สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 387 สามีที่เต็มไปด้วยพิษของลมหึง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 387 สามีที่เต็มไปด้วยพิษของลมหึง
บทที่ 387 สามีที่เต็มไปด้วยพิษของลมหึง
บทที่ 387 สามีที่เต็มไปด้วยพิษของลมหึง
สีหน้าของหร่วนฉีอึมครึมลง
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาพลันกำหมัดแน่น “ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ใด?”
เขาจะไปฆ่ามัน!
“ข้าแจ้งทางการแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในคุก” มู่ซืออวี่กล่าว “แต่ข้าได้ยินว่าคนผู้นี้เป็นน้องชายของใต้เท้าจาง ข้าไม่รู้ว่าสามีของข้าจะจัดการกับเขาอย่างไร”
หร่วนฉีเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เพียงแค่ปล่อยเขาออกมาก็พอ”
มีวิธีการมากมายที่จะทำให้ไอ้คนประเภทนั้นอยู่ไม่สู้ตาย ไม่จำเป็นต้องให้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมายหรอก
ในเมื่อแตะอีกฝ่ายซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้ เช่นนั้นลอบจัดการไม่ง่ายกว่าหรือ?
ทว่าคำพูดเหล่านี้เขาไม่อาจบอกมู่ซืออวี่ได้
“เกิดอะไรขึ้นกับร้านของเจ้า? ไม่ใช่ว่าผู้จัดการฮวาอยู่ที่นี่ประจำหรือ? ปกติร้านของเจ้าขายดี เพียงแต่วันนี้ร้านปิด จึงไม่มีผู้จัดการและคนดูแลร้านอยู่ที่นี่เลย”
หากในร้านมีคนอยู่สักหน่อย คนผู้นั้นคงไม่กล้าลอบเข้ามากระทำเรื่องอุกอาจไร้ความละอายใจเช่นนี้
“ที่บ้านผู้จัดการฮวาเกิดเรื่อง ข้าเห็นว่าเขาไม่อยู่ จึงตัดสินใจให้คนดูแลร้านไปพักผ่อนสักสองสามวัน” หร่วนฉีเอ่ย “ไม่นึกว่าครั้งนี้ข้าจะป่วยขึ้นมา”
มู่ซืออวี่มองหร่วนฉี นางแตะหน้าผากเขาดู จากนั้นจึงยกมือขึ้นแตะหน้าผากตนเอง
แววตาของหร่วนฉีพลันวูบไหว ในขณะที่มู่ซืออวี่ขึ้นเอ่ยว่า “เจ้ายังมีไข้อยู่เล็กน้อย ทานยาสักสองชุดคงดีขึ้น”
“ขอบคุณ”
“เจ้าคิดหรือไม่ว่าการที่บ้านผู้จัดการฮวาเกิดเรื่อง การที่เจ้าเป็นไข้ และการที่ประตูไม่ได้ลงกลอนไว้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?” มู่ซืออวี่กล่าวย้ำ “แน่นอนว่าข้าไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด นี่เป็นเพียงการคาดเดา เพียงแต่สัมผัสที่หกของสตรีมักจะแม่นยำเสมอ ข้าคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนผิดที่ผิดทาง บางทีเจ้าน่าจะลองตรวจสอบคนรอบกายดู”
“ข้าก็สงสัยเช่นกัน” หร่วนฉียิ้มบาง ๆ “เรื่องนี้ พวกเราพอจะมีความเห็นตรงกันอยู่บ้าง”
“เช่นนั้นข้างกายของเจ้ามีบ่าวรับใช้หรือไม่? หากเจ้ายังหาคนไม่ได้ ข้าเตรียมให้เจ้าสักสองคนดีหรือไม่?”
