สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 409 ฮ่องเต้เรียกเขาไปพบ
บทที่ 409 ฮ่องเต้เรียกเขาไปพบ
บทที่ 409 ฮ่องเต้เรียกเขาไปพบ
ลู่อี้ได้เข้าวังในวันที่สอง
มู่ซืออวี่รอตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง จากเที่ยงจรดเย็น ในที่สุดก็เห็นรถม้าของวังหลวงพาสามีกลับมา
เมื่อลู่อี้ลงจากรถม้า มู่ซืออวี่ก็ทักทายเขา
ลู่อี้กล่าวกับเจ้าหน้าที่ทหารที่มาส่ง “ขอบคุณผู้บัญชาการจิ้น”
“ยินดีขอรับ” ผู้บัญชาการจิ้นตอบกลับ “ขอตัวลาก่อน”
หลังจากที่รถม้าของวังหลวงแล่นหายไป มู่ซืออวี่ก็มองไปที่ลู่อี้
เขาลูบหลังมือของนาง แล้วดึงให้เข้าไปข้างในจวน
“ท่านพี่” ลู่เซวียนทักทายเขา “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
“เป็นไปดังที่คุณชายเหวินอี้บอก ฮ่องเต้เรียกข้าไปพบ ไม่เพียงเพื่อทำความเข้าใจเรื่องวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองฮู่เป่ยเท่านั้น แต่ยังเพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดของคดีลักพาตัวเด็ก ทั้งยังต้องการให้ข้าสืบสวนร่วมกับเจิ้นกั๋วกงด้วย”
“แล้วท่านจะทำอย่างไรหรือขอรับ?” ลู่เซวียนถาม
“หลังจากผ่านไปหลายปี แม้ว่าเจิ้นกั๋วกงจะต้องการสอบสวน ทว่าเขาก็ไม่อาจสืบได้สำเร็จ เนื่องจากเป็นพระราชประสงค์ของฮ่องเต้ แน่นอนว่าข้าทำได้เพียงให้ความร่วมมือ” ลู่อี้กล่าว “พรุ่งนี้ข้าต้องไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทที่ตำหนักบูรพา ช่วงนี้ฮูหยินต้องรอฟังข่าวจากข้าอยู่ที่จวน แล้วค่อยกลับไปเมืองฮู่เป่ยด้วยกันหลังจากจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว”
“ท่านจัดการได้ใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม
ลู่อี้ยกยิ้มอ่อน “มั่นใจได้ จนถึงตอนนี้ สถานการณ์ปัจจุบันยังคงเป็นไปดังที่ข้าคาดการณ์”
ไม่กี่วันต่อมา ลู่อี้ก็ไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา และไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง
เดิมทีมู่ซืออวี่กังวลใจ แต่ในไม่ช้านางก็พบว่า ลู่อี้สามารถทำอะไรได้อย่างอิสระในหมู่ขุนนางเหล่านี้ ทั้งยังได้ผูกมิตรเพิ่มขึ้นด้วย
“ฮูหยิน” เซี่ยคุนพยุงลู่อี้เข้าประตูมา
ลู่อี้เดินโซเซ เห็นได้ชัดว่าเขาดื่มมากเกินไป
มู่ซืออวี่รีบคว้าตัวเขาไว้ ก่อนจะบอกจื่อซูและจื่อเยวี่ยนว่า “พวกเจ้าไปทำน้ำแกงแก้เมาค้างมา”
“เจ้าค่ะ”
เซี่ยคุนก็มีกลิ่นสุราติดกายเช่นกัน หลังจากส่งลู่อี้ให้มู่ซืออวี่แล้ว เขาก็บอกลา แล้วกลับไปนอนพักผ่อนที่ห้อง
มู่ซืออวี่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดตัวให้สามี
ลู่อี้คว้าแขนของนางแล้วลากไปที่เตียง
เมื่อจื่อซูและจื่อเยวี่ยนกลับมาจากการทำน้ำแกงแก้อาการเมาค้าง ก็ได้ยินเสียงแห่งความโกลาหลดังมาจากในห้อง พวกนางพลันเขินอาย รีบหลบฉากออกมาอย่างรวดเร็ว
วันต่อมา ลู่อี้รู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย จากนั้นเขาก็หลับไปไม่ได้สติ จนกลิ้งตกลงมาจากเตียง
เขาตื่นขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวด
จากนั้นก็เห็นมู่ซืออวี่นั่งอยู่บนเตียง ดวงตาคู่งามของนางเต็มไปด้วยความโกรธ
ลู่อี้ลุกขึ้นนั่ง สายตาที่ปกติมักจะสง่างามและเย็นชา กลับเต็มไปด้วยความสับสน “ฮูหยิน เหตุใดข้าถึงได้มานอนอยู่บนพื้นเล่า?”
