สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 391 การค้นพบสุดสะเทือนโลก กรุงปักกิ่งกว้างใหญ่ ผู้คนก็มีจำนวนมาก การจะหาเคสกระดูกหักสักเคสก็ไม่ใช่เรื่องยาก! นอกจากนี้ยูเนียนยังเป็นศูนย์การแพทย์ชั้นนำในปักกิ่ง เป็นองค์กรที่มีหน่วยงานกู้ภัยฉุกเฉินมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแห่ง ไป๋เยี่ยจึงเชื่อว่าเกาเย่ว์หยางจะช่วยตนได้ ทันทีที่พยาบาลพาอัลสตันมาที่ศูนย์วิจัย ไป๋เยี่ยก็เดินเข้ามาอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟัง ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมให้ความร่วมมือด้วย! อันที่จริงไป๋เยี่ยตั้งใจจะไม่เก็บค่ารักษาจากเขาแล้ว ถึงแม้ว่าเงินไม่กี่หมื่นดอลลาร์จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับอีกฝ่าย แต่ไป๋เยี่ยก็ยังคงหวังว่าอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือกับงานวิจัยชิ้นนี้ อัลสตันมองไป๋เยี่ยด้วยแววตาซาบซึ้ง “ไม่ต้องลังเล ผมเชื่อในตัวคุณ อาชีพของผมก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ผมดีใจที่ได้อุทิศตนให้กับมนุษยชาติมากกว่า!” “ก็แค่เสียบท่อเล็กๆ เข้าไปเองนี่นา ฮ่าๆ เอาเลย ผมพร้อมแล้ว” อัลสตันมองโลกในแง่ดีมาก ไป๋เยี่ยดำเนินการผ่าตัดให้เขาอย่างรวดเร็ว ทว่าอัลสตันก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยไม่ได้ผ่าตัด แต่กลับทำกายภาพบำบัดให้เขาโดยอิงตามฟิล์มเอ็กซเรย์เหล่านั้น การรักษาเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น นี่เป็นครั้งแรกที่อัลสตันได้เห็นขั้นตอนการรักษาที่เร็วและตรงจุดขนาดนี้ เขาจึงมองไป๋เยี่ยในฐานะผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง! ทุกคนมองเห็นความผันผวนของระดับฮอร์โมนผ่านเครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนได้อย่างแม่นยำ ส่วนไป๋เยี่ยก็มุ่งความสนใจไปที่การรักษาและคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบคอบ เวลาผ่านไปช้าๆ ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนพร้อมกับสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของอัลสตัน ทันใดนั้น! นักวิจัยคนหนึ่งก็โพล่งขึ้นมา “ดูสิ! ปริมาณเซลล์กลืนกินเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว จำนวนเซลล์กระดูกก็เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันด้วย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” คำพูดของชายคนนั้นทำให้ทุกคนต้องตะลึง จากนั้นต่างคนก็ต่างเข้ามามุงสังเกตการณ์กันอย่างรอบคอบ เป็นดั่งที่คาดไว้ ทีมวิจัยเพิ่งจะเชื่อมต่อเครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนกับร่างกายของอัลสตันเมื่อสามนาทีที่แล้ว แต่ตอนนี้กลับเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่นาที ความผันผวนนั้นก็หายไปในพริบตา! โมลโดจึงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “ต่อเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าในกล้ามเนื้อและเครื่องตรวจจับปฏิกิริยาของกระดูกดูซิว่ากลไกทางสรีรวิทยามีความผิดปกติตรงไหนไหม!” ผู้คนรอบๆ จึงต่ออุปกรณ์และเริ่มตรวจสอบทันที