“ไม่ต้องหรอก ข้ามีบ้านอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวรบกวนเจ้าส่งข้ากลับบ้านก็พอ ที่นั่นมีบ่าวรับใช้คอยดูแลข้า”
“ได้”
หร่วนฉีเป็นบุรุษตัวสูงใหญ่ผู้หนึ่ง มู่ซืออวี่และสาวใช้สองคนเคลื่อนย้ายเขาไม่สะดวกนัก พวกนางจึงต้องออกไปพาชายหนุ่มร่างกายแข็งแรงสองสามคนมา
พวกนางยังช่วยประคองหร่วนฉีไปสวมเสื้อผ้าของบุรุษ พาขึ้นรถม้า จากนั้นจึงไปส่งเขาที่บ้าน
หลังจากเกิดเรื่องราววุ่นวายหลายอย่างขึ้น เรื่องการเปิดสลักกลไกกล่องของหร่วนฉีก็ถูกพับลงไปอีกครั้ง
“ฮูหยิน เถ้าแก่ฉีเป็นบุรุษ แต่ก่อนท่านไปไหนมาไหนใกล้ชิดกับเขาเพียงนั้น…” จื่อเยวี่ยนลอบมองนาง “หากถูกเล่าลือออกไป จะทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้นะเจ้าคะ”
“อย่างแรก ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นบุรุษ อย่างที่สอง ถึงแม้ข้าจะเข้าใจว่าเขาเป็นสตรี แต่ข้าก็เข้ากับเขาได้เป็นอย่างดี อย่างสุดท้าย เจ้าคิดว่าเรื่องที่เขาปลอมเป็นสตรีสามารถบอกให้คนอื่นรู้ได้หรือ? ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดบุรุษแล้ว อย่างมากก็แค่บอกว่าหร่วนฉีคนก่อนเป็นน้องสาวฝาแฝด บัดนี้มีพี่ชายมาสานต่อกิจการให้” มู่ซืออวี่เอ่ย “แน่นอนว่าภายหน้าข้าต้องหลบเลี่ยงข้อครหาให้ดี”
สิ่งที่จื่อเยวี่ยนอยากได้ยินที่สุดคือประโยคสุดท้าย เมื่อเห็นว่าใจผู้เป็นนายทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี นางก็รู้สึกโล่งใจ
“แต่ฮูหยินเจ้าคะ เถ้าแก่ฉีรูปโฉมงดงามจริง ๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษจะงามได้ถึงเพียงนี้” ด้านจื่อซูกลับไม่รู้ประสา นางไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงใด
มู่ซืออวี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ก่อนหน้านี้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าบุรุษจะสามารถมีรูปโฉมงดงามกว่าสตรีได้ อีกทั้งยังงามเสียจนไม่รู้สึกขัดตาแม้แต่น้อย คนอื่น ๆ จึงมองไม่ออก”
ทันทีที่ลู่อี้กลับมาถึงศาลาว่าการก็ได้รู้ว่ามู่ซืออวี่จับหัวขโมยผู้หนึ่งมาจากถนนได้ ตามที่ต้าหนิวรายงานมา คนผู้นี้เป็นน้องชายของใต้เท้าจางขุนนางเบื้องบนที่มีตำแหน่งเหนือเขา
“ใต้เท้า เรื่องนี้ชวนปวดหัวยิ่งนักใช่หรือไม่?” ต้าหนิวมองลู่อี้
หลังจากผ่านอะไรมามากมายเพียงนี้ เขาไม่ใช่ชาวนาที่รู้จักแต่ทำไร่ไถนาในชนบทอีกต่อไป เขารู้เล่ห์กลในแวดวงขุนนางมากมาย
ถึงแม้ลู่อี้จะเริ่มมีหน้ามีตาขึ้นมา ทว่านั่นก็แค่ในเมืองฮู่เป่ยเท่านั้น สำหรับที่อื่น เขาเป็นเพียงขุนนางตัวเล็ก ๆ ผู้ใดก็ตามที่มีตำแหน่งสูงกว่าล้วนสามารถบดขยี้เขาให้ตายได้
“เจ้าคิดว่าฮูหยินไม่ควรจับเขากลับมาใช่หรือไม่?” ลู่อี้ถามกลับ
“เป็นเช่นนั้นไม่ได้ ฮูหยินไม่อาจทนต่อเม็ดทรายที่เข้าตานาง คนพรรค์นี้ควรถูกจับ เพียงแต่สำหรับใต้เท้าแล้ว เขาคงเป็นตัวปัญหาใช่หรือไม่?”
“ใต้เท้าจางมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับน้องชาย ยิ่งน้องชายผู้นี้ ใต้เท้าจางเลี้ยงมาเองกับมือ จึงรักใคร่ห่วงใยเขาเป็นอย่างมาก”
“เช่นนั้นนี่ไม่เลวร้ายกว่าเดิมหรือ?”
“เจ้าคิดว่าเขาเป็นขุนนางอย่างไร?” ลู่อี้ถาม
“ข้าน้อยไปสอบถามมาแล้วขอรับ ใต้เท้าจางผู้นี้เป็นขุนนางมือสะอาด อีกทั้งยังมีชื่อเสียงในหมู่ราษฎรว่าเป็นขุนนางที่ดี” ต้าหนิวตอบ
“ใช่! เป็นขุนนางใสซื่อมือสะอาด อีกทั้งยังมีชื่อเสียงที่ดี คำกล่าวเช่นนี้เจ้าไม่รู้สึกคุ้นเคยหรือ?” ลู่อี้ไม่ได้ปล่อยให้ลู่หนิวสงสัยนาน เขาอธิบายต่อทันที “แต่ก่อนใต้เท้าฉินก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้หรือ?”
