สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 403 งานเลี้ยงครบร้อยวัน
บทที่ 403 งานเลี้ยงครบร้อยวัน
บทที่ 403 งานเลี้ยงครบร้อยวัน
หนึ่งเดือนต่อมา จดหมายฉบับที่แปดของลู่เซวียนก็มาถึงเมืองฮู่เป่ย
“ขุนนางประจำสำนักราชบัณฑิตหลวง นี่มันตำแหน่งอะไรกัน?” มู่ซืออวี่ไม่รู้เรื่องตำแหน่งขุนนางในยุคโบราณแม้แต่น้อย
“เป็นงานสบาย ๆ งานหนึ่ง หลัก ๆ แล้วดูแลรับผิดชอบศึกษาประวัติของชาติ จัดการเอกสารเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมาะกับลักษณะนิสัยเขาเป็นอย่างมาก” ลู่อี้เอ่ย “เริ่มที่ขั้นเจ็ด ในเมืองหลวงไม่นับว่าสะดุดตา”
นักการเกาเอ่ยว่า “ไม่สะดุดตาน่ะดีแล้ว นายท่านรองลู่เป็นคนเรียบง่าย ไม่อาจต่อกรกับจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้นได้ เขาเหมาะกับงานสบาย ๆ เช่นนี้มากกว่า”
“ดูจากเวลา ป่านนี้กองคาราวานของตระกูลฉินคงไปถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง ตั๋วเงินที่ข้าฝากตระกูลฉินไปคงถึงมือเขาแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่แพงไปทุกตารางนิ้ว ขุนนางทั่วไปไม่อาจแม้แต่จะซื้อบ้านสักหลัง ข้าส่งตั๋วเงินไปให้เขามากเป็นพิเศษ ขาดเหลือสิ่งใดล้วนซื้อหาได้ ข้ายังขอให้ตระกูลฉินซื้อบ่าวรับใช้สองคนไปดูแลเขาด้วย”
“ฮูหยิน กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าเป็นน้องสามของสามีท่านที่หายไปเป็นเวลานาน ท่านเลี้ยงข้าเช่นเดียวกันเถอะ!” เวินเหวินซงเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง
“เงินพิเศษที่พวกเจ้าได้รับในแต่ละเดือนมากกว่าเงินเดือนเป็นสิบเท่าแล้ว คิดว่าเงินหล่นลงมาจากฟ้าหรือ?” ลู่อี้เอ่ย “เดือนหน้าท่านแม่ยายและท่านหมอจูจะจัดงานเลี้ยงครบร้อยวันให้ผิงอัน พวกเจ้าเตรียมของขวัญดี ๆ ไว้ ถึงตอนนั้นก็ไปงานเลี้ยงด้วย”
งานเลี้ยงครบร้อยวันของจูเฉินจัดในหมู่บ้าน
สถานที่จัดงานคือลานบ้านของลู่อี้และมู่ซืออวี่ โต๊ะมากกว่าสองร้อยตัวถูกจัดเตรียมไว้แล้ว
หัวหน้าพ่อครัวของงานเลี้ยงคือหัวหน้าพ่อครัวจากภัตตาคาร พวกเขาเหมาทั้งภัตตาคารมาเพื่องานนี้ งานเลี้ยงจัดใหญ่โตเสียจนบุรุษ สตรี ผู้ใหญ่ ตลอดจนเด็กเล็กในหมู่บ้านไม่กล้าดูแคลน พวกเขากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดีที่สุดและนำของขวัญที่จริงใจที่สุดมา จากนั้นก็ดื่มสุราสังสรรค์
“เหยาซื่อ ท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับถงซื่อ อย่าลืมช่วยข้าเอ่ยสิ่งดี ๆ ล่ะ!”
เหยาซื่อมองหญิงสาวชาวบ้านตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้ายังต้องเอ่ยสิ่งดี ๆ อะไรอีก?”