หลังจากที่เชื่อมต่อเครื่องตรวจจับคลื่นไฟฟ้าแล้ว พบเขาก็พบว่าคลื่นไฟฟ้ามีความผิดปกติ นี่มันหมายความว่าอะไร หมายความว่าการแพร่กระจายสัญญาณมีความผิดปกติไงล่ะ! แล้วสัญญาณนี้มาจากไหน ไป๋เยี่ยตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เจอมันแล้ว ทุกคนตามหามันมานับหลายเดือน แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ และตอนนี้เขาก็เจอมันแล้ว เครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนจะแปลงสัญญาณการหลั่งของฮอร์โมนต่างๆ ให้เป็นคลื่นความผันผวนได้ ไป๋เยี่ยระงับความตื่นเต้นไว้ เขากดเสียงต่ำลงพลางเอ่ย “ตรวจหาสัญญาณที่ผิดปกติ วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ จากนั้นก็ตามหาที่มาของสัญญาณ!” ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะพยายามกลั้นความรู้สึกนั้นไว้แล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงมองเห็นความตื่นเต้นและความหวังของไป๋เยี่ย ทุกคนจึงเริ่มลงมือค้นคว้าทันที! เวลาค่อยๆ ผ่านไป ทุกคนพยายามค้นหา ‘สิ่งนั้น’ อยู่ตลอดเวลา ทว่านักวิจัยที่รับหน้าที่สังเกตเครื่องตรวจกลับเอ่ยขึ้นอย่างสิ้นหวัง “คลื่นความผันผวนหายไปแล้ว! มันไม่โผล่มาแล้ว…” ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวทำให้ทุกคนช็อก! จู่ๆ ก็หายไปตอนนี้เนี่ยนะ เฮ้อ เหมือนจะได้คำตอบแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมาสิ้นหวังอีกรอบซะได้ จะเป็นแบบนี้ไม่ได้! โมลโดถึงกับเก็บอาการไม่พอใจไม่อยู่ “คอยสังเกตต่อไป รอจนกว่าจะมีอะไรผิดปกติ!” ตอนนี้ทุกคนเหมือนยืนอยู่บนปากเหวอย่างเคร่งเครียด ใกล้จะได้คำตอบแล้ว จะพลาดไม่ได้! ทว่าผ่านไปจนเที่ยงก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไป๋เยี่ยถอนหายใจ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาตีโพยตีพาย เขาจึงยืนขึ้นพร้อมกับเอ่ย “พักก่อนครับ ผมคิดว่าความผิดปกตินี้น่าจะเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาบางอย่าง ผมพลาดไปเอง แต่ความผิดปกตินั้นอาจจะเกิดขึ้นระหว่างระยะใดระยะหนึ่งก็ได้ ผมติดต่อทางยูเนียนไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าตอนแปดโมงจะมีเคสกระดูกหักหลายเคสเข้ามาที่นี่ คืนนี้ทุกคนไปพักผ่อนให้สบายเถอะครับ ผมเชื่อว่าความสนุกที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันต่อๆ ไปแน่นอนครับ” คำพูดของไป๋เยี่ยยังคงได้ผล อย่างน้อยทุกคนก็ยังคงรับฟังเขา เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าและพบว่าทุกคนรวมถึงโมลโดเองก็มาประจำการในห้องแล็บเรียบร้อยแล้ว เคสกระดูกหักก็เดินทางมาถึงแล้วเช่นกัน ไป๋เยี่ยไม่ได้เริ่มทำหัตถการให้ผู้ป่วยทันที หลังจากถ่ายภาพเอ็กซเรย์แล้วเขาก็ขอให้พยาบาลพาผู้ป่วยไปส่งที่สถาบันวิจัยเพื่อต่อเครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนก่อน จากนั้นจึงเริ่มทำหัตถการ โดยจะมีทีมวิจัยคอยสังเกตการณ์อยู่! ไป๋เยี่ยคิดว่าครั้งนี้เขาจะต้องจับสัญญาณผิดปกติได้แน่! การรักษาเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตลอดทั้งสิบนาทีนั้น ทีมวิจัยก็ได้พบกับคลื่นความผันผวนลักษณะเดียวกันกับเมื่อวานอีกครั้งหนึ่ง