สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 412 เบาะแสอยู่ที่อื่น
บทที่ 412 เบาะแสอยู่ที่อื่น
บทที่ 412 เบาะแสอยู่ที่อื่น
“ข้าจำได้แล้ว” มู่ซืออวี่พูดขึ้น “วันนี้เราเดินผ่านหลายที่ คุณหนูฉู่เหงื่อออกมาก จึงเช็ดเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้า”
“ผ้าเช็ดหน้าเป็นของส่วนตัว นอกจากคนซักผ้าก็มีสาวใช้ในเรือนของหนิงจูเท่านั้นที่สามารถแตะต้องมันได้ จับพวกนั้นไปสอบปากคำทันที ข้าต้องการดูว่าผู้ใดกล้าทรยศต่อเจ้านายเช่นนี้”
“ท่านใต้เท้าส่งคนเหล่านั้นไปให้ศาลต้าหลี่สอบปากคำแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว “อีกทั้งท่านกั๋วกงยังถามด้วยว่าฮูหยินของใต้เท้าลู่อยู่ที่ใด และบอกว่าควรปฏิบัติต่อนางอย่างดี อย่าได้ทำให้ตกใจเจ้าค่ะ”
เปาซื่อมองมู่ซืออวี่ “ท่านกั๋วกงกล่าวเช่นนั้น ต้องเป็นเพราะทราบแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ทำให้เจ้าตกใจเสียแล้ว”
เดิมทีฉู่กั๋วกงไม่คิดอยู่แล้วว่ามู่ซืออวี่จะเป็นคนทำ เพราะนางไม่มีแรงจูงใจที่จะสังหาร เพียงแต่ต้องเรียกมาถามเพื่อจะได้ทราบรายละเอียดบางอย่าง
หมอหลวงเตรียมยาและส่งใบสั่งยามาให้เปาซื่อตรวจสอบ หลังจากได้รับอนุญาตจากเปาซื่อ ก็นำยาไปปรุงแล้วป้อนให้ฉู่หนิงจู
“ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรองและคุณหนูรองต้องการมาเยี่ยมคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” สาวใช้ที่พามู่ซืออวี่มาเมื่อครู่นี้เข้ามารายงานอีกครั้ง
“ให้พวกนางเข้ามา” เปาซื่อมองฉู่หนิงจูแล้วเอ่ยตอบ
“ท่านพี่…” หญิงวัยกลางคนที่ดูเฉลียวฉลาดมาถึงก่อน นางเดินเข้ามาพลางบ่นว่า “ข้าได้ยินว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับหนิงจู ข้ากังวลมากจนรีบกลับจากบ้านท่านแม่ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? หนิงจูดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ท่านป้าใหญ่” หญิงสาวที่อยู่ข้างฮูหยินรองปลอบโยนชัดถ้อยชัดคำ “พี่ใหญ่เป็นคนมีบุญ ต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน ท่านป้าใหญ่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ!”
“ถูกต้อง ท่านพี่ทานอาหารมังสวิรัติและสวดมนต์ไหว้พระมาหลายปี สวรรค์ย่อมไม่พรากหนิงจูไปเพราะเห็นแก่ท่านเจ้าค่ะ” ฮูหยินรองยกยิ้ม แต่สายตาของนางกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
เปาซื่อพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อเจ้ากับลูกสาวห็นแล้ว เช่นนั้นก็กลับไปก่อนเถิด หนิงจูเพิ่งกินยาและยังไม่ฟื้น เมื่อนางฟื้นแล้ว ข้าจะพานางไปเยี่ยม“
“ได้ยินมาว่าหนิงจูถูกวางยาพิษตอนที่นางออกไปเที่ยวเล่นกับคนอื่น ท่านพี่ หนิงจูเป็นสตรีที่กำลังจะออกเรือน เหตุใดนางถึงออกไปเที่ยวเล่นในเวลานี้เล่าเจ้าคะ?”
“หากจวินอ๋องรู้เข้าจะสบายใจได้อย่างไรเจ้าคะ ตำหนักของพวกเขามีกฎระเบียบมากมายเสมอ ทั้งยังชื่นชอบสตรีที่มีการศึกษาและมีเหตุผล ตระกูลฉู่ของเราเป็นตระกูลขุนพล พวกเขาจึงไม่ค่อยพอใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หากพวกเขาใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง การแต่งงานครั้งนี้จะไม่มีปัญหาหรือเจ้าคะ?”