“โถ่เอ๊ย ก็ก่อนหน้านี้ข้าเคยล่วงเกินนาง นั่นไม่ใช่…”
“เจ้าคนท้องเล็ก*[1] เจ้าคิดว่าคนอื่นจะท้องเล็กเหมือนตัวเองหรือ? นางยุ่งวุ่นวายทุกวันเช่นนั้น นางคงจะจำได้อยู่หรอกว่าเจ้าเป็นผู้ใด ในสมองเจ้าคิดอะไรอยู่?” เหยาซื่อกล่าว
“แม่ต้าจู้ ได้ยินว่าเหม่ยฉินบ้านพวกท่านแต่งงานกับเจ้าหน้าที่ทางการผู้หนึ่งหรือ?” หญิงอีกนางเอ่ยขึ้น
เหยาซื่อยิ้มบาง ๆ “แต่งงานอะไรกัน แต่งงานที่ว่า ยังไม่ได้ผ่านหกพิธีการ*[2] ด้วยซ้ำ!”
“พวกเราคนบ้านนอกบ้านนาจะต้องกล่าวถึงพิธีกงพิธีการอะไรกัน แค่รับสินสอดมาแล้วแต่งนางออกไปก็เป็นใช้ได้แล้ว”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่ว่าที่ลูกเขยเขาเป็นบัณฑิต อีกทั้งยังสอบได้จวี่เหรินแล้ว ตอนนี้เขาทำงานอยู่กับใต้เท้าลู่ ที่บ้านเขามีบ่าวรับใช้ยี่สิบสามสิบคนกระมัง นับได้ว่าเป็นตระกูลผู้มีความรู้ กฎระเบียบในตระกูลเขาเคร่งครัดมาก อีกทั้งยังกล่าวอีกว่าตามธรรมเนียมจะส่งเกี้ยวเจ้าสาวขนาดแปดคนแบกมาแต่งลูกสาวของเราออกไป”
“โอ้โห ข้าว่าแล้วว่าเหม่ยฉินเป็นคนโชคดี ยังจะเถียงว่าข้าพูดผิดหรือ?”
“ใช่แล้ว เหม่ยฉินไปได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้นางได้แต่งงานกับเจ้าหน้าที่ทางการ อนาคตนางต้องสดใสเป็นแน่!”
เฉินซื่อ ลู่เจินเจิน และคนอื่น ๆ ก็มาแล้วเช่นกัน
ทุกคนล้วนแต่งกายประทินโฉมครบเครื่อง พอมาอยู่กับเพื่อนบ้านเก่าแก่ในหมู่บ้านแล้วราวกับมาจากคนละโลก ในใจทุกคนเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
“ตั้งแต่แรกก็เป็นพวกเขาสองครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวลู่อี้ บัดนี้ชาวบ้านได้อาบแสงสว่างจากผู้อื่น*[3] ดูร่ำรวยขึ้นมาแล้ว”
“ลูกชายบ้านเจ้า แต่ก่อนชอบลู่เจินเจินไม่ใช่หรือ? ตอนนั้นเจ้าดูแคลนนาง แต่ดูการแต่งตัวของนางตอนนี้สิ ราวกับเป็นคุณหนูจากครอบครัวผู้มั่งมีอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังมีสาวใช้คอยติดตามอีกต่างหาก”
เมื่อเหยาซื่อและเฉินซื่อพบกันก็จูงมือไปพูดคุยกันอีกทาง ทั้งสองสนิทกัน ตอนนี้ย่อมมีเรื่องที่อยากจะเอื้อนเอ่ยมากมาย
“ท่านพบผิงอันแล้วหรือยัง?”