แต่คลื่นนี้ก็ปรากฏขึ้นมาเพียงชั่วครู่และหายวับไปดั่งเคย! รักษาเสร็จแล้ว พยาบาลก็รีบพาผู้ป่วยออกไปทันที! ส่วนไป๋เยี่ยก็ส่งสัญญาณให้พาเคสที่สองเข้ามา! คราวนี้ทุกคนก็ยังคงเห็นคลื่นความผันผวนเหมือนเดิม แต่ทุกคนก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว จึงบันทึกความผิดปกตินั้นไว้และทำการค้นหาแหล่งส่งสัญญาณดังกล่าว ไป๋เยี่ยไม่ได้นับว่าวันนี้ตนรักษาผู้ป่วยไปกี่เคสแล้ว! ทว่าผ่านไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่มยกแขนไม่ไหว จึงให้โมลโดเข้ามาทำแทน เวลาสิบเอ็ดโมงตรง ในที่สุดสมาชิกทีมวิจัยก็นำข่าวดีมาแจ้ง พวกเขาวิเคราะห์คลื่นความผันผวนนั่นได้แล้ว “จากการศึกษาคลื่นความผันผวนผ่านการใช้เครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมน พวกเราพบว่าแหล่งที่มาของสัญญาณคือไฮโปทาลามัส ซึ่งจะหลั่งสารพิเศษไปยังบริเวณที่มีการแตกหักของกระดูก เรายังไม่ได้วิเคราะห์สารตัวนี้อย่างละเอียด แต่เรามั่นใจแล้วว่าความผันผวนนี้มีที่มาจากจุดนี้!” “แล้วเรายังพบว่าหลังจากที่เกิดคลื่นความผันผวนนี้ ลิ่มเลือดบริเวณกระดูกที่แตกหักจะเริ่มก่อตัวขึ้น เพราะมีบางอย่างไปกระตุ้นให้เลือดออก และทำให้ลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นในที่สุด!” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สัญญาณความผันผวนนี้คือสิ่งที่เร่งการก่อตัวของลิ่มเลือดในระยะแรกนี่เอง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 391 การค้นพบสุดสะเทือนโลก กรุงปักกิ่งกว้างใหญ่ ผู้คนก็มีจำนวนมาก การจะหาเคสกระดูกหักสักเคสก็ไม่ใช่เรื่องยาก! นอกจากนี้ยูเนียนยังเป็นศูนย์การแพทย์ชั้นนำในปักกิ่ง เป็นองค์กรที่มีหน่วยงานกู้ภัยฉุกเฉินมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแห่ง ไป๋เยี่ยจึงเชื่อว่าเกาเย่ว์หยางจะช่วยตนได้ ทันทีที่พยาบาลพาอัลสตันมาที่ศูนย์วิจัย ไป๋เยี่ยก็เดินเข้ามาอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟัง ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมให้ความร่วมมือด้วย! อันที่จริงไป๋เยี่ยตั้งใจจะไม่เก็บค่ารักษาจากเขาแล้ว ถึงแม้ว่าเงินไม่กี่หมื่นดอลลาร์จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับอีกฝ่าย แต่ไป๋เยี่ยก็ยังคงหวังว่าอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือกับงานวิจัยชิ้นนี้ อัลสตันมองไป๋เยี่ยด้วยแววตาซาบซึ้ง “ไม่ต้องลังเล ผมเชื่อในตัวคุณ อาชีพของผมก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ผมดีใจที่ได้อุทิศตนให้กับมนุษยชาติมากกว่า!” “ก็แค่เสียบท่อเล็กๆ เข้าไปเองนี่นา ฮ่าๆ เอาเลย ผมพร้อมแล้ว” อัลสตันมองโลกในแง่ดีมาก ไป๋เยี่ยดำเนินการผ่าตัดให้เขาอย่างรวดเร็ว ทว่าอัลสตันก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยไม่ได้ผ่าตัด แต่กลับทำกายภาพบำบัดให้เขาโดยอิงตามฟิล์มเอ็กซเรย์เหล่านั้น การรักษาเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น นี่เป็นครั้งแรกที่อัลสตันได้เห็นขั้นตอนการรักษาที่เร็วและตรงจุดขนาดนี้ เขาจึงมองไป๋เยี่ยในฐานะผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง! ทุกคนมองเห็นความผันผวนของระดับฮอร์โมนผ่านเครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนได้อย่างแม่นยำ ส่วนไป๋เยี่ยก็มุ่งความสนใจไปที่การรักษาและคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบคอบ เวลาผ่านไปช้าๆ ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนพร้อมกับสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของอัลสตัน ทันใดนั้น! นักวิจัยคนหนึ่งก็โพล่งขึ้นมา “ดูสิ! ปริมาณเซลล์กลืนกินเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว จำนวนเซลล์กระดูกก็เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันด้วย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” คำพูดของชายคนนั้นทำให้ทุกคนต้องตะลึง จากนั้นต่างคนก็ต่างเข้ามามุงสังเกตการณ์กันอย่างรอบคอบ เป็นดั่งที่คาดไว้ ทีมวิจัยเพิ่งจะเชื่อมต่อเครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนกับร่างกายของอัลสตันเมื่อสามนาทีที่แล้ว แต่ตอนนี้กลับเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่นาที ความผันผวนนั้นก็หายไปในพริบตา! โมลโดจึงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “ต่อเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าในกล้ามเนื้อและเครื่องตรวจจับปฏิกิริยาของกระดูกดูซิว่ากลไกทางสรีรวิทยามีความผิดปกติตรงไหนไหม!” ผู้คนรอบๆ จึงต่ออุปกรณ์และเริ่มตรวจสอบทันที หลังจากที่เชื่อมต่อเครื่องตรวจจับคลื่นไฟฟ้าแล้ว พบเขาก็พบว่าคลื่นไฟฟ้ามีความผิดปกติ นี่มันหมายความว่าอะไร หมายความว่าการแพร่กระจายสัญญาณมีความผิดปกติไงล่ะ! แล้วสัญญาณนี้มาจากไหน ไป๋เยี่ยตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เจอมันแล้ว ทุกคนตามหามันมานับหลายเดือน แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ และตอนนี้เขาก็เจอมันแล้ว เครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนจะแปลงสัญญาณการหลั่งของฮอร์โมนต่างๆ ให้เป็นคลื่นความผันผวนได้ ไป๋เยี่ยระงับความตื่นเต้นไว้ เขากดเสียงต่ำลงพลางเอ่ย “ตรวจหาสัญญาณที่ผิดปกติ วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ จากนั้นก็ตามหาที่มาของสัญญาณ!” ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะพยายามกลั้นความรู้สึกนั้นไว้แล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงมองเห็นความตื่นเต้นและความหวังของไป๋เยี่ย ทุกคนจึงเริ่มลงมือค้นคว้าทันที! เวลาค่อยๆ ผ่านไป ทุกคนพยายามค้นหา ‘สิ่งนั้น’ อยู่ตลอดเวลา ทว่านักวิจัยที่รับหน้าที่สังเกตเครื่องตรวจกลับเอ่ยขึ้นอย่างสิ้นหวัง “คลื่นความผันผวนหายไปแล้ว! มันไม่โผล่มาแล้ว…” ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวทำให้ทุกคนช็อก! จู่ๆ ก็หายไปตอนนี้เนี่ยนะ เฮ้อ เหมือนจะได้คำตอบแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมาสิ้นหวังอีกรอบซะได้ จะเป็นแบบนี้ไม่ได้! โมลโดถึงกับเก็บอาการไม่พอใจไม่อยู่ “คอยสังเกตต่อไป รอจนกว่าจะมีอะไรผิดปกติ!” ตอนนี้ทุกคนเหมือนยืนอยู่บนปากเหวอย่างเคร่งเครียด ใกล้จะได้คำตอบแล้ว