“ข้าถีบลงไปเอง” มู่ซืออวี่เย้ยหยัน
“ข้าทะเลาะกับฮูหยินหรือ?” ลู่อี้งุนงง
“ท่านไม่รู้จริงหรือ?” มู่ซืออวี่ยิ้ม “เช่นนั้น ใต้เท้าลู่ก็ระลึกถึงหน่อยดีหรือไม่?”
ลู่อี้ลุกขึ้นพลางกอดผ้าห่ม จากนั้นก็เดินไปหามู่ซืออวี่ด้วยสีหน้าอ้อนวอนขอความเมตตา “ฮูหยิน ข้าผิดไปแล้ว…”
เมื่อเซี่ยคุนมาถึงแล้วเห็นว่าลู่อี้ยังไม่ออกมา เขาก็รออยู่ข้างนอก หลังจากรออยู่เป็นเวลานาน อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัวง่าย ๆ เซี่ยคุนเริ่มสงสัยว่าเมื่อวานลู่อี้เมามายมากเกินไปหรือไม่ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นายอำเภอเมืองฮู่เป่ยเดินออกมาพอดี
เมื่อเห็นรอยเล็บข่วนบนใบหน้าของลู่อี้ แววตาของเซี่ยคุนก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ใต้เท้า นี่คือ…”
“เอาล่ะ วันนี้จะไปหาใต้เท้าซ่างไม่ใช่หรือ? ไปกันเถิด!” ลู่อี้แตะตรงรอยเล็บ
จื่อซูและจื่อเยวี่ยนเดินเข้ามาพร้อมน้ำร้อน
มู่ซืออวี่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางแต่งหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฮูหยิน…” จื่อซูพูด “รอยเล็บข่วนบนใบหน้าของท่านใต้เท้าเห็นชัดมากนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้” มู่ซืออวี่พูดพร้อมปักปิ่นบนศีรษะ “มีปัญหาอะไรหรือ?”
“แน่นอนว่ามีปัญหาเจ้าค่ะ แม้ว่าท่านใต้เท้าจะยังเป็นนายอำเภอที่ตำแหน่งทางการยังไม่ใหญ่โตมาก ทว่าเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ไม่ช้าก็เร็วท่านจะถูกย้ายมาที่นี่เพื่อเป็นข้าหลวงประจำเมืองหลวง และในอนาคต ตำแหน่งทางการจะต้องสูงขึ้นมากกว่าเดิมเป็นแน่”
“ใต้เท้าต้องพบปะเหล่าขุนนางมากมายทุกวัน ท่านทิ้งรอยเล็บข่วนไว้บนใบหน้าของเขาชัดเจนเช่นนั้น ผู้อื่นจะคิดเช่นไรเล่าเจ้าคะ” จื่อซูกล่าว “นี่จะไม่ทำให้ท่านใต้เท้าต้องเสียหน้าหรือ ปกติฮูหยินเป็นคนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เหตุใดคราวนี้จึงพลาดได้เล่าเจ้าคะ?”
“จื่อเยวี่ยน เจ้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับนางใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม
“ฮูหยินไม่ใช่คนไร้เหตุผล” จื่อเยวี่ยนกล่าว “จื่อซูยังเข้าใจเหตุผลได้ แล้วฮูหยินจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? ต่อให้ฮูหยินจะโกรธจัดก็ไม่มีทางปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกอย่าง ข้าจึงคิดว่าท่านน่าจะมีเจตนาบางอย่าง เมื่อครู่นี้ข้าเห็นว่าท่านใต้เท้าก็ดูนิ่งเฉย แสดงว่าไม่ได้ถือสา ในเมื่อท่านใต้เท้ายังไม่ถือสา บ่าวก็ต้องเข้าข้างฮูหยินเจ้าค่ะ”
“บ่าวก็เข้าข้างฮูหยินเช่นกันเจ้าค่ะ ทว่าแค่กังวลว่าหากฮูหยินทำเช่นนี้ ท่านใต้เท้าจะไม่พอใจ เพราะหากเขาไม่พอใจขึ้นมาก็จะทำให้สามีภรรยาบาดหมางกันได้ง่ายขึ้นเจ้าค่ะ!” จื่อซูรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าทั้งสองเป็นสตรีที่ดี” มู่ซืออวี่ใช้ขี้ผึ้งทาริมฝีปาก “ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย เจ้านายของพวกเจ้าเมากลับมากี่วันแล้ว?”