“ข้าเห็นเขาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน ตอนนั้นเขายังตัวเหี่ยวไม่น่ารักอยู่เลย แต่พี่สะใภ้ของข้าบอกว่าเด็กทารกเกิดใหม่ล้วนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้คงโตขึ้นมากแล้ว”
“อีกเดี๋ยวพวกเราไปดูกัน ข้าซื้อสร้อยเงินอายุยืนมาให้เขา”
“บังเอิญจริง ข้าก็ซื้อมาเช่นกัน ทว่าไม่ใช่สร้อย แต่เป็นกำไลเงิน”
“แน่นอนว่าน้าถงไม่ได้ขาดแคลนของเหล่านี้ แต่นี่เป็นน้ำใจอันดีของเรา จริงสิ ครอบครัวเจ้าปรึกษากันเรื่องการแต่งงานของเจ้าแล้วหรือ? ข้าได้ยินพี่สะใภ้บอกว่าเป็นครอบครัวที่ดีทีเดียว ยินดีกับเจ้าด้วย!”
คนในหมู่บ้านมาร่วมงานคนแล้วคนเล่าไม่ขาดสาย
ในหมู่แขกมีทั้งคนไข้ของท่านหมอจูและผู้ที่มาประจบเอาใจลู่อี้
เมื่อเห็นแขกเหรื่อผู้สูงศักดิ์มากมายหลั่งไหลมาร่วมงาน คนในหมู่บ้านจึงได้ทราบครานี้เองว่าตระกูลลู่มั่งคั่งเพียงใด
ตอนนั้นครอบครัวลู่ยากจนเกินบรรยาย ทว่าบัดนี้พวกเขาเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดนี้ นี่เป็นการพิสูจน์ประโยคที่ว่า ‘สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ*[4] วันนี้หัวเราะเยาะข้า พรุ่งนี้ก็อย่าได้คิดจะเกาะข้า!’
หนอนหนังสือเฒ่าในหมู่บ้านถอนหายใจ
“ใต้เท้าลู่” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างนอบน้อมตรงหน้าลู่อี้
ลู่อี้เอ่ยเบา ๆ ว่า “หัวหน้าหมู่บ้านไม่ต้องเกรงใจ”
“ใต้เท้าเป็นขุนนาง เราเป็นราษฎร ราษฎรพบขุนนางย่อมต้องทำความเคารพ กฎข้อนี้ข้าเข้าใจดี” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ย “ไม่นานมานี้ ข้าได้ยินข่าวว่าหมู่บ้านสือโถวกำลังจะทำถนนใหม่ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“เป็นความจริง”
“ใต้เท้า ท่านก็เห็นว่าถนนในหมู่บ้านของพวกเรากันดารและอันตรายเช่นกัน เวลาเกวียนเทียมวัวผ่านถนนอวิ๋นวานล้วนต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้น อาจจะลื่นไถลตกหน้าผา ถนนเพียงพอแค่ให้ผ่าน…”
“ข้าเข้าใจความหมายของหัวหน้าหมู่บ้าน เพียงแต่การสร้างถนนไม่ใช่เรื่องเล็ก พวกเราทำถนนของหมู่บ้านสือโถวก่อนเพราะที่นั่นซ่อมแซมได้ง่าย เอาไว้พวกเราจะจัดการเรื่องอื่น ๆ ไปตามสถานการณ์”
“ใช่ ๆ” หัวหน้าหมู่บ้านเพียงแค่ลองเอ่ยปาก เมื่อเห็นลู่อี้กล่าวเช่นนี้ ใจของเขาพลันมีความหวังขึ้นมา
“หัวหน้าหมู่บ้านต้องเข้าใจ หมู่บ้านสกุลลู่เป็นบ้านเกิดของข้า หากที่อื่นได้รับการซ่อมแซมหมด แล้วเหตุใดที่นี่จะไม่ได้รับการซ่อมแซมเล่า ถูกหรือไม่?” ลู่อี้กล่าว
“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง”
“อย่างไรก็ตาม ก่อนซ่อมแซมถนน ข้าจะออกเงินส่วนตัวจำนวนหนึ่งสำหรับการสร้างโถงบรรพบุรุษสกุลลู่ใหม่ พอดีน้องชายของข้า ลู่เซวียนสอบผ่านจิ้นซื่อในการสอบขุนนาง เขาสังกัดอยู่ในสำนักบัณฑิตหลวงจึงต้องนำชื่อเขาไปอยู่ในลำดับของวงศ์ตระกูล”
“นายท่านรองก็สอบขุนนางได้แล้วหรือ?” หัวหน้าหมู่บ้านดีใจเป็นอย่างยิ่ง “เขานำความภาคภูมิมาสู่ทั้งหมู่บ้านสกุลลู่เชียวนะ!”