จะพลาดไม่ได้! ทว่าผ่านไปจนเที่ยงก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไป๋เยี่ยถอนหายใจ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาตีโพยตีพาย เขาจึงยืนขึ้นพร้อมกับเอ่ย “พักก่อนครับ ผมคิดว่าความผิดปกตินี้น่าจะเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาบางอย่าง ผมพลาดไปเอง แต่ความผิดปกตินั้นอาจจะเกิดขึ้นระหว่างระยะใดระยะหนึ่งก็ได้ ผมติดต่อทางยูเนียนไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าตอนแปดโมงจะมีเคสกระดูกหักหลายเคสเข้ามาที่นี่ คืนนี้ทุกคนไปพักผ่อนให้สบายเถอะครับ ผมเชื่อว่าความสนุกที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันต่อๆ ไปแน่นอนครับ” คำพูดของไป๋เยี่ยยังคงได้ผล อย่างน้อยทุกคนก็ยังคงรับฟังเขา เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าและพบว่าทุกคนรวมถึงโมลโดเองก็มาประจำการในห้องแล็บเรียบร้อยแล้ว เคสกระดูกหักก็เดินทางมาถึงแล้วเช่นกัน ไป๋เยี่ยไม่ได้เริ่มทำหัตถการให้ผู้ป่วยทันที หลังจากถ่ายภาพเอ็กซเรย์แล้วเขาก็ขอให้พยาบาลพาผู้ป่วยไปส่งที่สถาบันวิจัยเพื่อต่อเครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนก่อน จากนั้นจึงเริ่มทำหัตถการ โดยจะมีทีมวิจัยคอยสังเกตการณ์อยู่! ไป๋เยี่ยคิดว่าครั้งนี้เขาจะต้องจับสัญญาณผิดปกติได้แน่! การรักษาเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตลอดทั้งสิบนาทีนั้น ทีมวิจัยก็ได้พบกับคลื่นความผันผวนลักษณะเดียวกันกับเมื่อวานอีกครั้งหนึ่ง แต่คลื่นนี้ก็ปรากฏขึ้นมาเพียงชั่วครู่และหายวับไปดั่งเคย! รักษาเสร็จแล้ว พยาบาลก็รีบพาผู้ป่วยออกไปทันที! ส่วนไป๋เยี่ยก็ส่งสัญญาณให้พาเคสที่สองเข้ามา! คราวนี้ทุกคนก็ยังคงเห็นคลื่นความผันผวนเหมือนเดิม แต่ทุกคนก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว จึงบันทึกความผิดปกตินั้นไว้และทำการค้นหาแหล่งส่งสัญญาณดังกล่าว ไป๋เยี่ยไม่ได้นับว่าวันนี้ตนรักษาผู้ป่วยไปกี่เคสแล้ว! ทว่าผ่านไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่มยกแขนไม่ไหว จึงให้โมลโดเข้ามาทำแทน เวลาสิบเอ็ดโมงตรง ในที่สุดสมาชิกทีมวิจัยก็นำข่าวดีมาแจ้ง พวกเขาวิเคราะห์คลื่นความผันผวนนั่นได้แล้ว “จากการศึกษาคลื่นความผันผวนผ่านการใช้เครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมน พวกเราพบว่าแหล่งที่มาของสัญญาณคือไฮโปทาลามัส ซึ่งจะหลั่งสารพิเศษไปยังบริเวณที่มีการแตกหักของกระดูก เรายังไม่ได้วิเคราะห์สารตัวนี้อย่างละเอียด แต่เรามั่นใจแล้วว่าความผันผวนนี้มีที่มาจากจุดนี้!” “แล้วเรายังพบว่าหลังจากที่เกิดคลื่นความผันผวนนี้ ลิ่มเลือดบริเวณกระดูกที่แตกหักจะเริ่มก่อตัวขึ้น เพราะมีบางอย่างไปกระตุ้นให้เลือดออก และทำให้ลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นในที่สุด!” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สัญญาณความผันผวนนี้คือสิ่งที่เร่งการก่อตัวของลิ่มเลือดในระยะแรกนี่เอง
บทที่ 1146 ตอนพิเศษ (44)
เช้าตรู่วันถัดมา หลิวจิ่วจู๋พาหยางชิงซือไปกินเกี๊ยว
ครั้งสุดท้ายที่กินเกี๊ยวในเมือง นานเสียจนหยางชิงซือรู้สึกคิดถึง รสชาติเช่นนั้นไม่อาจลืมเลือนได้ เพื่อให้สหายผ่อนคลาย หลิวจิ่วจู๋จึงพานางไปที่นั่นอีกครั้ง
