สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 401 อวิ๋นเอ๋อร์ ข้ามาทานอาหาร
บทที่ 401 อวิ๋นเอ๋อร์ ข้ามาทานอาหาร
บทที่ 401 อวิ๋นเอ๋อร์ ข้ามาทานอาหาร
หลังจากการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น มู่ซืออวี่ก็เตรียมของขวัญไปให้ฟ่านอวี๋
ทันทีที่ผ่านประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของฟ่านอวี๋ดังออกมา “เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!”
“แม่นางฟ่าน ข้ามาสู่ขอท่านจากใจจริง” เสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้น
“ข้าไม่แต่ง!” ฟ่านอวี๋โกรธเกรี้ยวหนักกว่าเดิมเพราะความอาย
“แต่ว่าวันนั้นในภาวะคับขัน ข้าและแม่นางได้ถูกเนื้อต้องตัวกัน…”
“เจ้า… เจ้าคนลามก… ออกไปเดี๋ยวนี้!” ฟ่านอวี๋โกรธจัด
มู่ซืออวี่มองฮั่วอวิ๋นซิ่ว และเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ดูเหมือนข้าจะมาผิดเวลาไปหน่อย”
ฮั่วอวิ๋นซิ่วนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับฟ่านอวี๋ นางเองก็อยากรู้ว่าผู้ใดสามารถทำให้อาจารย์ผู้อ่อนโยนโมโหได้ขนาดนี้ ทว่ารั้งอยู่ต่อคงไม่ดีนัก คงทำได้เพียงพามู่ซืออวี่ออกไปก่อน
เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน
ชายผู้นั้นสวมชุดสีน้ำเงิน ผมของเขารวบขึ้นสูงเป็นหางม้า ข้างเอวเหน็บกระบี่เล่มหนึ่ง หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา ดูคุ้นตายิ่งนัก
“นายท่านผู้นี้ ท่านเป็นใคร? เหตุใดจึงบุกรุกเข้าไปในเรือนหลังของพวกเรา?” ฮั่วอวิ๋นซิ่วเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง
ชายผู้นั้นหยุดลงตรงหน้ามู่ซืออวี่ “ฮูหยินลู่ ผละไปคุยกับข้าสักเดี๋ยวได้หรือไม่?”
มู่ซืออวี่ชะงักไปชั่วขณะ ทว่าเมื่อมองเข้าไปในดวงตาของชายผู้นี้ นางก็ตอบตกลง
ชายผู้นั้นเดินนำมู่ซืออวี่ไปยังมุมแถว ๆ นั้น เขาประกบมือเอ่ยกับนาง “ฮูหยินลู่ ข้าน้อยเป็นคนหยาบกระด้าง ทำได้เพียงพูดตามตรงแล้ว”
จากนั้นเขาก็ขอให้มู่ซืออวี่ช่วยเกลี้ยกล่อมฟ่านอวี๋ อีกฝ่ายอยากแต่งงานกับฟ่านอวี๋
“ช้าก่อน พี่ใหญ่ท่านนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้รู้จักท่าน”
ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพิ่งช่วยท่านไว้ได้ไม่นาน ท่านลืมบุญคุณคนได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ? นี่คงไม่ดีกระมัง? นายอำเภอลู่ก็ไม่ใช่คนเช่นนี้!”
“ช่วยข้าหรือ?”