“ใช่แล้ว แต่ก่อนใต้เท้าฉินก็เป็นเช่นนี้”
“หากขุนนางยังทะนุถนอมขนนก*[1] ของตน นั่นหมายความว่าเขายังไม่บรรลุเป้าหมาย เขาต้องการปีนป่ายขึ้นไปสูงกว่านี้ ระหว่างครอบครัวที่รักกับตำแหน่งขุนนาง เจ้าว่าเขาจะเลือกอย่างไร?”
“สำหรับฮูหยิน หากใต้เท้าลำบากใจก็สามารถลงโทษเขาเพียงเล็กน้อยเพื่อป้องกันเรื่องใหญ่ได้ เช่นนี้ก็จะถือว่าเป็นการตักเตือน” ต้าหนิวถอดความตั้งใจของมู่ซืออวี่ออกมา
ลู่อี้ส่ายศีรษะเบา ๆ “ลำบากใจอันใดกัน? ฮูหยินส่งความสำเร็จทางการเมืองมาถึงมือข้าแล้ว หากข้ายังคว้าไว้ไม่ได้อีก เช่นนั้นชีวิตคงจบลงเพียงเท่านี้”
ต้าหนิวฟังลู่อี้ไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ทว่าเขาเข้าใจอยู่สิ่งหนึ่ง นั่นคือเรื่องนี้ไม่ยุ่งยากสำหรับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย รู้เช่นนี้แล้ว อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญ เขาไม่คาดหวังว่าตนจะเข้าใจสิ่งที่ใต้เท้าคิดอยู่แล้ว
“ยังมีอีกเรื่องขอรับ” ต้าหนิวบอกเรื่องที่หร่วนฉีปลอมเป็นสตรีแก่ลู่อี้
ลู่อี้ “…”
หมายความว่าที่ผ่านมา ข้างกายฮูหยินมีสหายที่เป็นบุรุษหน้าตางดงามปลอมตัวเป็นสตรีอยู่ใกล้ ๆ อย่างนั้นหรือ?
เทียบกับเรื่องก่อนหน้านี้ เรื่องนี้กลับทำให้เขาคับอกคับใจกว่าเสียอีก
ข้างนอกมีเสียงพูดคุยดังขึ้น ดูเหมือนมู่ซืออวี่จะกลับมาแล้ว
“น่าจะมาเพราะคดีนี้” ต้าหนิวเอ่ย “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
ลู่อี้พยักหน้า
ต้าหนิวพบมู่ซืออวี่ที่หน้าประตูจึงคำนับนาง จากนั้นก็เดินออกไป
“พวกท่านกำลังยุ่งอยู่ใช่หรือไม่? หากยุ่งอยู่ ข้าจะได้ไม่รบกวนแล้ว” มู่ซืออวี่นั่งลงตรงข้ามเขา
“มาเพราะเรื่องสหายผู้นั้นของเจ้าหรือ?” ลู่อี้กัดฟันอย่างแรงขณะเอ่ยคำว่า ‘สหาย’ ออกมา
มู่ซืออวี่รู้สึกผิดเล็กน้อย ทว่าเมื่อคิดดูแล้ว เหตุใดนางต้องรู้สึกผิดด้วยเล่า? หากอีกฝ่ายเป็นบุรุษแล้วจะเป็นสหายกันไม่ได้หรือไร?
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นบุรุษ แต่ตอนนี้รู้แล้ว ภายหน้าข้าจะคอยหลบเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อครหา ข้าชื่นชมความสามารถของเขา ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าความสัมพันธ์แบบสหายแม้แต่น้อย” มู่ซืออวี่ยังคงอธิบาย
“ข้ารู้” ลู่อี้เลิกแกล้งนาง แล้วบอกแผนของตนให้ฟัง “ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะลำบากใจ หากรู้จักใช้ประโยชน์ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ย่อมเป็นผลดีต่อข้า”
“ระหว่างนี้ท่านควรจัดการเขาให้หนัก สะสางให้เรียบร้อยก่อนที่จะดำเนินแผนต่อไป การมีอยู่ของคนพรรค์นี้ช่างหนักโลกเสียจริง” มู่ซืออวี่กล่าว “นอกจากนี้ ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากทำ”
“เจ้าว่ามา…”
มู่ซืออวี่ย้ายเก้าอี้ไปใกล้ ๆ ลู่อี้ แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากสร้างสะพาน”
[1] ทะนุถนอมขนนก หมายถึง รักษาชื่อเสียง