“ห้าวัน หรือหกวันนะเจ้าคะ?” จื่อซูไม่แน่ใจ
“ทุกครั้งที่กลับมา ยังได้กลิ่นสตรีติดตัวมาด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาไปที่ใดมา” มู่ซืออวี่พ่นลมหายใจเย็นชา
“ใจของนายท่านมีเพียงฮูหยินเท่านั้น เขาจะไม่ทำให้ฮูหยินต้องเสียใจเป็นแน่เจ้าค่ะ” จื่อซูกล่าวกับมู่ซืออวี่
“ข้ารู้ ข้ารู้ชัดเจนดีว่าเขาทำอะไรให้ต้องเสียใจหรือไม่” มู่ซืออวี่กล่าว “แต่หากเป็นเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน ต่อให้ร่างกายจะถูกหลอมขึ้นด้วยเหล็กกล้าก็ไม่อาจทนได้ อีกทั้งสถานะของเขาก็ไม่ได้ธรรมดา เหล่าขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงจึงไม่ละเลยและกำลังทดสอบเขา เพราะอยากรู้ว่านายอำเภอเมืองฮู่เป่ยเป็นคนเช่นไร บัดนี้เขาออกไปพร้อมกับบาดแผล จึงดูเหมือนว่าเขาเป็นคนที่มีภรรยาเข้มงวด ซึ่งเป็นจุดอ่อน”
“พวกเจ้าลองคิดดูสิ เขาถูกภรรยาของตนเองควบคุมอย่างเข้มงวดจึงถูกข่วนเพราะถูกจับได้ว่าไปหอคณิกา ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าขุนนางเหล่านั้นจะยังเอาจริงเอาจังกับเขาอีกหรือไม่? เมื่อพวกเขาไม่จับตามองอีกต่อไป ใต้เท้าลู่ก็จะรับมือกับอะไร ๆ ได้ง่ายขึ้น เขาสามารถทำหลายสิ่งอย่างเงียบ ๆ ได้ โดยไม่ต้องถูกจับตาดู ในเมืองหลวงแห่งนี้มีขุนนางอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่โดดเด่นย่อมดีกว่าดึงดูดสายตาผู้คน”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” จื่อเยวี่ยนกล่าว “ฮูหยินจงใจทำเช่นนี้ เพื่อให้ท่านใต้เท้าหลีกเลี่ยงปัญหามากมายได้”
“คืนนี้เขาน่าจะได้กลับมาเร็วขึ้น” มู่ซืออวี่กล่าว “คนเหล่านั้นพยายามสืบมานานและพวกเขาก็บรรลุเป้าหมายแล้ว คงจะไม่รบกวนเขาอีกต่อไป”
“บ่าวช่างโง่เขลายิ่งนักที่สงสัยในเจตนาของฮูหยิน” จื่อซูเกาแก้มตัวเอง แล้วพูดอย่างอับอาย
“ไม่หรอก เจ้าไม่ได้เข้าใจผิด แม้ว่าเหตุผลส่วนหนึ่งคือเพื่อช่วยเขา แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อระบายความโกรธนั่นแหละ” มู่ซืออวี่นึกเย้ยหยัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ลู่อี้แสร้งทำเป็นไม่ได้สติ เพราะการดื่มสุราเมื่อคืนนี้
ในรถม้า ลู่เซวียนมองไปยังแก้มของลู่อี้ แล้วยกยิ้มฝืดเฝื่อน
ลู่อี้ชำเลืองมองเขา “ตลกนักหรือ?”
“พี่สะใภ้ก็คือพี่สะใภ้ นางเป็นคนเดียวที่สามารถคุมท่านได้ แต่คราวนี้ดูเหมือนท่านจะทำเกินไปจริง ๆ ไม่เพียงแต่เมามายกลับมาทุกวัน ทว่าบนร่างกายยังมีกลิ่นแป้งและรอยสีชาดด้วย นางทนได้นานถึงเพียงนี้ก็ดีแล้วขอรับ” ลู่เซวียนกล่าว
“หากข้าไม่เมา คนเหล่านั้นจะวางใจหรือ?” ลู่อี้พูดเสียงเบา “ในอนาคตอันใกล้นี้ เจ้าก็ควรระมัดระวังให้มากขึ้นด้วย พวกเขารู้ว่าเจ้าเป็นน้องชายของข้า จะต้องถามบางอย่างจากเจ้าเป็นแน่”