หยางชิงซืออารมณ์ดีขึ้นมาก เห็นได้ชัดว่าหลังจากได้นอนหลับพักผ่อน นางก็มีชีวิตชีวามากขึ้น
สำหรับเรื่องนี้ หลิวจิ่วจู๋ชื่นชมหยางชิงซือเสมอ นางเป็นพี่น้องที่มองโลกในแง่ดี ร่าเริงแจ่มใส เมื่อเจอกับสถานการณ์ยากลำบากก็จะแข็งแกร่งขึ้น บุรุษหลาย ๆ คนยังไม่มีนิสัยใจกว้างอย่างนาง
เมื่อทั้งคู่กลับถึงบ้านก็เห็นคนสองคนนั่งอยู่ที่ประตู
คนหนึ่งคือซ่งซื่อ อีกคนคืออิงซื่อพี่สะใภ้ของอีกฝ่าย มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ของหยางชิงซือ
“เจ้าเด็กแสบคนนี้…” เมื่อซ่งซื่อเห็นหยางชิงซือก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความโกรธจัดและหยิกเนื้อตัวนาง
หลิวจิ่วจู๋รีบมายืนขวางหน้าหยางชิงซือ
หยางชิงซือใจกล้ามาตลอด ต้องให้หลิวจิ่วจู๋มาปกป้องนางที่ใดกัน? แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นมารดาของนางเอง นางก็ไม่มีความตั้งใจที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายมาทุบตี อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ทำอะไรผิด
“จู๋จือเจ้าหลบไปข้าง ๆ ก่อน” หยางชิงซือเอ่ย “เจ้าจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”
ครั้นซ่งซื่อเห็นว่าหยางชิงซือกล้าต่อต้านตนเอง นางก็ยิ่งโมโห ก่นด่าอย่างหยาบคายราวกับว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ แต่เป็นหญิงปากร้ายในหมู่บ้านที่ฟาดฟันกับนาง
“พอได้แล้ว!” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ท่านป้าไม่กลัวขายหน้า แต่ข้ายังกลัวนะ! ที่นี่เป็นในเมือง คนเข้า ๆ ออก ๆ มากมาย ท่านไม่รู้สึกอายบ้างหรือ? อีกอย่าง ชิงซือเป็นลูกสาวของท่าน ท่านดุด่านางเช่นนี้ เช่นนั้นไม่เท่ากับด่าตนเองหรือ? หากท่านมีเรื่องจะพูดก็พูดคุยกันดี ๆ เถอะ อย่าได้เต้นเร่า ๆ อย่างนี้เลย”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า!”
“ท่านมาผรุสวาทอยู่หน้าบ้านข้า ชิงซือเป็นพี่น้องที่ดีของข้า เหตุใดจักไม่เกี่ยวกับข้าเล่า?”
“หยางชิงซือเป็นลูกสาวของข้า ข้าคิดจะดุด่านางอย่างไรก็ดุด่าอย่างนั้น แม้จะเป็นตาเฒ่าจากสวรรค์ลงมาก็ไม่สามารถห้ามข้าไม่ให้อบรมสั่งสอนลูกสาวตนเองได้” ซ่งซื่อกล่าวด้วยความขุ่นเคือง
“พอได้แล้ว มีเรื่องจะพูดก็พูดเถอะ!” อิงซื่อเดินเข้ามาทำท่าทีราวกับเป็นผู้ใหญ่ที่ดี
นางมองดูหยางชิงซือด้วยสายตาคิดคำนวณ
หยางชิงซือหน้าตาไม่เลว ขยันขันแข็ง ร่างกายแข็งแรง หากแต่งเข้าสกุลซ่ง ย่อมไม่มีปัญหาในการให้กำเนิดลูกชาย นอกจากนี้ หยางชิงซือกับหลิวจิ่วจู๋ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ตอนนี้หลิวจิ่วจู๋เริ่มรุ่งเรืองขึ้นแล้ว อยู่ในตัวเมืองแถมยังมีบ้านเป็นของตนเอง หากหยางชิงซือติดตามนางย่อมได้รับความรุ่งโรจน์มาบ้าง การแต่งงานครั้งนี้จะมองอย่างไรก็เหมาะสมเป็นที่สุด อีกทั้งยังง่ายต่อการจัดการ
“ข้ารู้ว่าพวกท่านต้องการจะพูดคุยอะไร ข้าบอกพวกท่านแล้วว่าเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้” หยางชิงซือเอ่ย “พวกท่านยอมแพ้เถอะ! ผู้ใดรับสินสอดทองหมั้นมา ผู้นั้นก็แต่งไปเสีย ข้าไม่ได้รับ อย่างไรข้าก็ไม่แต่งออกไปเด็ดขาด!”