“ข้าเอง… จั่วอวิ๋นหู่”
“ท่านคือ… คนที่มาช่วยข้าวันนั้นนั่นเอง” มู่ซืออวี่มองจั่วอวิ๋นหู่ “เคราของท่าน…”
จั่วอวิ๋นหู่ลูบคางตนเอง เอ่ยด้วยความขัดเขิน “ได้ยินว่าสตรีล้วนชอบบุรุษหน้าขาว รูปลักษณ์แต่ก่อนของข้าดูหยาบกระด้าง ข้ากลัวว่าจะทำให้แม่นางฟ่านตกใจกลัว”
“ท่านวีรบุรุษช่วยข้าไว้ ข้าควรตอบแทน ข้ายินดีตอบแทนท่านทุกเรื่อง แต่เรื่องอย่างนี้ข้าคงไม่อาจทดแทนคุณได้” มู่ซืออวี่กล่าว “การแต่งงานของบุรุษและสตรีเป็นเรื่องของความสมัครใจ ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาจารย์ฟ่านจะไม่ยินดีแต่งกับท่าน หากท่านอยากแต่งกับนาง จำต้องรอให้นางพยักหน้ายินยอมด้วยตนเอง”
จั่วอวิ๋นหู่สางผมด้วยความกลัดกลุ้ม
เขาเป็นคนประเภทมีบุญคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ ในอดีตไม่เคยมีสิ่งใดเหนี่ยวรั้ง อยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น บัดนี้พลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเพราะสตรีนางหนึ่ง ครั้งนี้ไม่รู้ต้องจัดการเช่นไรจริง ๆ
หลังจากจั่วอวิ๋นหูไปแล้ว มู่ซืออวี่ก็เข้าไปมอบของขวัญให้ฟ่านอวี๋
ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมา
“อาจารย์ฟ่าน ครั้งนี้ทำให้ท่านต้องตกใจแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ถึงแม้ข้าจะพยายามถึงที่สุด อย่างไรก็ยังมีคำนินทาว่าร้ายท่านตามมา ข้าขออภัยจริง ๆ”
ฟ่านอวี๋หลุดหัวเราะออกมา
“อาจารย์ฟ่าน นี่ท่าน…”
ฟ่านอวี๋ยิ้มบาง ๆ “เมื่อวานนี้ข้ามีนัดหารือเรื่องการค้ากับลูกค้าในโรงน้ำชา ลองเดาดูสิว่าข้าได้ยินสิ่งใด? นักเล่านิทานพรรณนาว่าข้าเป็นวีรสตรีที่ปักมีดสองข้างข้างเอว*[1] ทั้งยังกล่าวอีกว่าข้ารู้ถึงอันตรายจึงออกอุบายแสร้งเป็นเหยื่อ ล่อนักฆ่าที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืด หากไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องของตัวเอง ข้าต้องคิดว่าเขาเล่าเรื่องจริงเป็นแน่”
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมา” จื่อซูที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “เรื่องเล่านี้ปลัดอำเภอเวินเป็นผู้เขียน หลังจากเขียนจบ พี่ชายน้อยจือเชียนก็นำไปให้นักเล่านิทาน”
มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย
“อาจารย์ฟ่าน หากท่านไม่ชอบ ข้าจะขอให้นักเล่านิทานหยุดทันที พวกเขามีเจตนาดี คงคิดว่ามีเพียงข่าวลือเท่านั้นที่จะสยบข่าวลือได้ แต่พวกเขาไม่ได้ขอความเห็นชอบจากท่านก่อน นั่นไม่เหมาะสมอยู่บ้าง”
“ไม่เป็นไร เรื่องเพียงแค่นี้ข้าไม่ถือสา” ฟ่านอวี๋กล่าว
“นี่เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า ท่านโปรดรับเอาไว้”
ฟ่านอวี๋เห็นมู่ซืออวี่ทำอาหารมาให้ด้วยตนเองจึงรับเอาไว้
ทั้งสองคนคุยเรื่องความคืบหน้าในการเรียนของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์และอันอวี้อยู่พักหนึ่ง
ตกกลางคืน มู่ซืออวี่จัดวางอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะบอกให้จื่อซูไปที่ด้านหน้าเพื่อดูว่าลู่อี้ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือไม่
ลู่อี้เดินนำเวินเหวินซงและนักการเกาเข้ามา
“ฮูหยิน ข้าหิ้วท้องมาทานอาหารที่นี่แล้ว” เวินเหวินซงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ด้วยความยินดี พวกท่านเป็นแขกพิเศษ แม้จะเชิญมาทานยังเชิญมาไม่ได้ง่าย ๆ” มู่ซืออวี่ทักทายด้วยรอยยิ้ม “จื่อซูไปห้องเก็บสุราและนำไหสุราขาวดอกสาลี่ออกมาที”
“สุราขาวดอกสาลี่?” สายตาของนักการเกาบอกชัดว่าอยากลิ้มลอง “ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินหมักสุราดีเอาไว้หลายไห วันนี้เป็นลาภปากข้าแล้ว”