มู่ซืออวี่รู้มานานแล้วว่าการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในครอบครัวที่ร่ำรวยเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ นางก็รู้สึกเห็นใจพวกเขาขึ้นมาเล็กน้อย
คนที่นอนอยู่บนเตียงยังไม่ทันฟื้นขึ้นมา ทว่าเหล่าญาติก็ไม่ได้สนใจว่าคนเป็นแม่จะรู้สึกไม่สบายใจเพียงใด กลับใช้เข็มทิ่มแทงหัวใจของอีกฝ่าย เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกนางจะฉวยโอกาสซ้ำเติมขณะที่อีกฝั่งกำลังเป็นทุกข์?
“น้องรองไม่ต้องห่วง ลูกสาวของข้าดูแลตัวเองได้” เปาซื่อกล่าว “พวกเจ้ามาเยี่ยมคนป่วย ท่านแม่เฒ่ารู้เข้าย่อมชมเชย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ดมกลิ่นยาที่นี่หรอก”
“เอาล่ะ เช่นนั้นหากท่านพี่ต้องการความช่วยเหลือก็บอกข้าได้เจ้าค่ะ” ฮูหยินรองมองไปที่มู่ซืออวี่ เมื่อนางเห็นชุดเรียบง่ายบนร่างกายของฮูหยินนายอำเภอ นางก็ไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง “ไปก่อนนะเจ้าคะ!”
ฉู่เจินจูมองไปยังฉู่หนิงจูที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ความอิจฉาริษยาฉายแววในดวงตาของนาง
การแต่งงานเข้าตระกูลสูงศักดิ์นั้นเกินเอื้อม แต่ฮ่องเต้กลับให้ฉู่หนิงจู บุตรสาวของตระกูลฉู่แต่งเข้าราชวงศ์ ฉู่เจินจูจึงไม่พอใจมาก แน่นอนว่านี่ทำให้นางเกลียดชังพี่น้องมากกว่าเดิม
“แค่ก…” ฉู่หนิงจูไอออกมาครั้งหนึ่ง
“ลูกสาว” เปาซื่อรีบกุมมือของฉู่หนิงจู “เจ้าฟื้นแล้ว!”
ฉู่หนิงจูค่อย ๆ ลืมตาขึ้น “ข้าเป็นอะไรไป? เหตุใดจึงรู้สึกแน่นหน้าอก เหมือนหายใจไม่ออก?”
“เจ้าถูกวางยาพิษ” มู่ซืออวี่ตอบ “หลังจากที่เจ้าแยกกับข้า เจ้าก็ถูกวางยาพิษและล้มลงกับพื้น”
“พี่สาว” เมื่อเห็นมู่ซืออวี่ นางก็เตรียมจะลุกขึ้นอย่างกระวนกระวาย แต่ร่างกายของนางอ่อนแอเกินกว่าจะเคลื่อนไหวได้ “ท่านรู้แล้วหรือ? ข้า…”
“ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้าปลอมตัวเป็นชาย แต่ข้าไม่ได้บอกใคร ไม่ต้องเขินอายหรอก เจ้าเป็นหญิงสาวจากเมืองหลวง เมืองฮู่เป่ยนั้นอยู่ไกลนัก อีกทั้งเจ้ายังมีรูปโฉมงดงามยิ่ง เป็นเรื่องปกติที่สตรีจะปลอมตัวเป็นบุรุษ เพราะหากเจ้าออกไปข้างนอกด้วยชุดสตรีก็คงดูโง่เขลาไม่น้อย แต่ก่อนอื่น ขอพูดเรื่องพิษที่เจ้าโดนเสียก่อน เจ้าถูกวางยาพิษ แต่กลับไม่รู้สึกตัวเลยหรือ?”