“ชิงซือ แต่งไม่แต่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า พ่อแม่เจ้ารับปากแล้ว ในฐานะลูกสาวของพวกเขา อย่างไรเจ้าก็ต้องแต่งออกไป” อิงซื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเด็กผู้นี้ก็จริง ๆ เลย หรือกลัวว่าป้าสะใภ้จะไม่ดีต่อเจ้า? พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หากแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องก็จะถือเป็นการแต่งงานใกล้ชิด ได้ยินมาว่าเจ้าสนิทกับบุรุษนามจงซู่เกินในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก เจ้ากับเขาคงไม่ได้…”
“โถ่เอ๊ย พี่สะใภ้ ท่านกำลังเอ่ยถึงเรื่องอะไร? ท่านอย่าได้ไปฟังคำพูดเหลวไหลเหล่านั้น เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้ พวกเขาเพียงแค่อิจฉาที่ครอบครัวเราสองคนจะเกี่ยวดองกันจึงจงใจทำลายความสัมพันธ์อันดีนี้” ซ่งซื่อกล่าว “ชิงซือของเราเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่เคยทำเรื่องไร้ยางอายเหล่านั้น นางเพียงแค่ทำตัวไม่ถูกจึงหนีมาหานังหนูหลิว”
ยามซ่งซื่อเอ่ยปาก สายตาก็จ้องไปที่หยางชิงซืออย่างอาฆาตมาดร้าย ราวกับจะเตือนนางให้ว่าง่ายสักหน่อย อย่าได้กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนอยู่แถวนี้
หยางชิงซือเอ่ยกับหลิวจิ่วจู๋ “เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะกลับไปพร้อมพวกเขา”
“เช่นนั้น ข้าจะกลับไปที่หมู่บ้านกับเจ้า” หลิวจิ่วจู๋เป็นห่วงหยางชิงซือ
หยางชิงซือเอ่ย “บ้านเจ้าในหมู่บ้านไม่มีแล้ว เจ้าจะกลับไปทำอะไร? วางใจเถอะ หากพวกเขาบีบบังคับข้า ข้าจะยกดาบขึ้นสู้กับพวกเขา อย่างมากก็ตายไปพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่รอด”
“เจ้าเด็กคนนี้ ข้ากับแม่เจ้ายังจะบีบบังคับเจ้าได้หรือ?”
“พวกท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อจับข้ากลับไปแต่งงานหรือ? นี่ไม่ได้เรียกว่าบีบบังคับข้าหรือไร?” หยางชิงซือเอ่ยถาม “ข้าขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ข้าจะไม่แต่งกับญาติผู้พี่ อย่างไรก็ไม่มีวัน แม่ข้ารับเงินท่านมา หากท่านไม่ขอให้นางคืนเงิน พวกท่านก็ปรึกษาหาทางแก้ไขกันเอาเองเถอะ หากคิดจะขายร่างกายข้าแลกเงิน เช่นนั้นก็เอาศพข้าไปจัดงานแต่งผีได้เลย”
“ถุย พูดจาเหลวไหลอะไร?!” อิงซื่อไม่พอใจ “ข้าเสียเงินไปมากมายเพียงนี้เพื่อให้เจ้าสาปแช่งลูกชายข้าหรือ? ข้าว่านะน้องสามี เจ้าฟังคำพูดคำจาของลูกสาวเจ้าเข้าสิ”
“เป็นความผิดข้า ข้าจะสั่งสอนนางให้ดี” ซ่งซื่อว่าตามยิ้ม ๆ “พี่สะใภ้ พวกเราพานางกลับไปก่อน แล้วค่อย ๆ อบรมสั่งสอนนางเถอะ”
หลิวจิ่วจู๋ยิ่งไม่วางใจขึ้นไปอีก
นางยืนกรานที่จะตามหยางชิงซือกลับไป
“นี่เป็นเรื่องในครอบครัวเรา เจ้าจะตามกลับไปทำอะไร? พวกเราตกตกลงกันไว้แล้ว พวกเราไม่รับรองเจ้าหรอกนะ”
แน่นอนว่าซ่งซื่อไม่อยากให้หลิวจิ่วจู๋กลับไปทำลายเรื่องดีงามที่จะเกิดขึ้น หลิวจิ่วจู๋มีสามีที่ไม่อาจยุ่งด้วยง่าย ๆ ผู้หนึ่ง ดังนั้นคนในหมู่บ้านจึงไม่มีใครกล้าล่วงเกินนาง
ซ่งซื่อกับอิงซื่อนั่งเกวียนมาที่นี่ ตอนนี้จะกลับแล้ว ซ่งซื่อจึงขอเงินหยางชิงซือเพื่อนั่งเกวียนกลับ
แต่หยางชิงซือแสร้งทำเป็นไม่มี
ซ่งซื่อจึงไปขอ ‘ยืม’ เงินหลิวจิ่วจู๋
แน่นอนว่าหลิวจิ่วจู๋ไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่ไม่ต้องเอ่ยถึงหยางชิงซือไม่ยินยอม เพราะนางก็ไม่ยินดีเช่นกัน
ทั้งซ่งซื่อกับอิงซื่อล้วนไม่ขาดเงินเพียงไม่กี่อีแปะนี้ ทั้งคู่นั่งเกวียนมาเพื่อจับตัวหลิวจิ่วจู๋กลับไป ตอนนี้ยังต้องการให้หลิวจิ่วจู๋จ่ายเงินให้อีก หากนางจ่ายแล้ว นั่นไม่เท่ากับช่วยรังแกพี่น้องที่ดีของตนหรือ?
