอะไรหรือเจ้าคะ? ข้าเห็นท่านยืนนิ่งอยู่ตรงนี้นานแล้ว ข้าเรียกท่านอยู่นานสองนานแต่ท่านกลับไม่สนใจ”
เวินเหวินซงมองลู่จื่ออวิ๋นที่ดูงดงามราวกับเซียนตัวน้อย ๆ พลันรู้สึกอิจฉาลู่อี้ขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกสาวน่ารักเช่นนี้เขาก็อยากมีเช่นกัน ต่อให้มีมากถึงสิบคน เขาก็จะไม่เกี่ยงเลยแม้แต่น้อย
“อวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้เจ้าไม่ยุ่งหรือ?”
“ยุ่งเจ้าค่ะ!” ลู่จื่ออวิ๋นตอบ “วันนี้ข้าว่าจะมาตัดเสื้อผ้าให้ท่านพ่อสักชุด”
“โอ้? ตอนนี้เจ้าตัดเสื้อผ้าด้วยตัวเองได้แล้วหรือ” เวินเหวินซงเอ่ยล้อ “เช่นนั้นเจ้าทำเสื้อผ้าให้ข้าสักชุดเป็นอย่างไร”
“เช่นนั้น ท่านต้องไปสั่งตัดที่ร้านสาวทอผ้าก่อน เสื้อผ้าของท่านพ่อก็ยังเป็นท่านแม่ที่สั่งตัดเลย” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “นี่เป็นกฎของร้านสาวทอผ้า เราไม่อาจฝ่าฝืน”
“เจ้าหนูคนนี้…”
“อวิ๋นเอ๋อร์ ถึงเวลาทำงานของพวกเราแล้ว” ฮั่วอวิ๋นซิ่วเตือน
ในตอนนั้นเอง เวินเหวินซงจึงได้หันไปสนใจฮั่วอวิ๋นซิ่ว
ฮั่วอวิ๋นซิ่วก็เหมือนชื่อของนาง หน้าตางดงาม ร่างกายเปล่งประกายความนุ่มนวลสง่างามออกมา
เวินเหวินซงเอ่ยว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ ไม่แนะนำข้าหน่อยหรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองฮั่วอวิ๋นซิ่ว จากนั้นจึงหันกลับมาหาเวินเหวินซง “นี่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเรา แซ่ฮั่ว”
“แม่นางฮั่ว” เวินเหวินซงประกบมือไปทางฮั่วอวิ๋นซิ่ว “ทำให้พวกท่านล่าช้าแล้ว ทว่าวันนี้ใต้เท้าไม่อยู่ที่ศาลาว่าการ เกรงว่าพวกท่านจะมาเสียเที่ยว”
“เช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงมาผิดเวลาแล้ว” ฮั่วอวิ๋นซิ่วลำบากใจ
“พวกท่านเพียงแค่อยากรู้ขนาดเสื้อผ้าของใต้เท้าไม่ใช่หรือ? อันที่จริง ข้าก็รู้ขนาดตัวเขาเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องมาวัดใหม่หรอก” เวินเหวินซงเอ่ย “ไม่นานมานี้ต้องสวมใส่ชุดขุนนาง ก็เป็นข้าที่แจ้งขนาดชุดของใต้เท้าให้”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” ฮั่วอวิ๋นซิ่วกล่าว “รบกวนใต้เท้าเวินบอกขนาดตัวของเขาแก่พวกเราด้วย”
เวินเวินซงแจ้งขนาดตัวของลู่อี้
ฮั่วอวิ๋นซิ่วเขียนบันทึกลงไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
“แม่นางฮั่ว ไม่เช่นนั้น… ท่านช่วยตัดชุดให้ข้าสักชุดเป็นอย่างไร?” เวินเหวินซงเอ่ย “ข้ายุ่งมาก ท่านช่วยลงลำดับให้ข้า จากนั้นเมื่อตัดเสร็จก็แค่นำมาส่ง”
ขณะที่เอ่ย เขาก็ยื่นตั๋วเงินส่งให้
“ท่านอาเวิน ท่านไม่ได้บอกให้ข้าเป็นคนตัดให้หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นมองเวินเหวินซง ดวงตาคู่นั้นราวกับมองออกทะลุปรุโปร่ง “ตอนนี้เปลี่ยนใจมาให้ศิษย์พี่หญิงของข้าทำแล้ว หรือว่าท่านรังเกียจฝีมือของข้า?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” เวินเหวินซงเอ่ย “ข้าเพียงแต่กลัวว่าเจ้าจะเหน็ดเหนื่อย เจ้าฝึกปรือฝีมือจนเชี่ยวชาญแล้ว ทว่ายังเด็กนัก ไม่มีแรงมากมายถึงเพียงนั้น”
ลู่จื่ออวิ๋นทำท่าทีราวกับกำลังขบคิด
เวินเหวินซงยิ่งรู้สึกผิดขึ้นเรื่อย ๆ
“ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ขอตัวล่ะ”
ฮั่วอวิ๋นซิ่วค่อย ๆ ยกยิ้มขึ้นมา “ท่านอาผู้นี้ของเจ้าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว”
“เขาซื่อบื้อเล็กน้อย” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “แต่อันที่จริง เขาเป็นคนที่ไม่เลวเลย”
มู่ซืออวี่นั่งรถม้า รีบร้อนไปที่ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’
ท้ายที่สุดนางก็นึกถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดออก อีกไม่นาน นางอาจจะไขกล่องลึกลับของบรรพบุรุษหร่วนฉีได้
“เหตุใดไม่มีคนเลยเล่า?” จื่อซูเอ่ย “ร้านเพียงหนึ่งเดียวกิจการไม่ดีหรือ?”
“ประตูไม่ได้ปิด ข้างในก็มีเสียง คงมีคนอยู่ในบ้าน” จื่อเยวี่ยนฟังเสียงข้างใน
“บ่าวจะเข้าไปดูเจ้าค่ะ” จื่อซูผลักประตูออกแล้วเดินเข้าไป
ผ่านไปสักพัก เสียงตื่นตระหนกก็ดังขึ้นมาจากข้างใน “เจ้าคิดจะทำอะไร!”
มู่ซืออวี่และจื่อเยวี่ยนได้ยินเสียงผิดปกติ จึงก้าวผ่านประตูเข้าไปทีละคน
ทั้งคู่เดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว บุรุษในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยผู้หนึ่งก็วิ่งออกมาข้างนอกอย่างตื่นตระหนกและชนเข้ากับจื่อเยวี่ยน เขาเซเล็กน้อย จากนั้นก็วิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
“จับเขาไว้!” จื่อซูไล่ตามเขาออกมาแล้วร้องบอก “คนผู้นั้นเหยียดหยามเถ้าแก่เนี้ยฉี!”