“หลายปีมานี้พี่ใหญ่เกาล้วนไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ทานสิ่งใดล้วนได้ทั้งสิ้น ทว่าสุราชั้นดีคือสิ่งที่เขาโปรดปรานมาตลอด เป็นรองเพียงภรรยาเท่านั้น” เวินเหวินซงที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะขึ้นมา
เสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าประตู ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเฮฮา “หอมดีจริง! ท่านป้า ข้ามาทานอาหารแล้ว”
มู่ซืออวี่ “…”
ฉู่เหยี่ยนและลู่ฉาวอวี่เดินเข้ามาด้วยกัน
ลู่จื่ออวิ๋นเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมาก็พบหน้าฉู่เหยี่ยนเข้าพอดี
ฉู่เหยี่ยนแต่งกายด้วยชุดสีม่วง ลู่จื่ออวิ๋นก็แต่งกายด้วยชุดสีม่วงเช่นกัน เพียงแต่เป็นสีม่วงอ่อน
“อวิ๋นเอ๋อร์!” ฉู่เหยี่ยนร้องทักทาย
ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้าตอบเล็กน้อย “คุณชายฉู่”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้เจ้าแต่งตัวสวยยิ่งนัก” ฉู่เหยี่ยนเอ่ยชม
เป็นเวลาเดียวกันกับที่จื่อซูนำสุราขาวดอกสาลี่ออกมาพอดี
บุรุษหลายคนดื่มสุราชั้นยอด ทานอาหารรสเลิศ พลางพูดคุยเรื่องการทำงานที่ยากลำบากในระยะนี้
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณใต้เท้าลู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ราบรื่นเช่นนี้ “เวินเหวินซงกล่าว “อย่างไรก็ตาม การที่นายกองโอวหยางกลับไปเร็วเพียงนี้ พวกเราคาดไม่ถึงจริง ๆ”
“วางใจเถิด ข้าอยู่ที่นี่ เขาไม่กล้าก่อความวุ่นวายอย่างแน่นอน” ฉู่เหยี่ยนเอ่ย “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ผู้วางแผนของเขากลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคนไปเสียแล้ว อีกทั้งคนที่ฆ่ายังเป็นถึงบุตรขุนนาง หากเรื่องเล่าลือออกไป เขาคงเกรงว่าจะถูกดึงเข้ามาพัวพัน สำหรับเขา ครั้งนี้หลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจย่อมดีกว่า เพราะหากออกมาก่อปัญหาก็รังแต่จะได้รับความเสียหาย”
“องค์ชายเก้ายังเยาว์วัยกลับคิดได้ล้ำลึกเช่นนี้ ความสามารถเหนือกว่าข้าน้อยยิ่งนัก” เวินเหวินซงเอ่ยชม
“องค์ชายเก้า?” ลู่จื่ออวิ๋นเงยหน้าขึ้นมา “องค์ชายเก้าอะไร?”
สถานะของฉู่เหยี่ยนยังไม่ได้เปิดเผย
ลู่จื่ออวิ๋นมองฉู่เหยี่ยนด้วยความสงสัย “ท่านเป็นองค์ชายหรือ?”
ฉู่เหยี่ยนรู้สึกผิด ทว่ามาถึงขนาดนี้แล้ว หากยังปิดบังต่อไปเกรงว่าจะแย่กว่าเดิม เขาจึงพยักหน้าด้วยใจว้าวุ่น “ข้าคือองค์ชายเก้า”
“เช่นนั้น ชื่อเจ้าเป็นชื่อจริงหรือไม่?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ข้า… ข้าแซ่ฟ่าน นามเหยี่ยน ข้าชื่อฟ่านเหยี่ยน” ฉู่เหยี่ยน ไม่สิ ฟ่านเหยี่ยนกล่าว “ฉู่เป็นแซ่มารดาข้า ปกติหากเดินทางออกไปข้างนอก ข้าชินกับการใช้แซ่มารดา”
“ไม่ว่าท่านจะเป็นฟ่านเหยี่ยนหรือฉู่เหยี่ยน ชื่อมีไว้ใช้เรียกเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไร” ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ “ทุกคนล้วนมีความลำบากใจเป็นของตนเอง การปกปิดชื่อเสียงเรียงนามไม่นับเป็นความผิด”
“ใช่ ๆ ใต้เท้าลู่กล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง” ฟ่านเหยี่ยนมองลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋น “ข้ายังคงเป็นคนที่พวกเจ้ารู้จัก ดังนั้นชื่ออะไรล้วนไม่สำคัญ จริงหรือไม่?”
[1] ปักมีดสองข้างข้างเอว หมายถึง ให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาก กระทั่งสามารถสละชีพตนได้