“ไม่ผิด ดังนั้นหมู่บ้านสกุลลู่จะได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลาสามปี”
“ดียิ่งนัก ใต้เท้า” หัวหน้าหมู่บ้านอดปลื้มปีติไม่ได้ “ข่าวดีเช่นนี้ควรประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ วันนี้พวกเราดื่มอีกหลาย ๆ จอก เพื่อแสดงความยินดีให้กับนายท่านรองลู่ผู้ที่อยู่ไกลในเมืองหลวงกันเถอะ”
ข่าวเรื่องลู่เซวียนสอบขุนนางได้เป็นจิ้นซื่อและได้รับหน้าที่ในสำนักบัณฑิตหลวงแพร่ไปไกลอย่างรวดเร็ว
“มีควันออกมาจากสุสานของสกุลลู่*[5] หรือ?”
“ถุย พูดเลอะเทอะอะไร คิดว่านี่เหมือนเมื่อก่อนที่คิดจะพูดสิ่งใดก็พูดได้หรือ” ชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนี้จึงรีบปิดปากภรรยาอย่างรวดเร็ว
ลู่อี้ไม่ได้วางท่าเหมือนขุนนาง ทว่าทุกคนล้วนคุยกับเขาด้วยความประหม่า ราวกับพ่อวัยชราสั่งสอนลูกชาย
ลู่อี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบากใจ เขาพูดในสิ่งที่ควรพูด ทักทายผู้อาวุโสหลายคน และสนทนากับพ่อค้าวาณิชที่เป็นฝ่ายเข้าหาก่อน
พ่อค้าวาณิชเหล่านี้ล้วนกระตือรือร้นที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีกับลู่อี้ ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาล้วนน่าฟัง ทำเอาชาวบ้านผู้ตรงไปตรงมาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับผงะเมื่อได้ยินความสามารถในการสรรเสริญเยินยอของพวกเขา
มู่ซืออวี่เดินอุ้มผิงอันออกมา
หญิงสาวในหมู่บ้านจึงได้หัวข้อใหม่สำหรับใช้สนทนา พวกนางกล่าวชื่นชมเด็กน้อยด้วยวิธีที่หลากหลาย เยินยอเขาราวกับเซียนน้อยบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
“ฮูหยินนายอำเภอเป็นลูกสาวของท่าน ท่านไปคุยกับนางสิ!” หนิวเหมยผลักมู่ต้าซานออกไป
[1] คนท้องเล็ก หมายถึง คนจิตใจคับแคบ
[2] งานมงคลสมรสต้องเป็นไปตามหลักหกพิธีการ ได้แก่ การสู่ขอ ขอวันเดือนปีเกิด การเสี่ยงทาย การมอบสินสอด การจัดหาฤกษ์มงคลสมรส และการรับเจ้าสาว
[3] อาบแสงสว่างจากผู้อื่น หมายถึง ได้รับประโยชน์จากบางคนหรือบางสิ่ง
[4] สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ หมายถึง ทุกสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลง ตกต่ำรุ่งเรืองล้วนไม่แน่นอน
[5] ควันออกมาจากสุสาน ใช้เปรียบเปรยเมื่อลูกหลานในตระกูลได้เป็นเจ้าคนนายคน