“ท่านป้าทั้งสอง ขออภัยจริง ๆ ในมือข้ามีเงินไม่มาก เอาอย่างนี้ ร่างกายพวกท่านดูแข็งแรง เดินทางมานานเพียงนี้ ยังไม่แม้แต่จะพักหายใจ ทว่าชิงซือกับข้าคงไม่ไหว อย่าได้เห็นว่าพวกเรายังเด็ก เพราะอันที่จริงร่างกายเราไม่สู้ดีนัก ในมือข้ามีเงินเพียงสองสามอีแปะพอที่จะจ่ายค่ารถกลับไปได้ ข้าจะพาชิงซือล่วงหน้ากลับไปก่อน พวกท่านค่อย ๆ เดินกลับหมู่บ้านเถอะ พวกเราจะรอท่านอยู่ที่หมู่บ้านเอง”
ซ่งซื่อกับอิงซื่อมาที่นี่เพื่อจับหยางชิงซือโดยเฉพาะ จักปล่อยให้พวกนางกลับไปกันเองได้อย่างไร? เงินเพียงไม่กี่อีแปะนี้ ไม่ว่าซ่งซื่อจะไม่ยอมตัดใจเพียงใดก็ทำได้เพียงควักออกมา
บนเกวียน หยางชิงซือเอ่ย “ข้าไม่ควรมาหาเจ้า ตอนนี้ข้าสร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ไม่อาจปิดบังกัน ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย
หลังจากมาถึงหมู่บ้าน หยางชิงซือก็กลับไปที่บ้านพี่ใหญ่หยางชวน เป็นตายนางก็ไม่ยอมตามซ่งซื่อกลับไปที่บ้านนางเด็ดขาด
หลิวจิ่วจู๋ก็อาศัยอยู่กับหยางชิงซือที่นั่นด้วยเช่นกัน พี่น้องทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นจะได้สะดวกในการดูแลกันและกัน
เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ หัวหน้าหมู่บ้านจึงออกหน้าช่วยซ่งซื่อโน้มน้าวใจหยางชิงซือ เขากล่าวว่าการแต่งงานควรฟังคำพ่อแม่ หากไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่นั้นถือเป็นการอกตัญญู
หยางชิงซือเอามีดจ่อคอตนเอง มองซ่งซื่อกับอิงซื่อแล้วเอ่ย “ข้าเคยบอกแล้วว่า หากจะให้ข้าแต่งไป เช่นนั้นก็แบกร่างของข้าไปจัดงานแต่งผีเสียเถอะ”
“โถ่เอ๊ย เจ้าเด็กคนนี้ รีบวางมีดในมือลงเถิด!” สตรีที่อยู่ข้าง ๆ ร้องอุทาน
“พวกท่านบีบบังคับให้แต่งงานเช่นนี้ไม่ถูกต้อง” ไม่รู้ว่าเฝิงหลานเซิงกลับมาตั้งแต่เมื่อใด ได้ยินไปมากน้อยแค่ไหน
ทว่าทันทีที่เขาเปิดปาก ทุกคนก็มองมา ก่อนจะหันไปมองหลิวจิ่วจู๋เป็นตาเดียว แต่ละคนล้วนมีสีหน้าพิลึกพิลั่น