“เมื่อเช้านี้ข้าคัดจมูกเล็กน้อยและรู้สึกอ่อนแรงมาก แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นหวัดธรรมดา หากได้ออกไปเดินเล่นรับลมให้เหงื่อออกสักหน่อยคงจะดีขึ้น” ฉู่หนิงจูกล่าว “ตอนนี้เมื่อลองคิดดูแล้ว ข้าคงถูกวางยาพิษตอนเช้าเจ้าค่ะ”
“ไปรายงานท่านกั๋วกงเร็ว ๆ ว่าคุณหนูฟื้นแล้ว”
สาวรับใช้เดินออกไปได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากข้างนอก
เปาซื่อยืนขึ้นทักทายเขาพร้อมกับสาวใช้
มู่ซืออวี่ยืนอยู่ข้างหลังเปาซื่อ
ในบรรดากลุ่มคนที่เดินเข้ามา คนหนึ่งคือชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่ง เขาไม่ได้ดูดุร้ายทว่าเปี่ยมไปด้วยอำนาจ เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในตำแหน่งสูงมาโดยตลอด
มีชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งอยู่ข้างหลังเขา คนผู้นั้นสวมเครื่องแบบข้าหลวง อีกฝ่ายน่าจะมาทำคดี
ลู่อี้เองก็อยู่ในกลุ่มพวกเขาเช่นกัน
“ท่านกั๋วกง ลูกสาวฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” เปาซื่อกล่าว
“รู้แล้ว” ฉู่กั๋วกงพยักหน้าให้นาง “เจ้าพาฮูหยินลู่ออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะถามลูกสาวของเราสักหน่อย”
มู่ซืออวี่แอบชื่นชมสายตาอันเฉียบแหลมของฉู่กั๋วกง
มีผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ในห้อง ไม่มีผู้ใดแนะนำภูมิหลังของนางแม้แต่น้อย ทว่ามองเพียงปราดเดียว เขาก็รู้ได้ว่านางคือ ‘ฮูหยินลู่’
ชุดที่นางสวมใส่ทำจากผ้าของเมืองฮู่เป่ย ซึ่งแตกต่างจากผ้าในเมืองหลวง แม้ว่าชุดของนางจะเรียบง่าย แต่เครื่องประดับทองคำบนศีรษะของนางมีค่ามาก แม้แต่ฮูหยินของข้าหลวงธรรมดาก็ไม่อาจซื้อได้ มีเพียง ‘ฮูหยินลู่’ ที่มีอาชีพค้าขายจนมีเงินไม่ขาดมือเท่านั้นที่จะครอบครองของมีค่าเช่นนี้
ถูกต้อง!
มู่ซืออวี่จงใจทำตัวเป็นคนสมถะที่โดดเด่น
นางทำตัวสมถะเพราะตำแหน่งทางการของลู่อี้ไม่สูงนัก และนางไม่ต้องการดึงดูดความสนใจของผู้คนมากเกินไป
ในขณะเดียวกันนางก็จงใจโดดเด่นเพราะต้องการให้คนเหล่านั้นรู้ว่า แม้ลู่อี้จะไม่ใช่ขุนนางระดับสูง แต่เขาก็มีเงินไม่ขาดมือ
ก่อนที่ลู่อี้จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เขาต้องติดต่อกับผู้คนมากมาย
เขาจะสานสัมพันธ์กับเหล่าขุนนางอย่างไรน่ะหรือ
อำนาจอย่างเดียวก็เพียงพอ ตราบใดที่มีอำนาจ ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารย่อมโดดเด่นขึ้น และคนประจบสอพลอก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ก่อนที่จะมีอำนาจ ก็ต้องมีความมั่งคั่งเสียก่อน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ลู่อี้พกตั๋วเงินหลายหมื่นตำลึงติดตัวไว้ ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลม เขาต้องทำให้เงินเหล่านี้มีประโยชน์มากเป็นแน่
“ฮูหยินกั๋วกง คุณหนูฉู่ฟื้นแล้ว ตราบใดที่สามารถกำจัดพิษที่ตกค้างได้ก็จะหายดี ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ” มู่ซืออวี่ปลอบโยน
“ตราบใดที่ยังจับฆาตกรไม่ได้ ข้าก็ไม่อาจโล่งใจ” เปาซื่อกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องประสบเรื่องไม่ดีเมื่อกลับมาเมืองหลวง คงจะดีกว่าถ้าข้าปล่อยให้นางไปอยู่ข้างนอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับเรื่องเช่นนี้”