สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 418 ก่อนส่งมอบตำแหน่ง
บทที่ 418 ก่อนส่งมอบตำแหน่ง
บทที่ 418 ก่อนส่งมอบตำแหน่ง
เรื่องนี้นับได้ว่าได้ข้อสรุปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะเอ่ยอะไรอีกต่อไป
ลู่อี้ปล่อยเวินเหวินซงไว้ตามลำพัง ทั้งสองคนพูดคุยอยู่ในห้องเป็นเวลานาน เมื่อเขาออกมาอีกครั้ง สีหน้าของเวินเหวินซงก็ผ่อนคลายลงไปมากแล้ว
เมื่อเวินเหวินซงกลับมาถึงบ้าน คนรับใช้ของเขารายงานว่า ‘นายน้อยโจวมาแล้ว’
“เชิญเข้ามาเร็วเข้า”
โจวป๋อเหวินเดินกรุยกรายตามบ่าวรับใช้ของเขาเข้ามา ราวกับเห็นที่นี่เป็นบ้านของตนเอง ประหนึ่งมีสายสัมพันธ์พี่น้องกับเวินเหวินซงอย่างแน่นแฟ้น
“ได้ยินว่าใต้เท้าลู่กลับมาแล้ว” โจวป๋อเหวินนั่งลงข้าง ๆ เวินเหวินซง
“ข่าวสารของสหายโจวช่างดียิ่ง หรือว่าที่ศาลาว่าการของเรามีคนของท่าน?” เวินเหวินซงแย้มยิ้ม ทว่าดวงตากลับไร้ร่องรอยของความอบอุ่น
โจวป๋อเหวินสะบัดมือ “ที่ไหนกัน คนของข้าเผอิญเห็นรถม้าของใต้เท้าลู่เข้าเมืองมาพอดีน่ะสิ พวกเราทำการค้า ย่อมต้องสอดส่ายสายตาดู หูก็ต้องฟังรอบด้าน”
“สหายโจวช่างล้ำลึก” เวินเหวินซงรินชาจอกหนึ่ง “ดื่มชาเถิด”
“ดื่มชาย่อมได้ ทว่า…” โจวป๋อเหวินโน้มตัวไปใกล้ ๆ เวินเหวินซง “ใต้เท้าลู่กลับมาแล้ว เช่นนั้นการค้าของเรา… คงไม่กระทบอะไรใช่หรือไม่?”
เวินเหวินซงกระดิกนิ้วเรียกโจวป๋อเหวิน “ท่านเข้ามาใกล้ ๆ ข้ามีอะไรจะบอกกล่าวท่าน”
โจวป๋อเหวินโน้มตัวเข้าไปอย่างตื่นเต้น “อะไรหรือ?”
“ใต้เท้าลู่ไปเมืองหลวงครานี้…”
สายตาของโจวป๋อเหวินสว่างวาบขึ้นมา “จริงหรือ? ท่านกำลังจะได้เป็นนายอำเภอแล้วหรือ?”
เวินเหวินซงโบกพัดในมือตน สีหน้าอิ่มเอมใจราวกับกำลังบอกว่า หลอกท่านแล้วจะมีประโยชน์อะไร
“ดียิ่งนัก สหายเวิน”
โจวป๋อเหวินคุยกับเวินเหวินซงอีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงรุดกลับไปที่บ้าน
โจวฟู่กุ้ยอยู่ที่บ้านพอดี เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีตื่นเต้นของโจวป๋อเหวิน เขาจึงกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจ “ตราบใดที่ฟ้ายังไม่ถล่มทลายลงมา ไม่จำเป็นต้องร้อนรนปานนั้น เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านพ่อ ใต้เท้าลู่จะได้เข้าไปเป็นขุนนางในเมืองหลวงแล้ว ปลัดอำเภอเวินที่ข้าสาบานเป็นพี่น้องด้วย เดี๋ยวก็จะได้เป็นนายอำเภอแล้ว” โจวป๋อเหวินเอ่ยไปยิ้มไป “ครานี้สายตาอันกว้างไกลของข้าแม่นยำหรือไม่?”
“ไม่เลวเลย!” โจวฟู่กุ้ยกล่าวชมเชย “ในที่สุดก็จับจุดได้เสียที”
“เช่นนั้นการค้าของพวกเรา…”
โจวฟู่กุ้ยลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นก็ให้ใต้เท้าเวินเข้าร่วม”
ใต้หล้ามีผู้ทำการค้ามากมาย ทุกคนล้วนต้องการร่ำรวย ทว่าร่ำรวยไม่เพียงขึ้นอยู่กับโชคเท่านั้น ยังขึ้นอยู่กับเล่ห์เหลี่ยมลูกไม้อีกด้วย
โจวฟู่กุ้ยยามเยาว์วัยกอดต้นขาถูกคนจึงทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า บัดนี้มีโอกาสมาวางกองตรงหน้าอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยไปง่าย ๆ ขอแค่เพียงพวกเขาคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ได้ บางทีอาจพาตระกูลโจวขึ้นไปอีกระดับ
หลายวันต่อมา เวินเหวินซงส่งข้อมูลกิจการของตระกูลโจวให้ลู่อี้
“รวบแหเลยหรือไม่ขอรับ?”
“รวบ” หลังจากอ่านดูแล้วลู่อี้จึงกล่าวอย่างนิ่งขรึม “เพิ่งผ่านพ้นฤดูหนาว ชีวิตของราษฎรไม่ง่ายเลย ควรแก่การฆ่าหมูรับปีใหม่แล้ว”
‘หมู’ ตัวนี้คือผู้ใด ทุกคนล้วนเข้าใจตรงกัน
กิจการของตระกูลโจวฉากหน้าดูเหมือนใสสะอาด
ทว่าภายในกลับมีเรื่องราวดำมืดมากมาย…
…
เจิ้งซูอวี้และมู่ซืออวี่กำลังตรวจกิจการ
กิจการในเมืองซูโจวส่งต่อให้กับลูกน้องของเจิ้งซูอวี้ที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง เจี่ยงจงได้รับข่าวจากมู่ซืออวี่แล้ว กำลังอยู่ระหว่างรุดเดินทางมายังเมืองฮู่เป่ย สิ่งที่ต้องจัดการในเวลานี้คือส่งต่องานของสาขาหลักให้ผู้มาใหม่ นั่นก็คือ ลูกศิษย์คนหนึ่งที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
“ท่านพาหวังต้าชุน เจี่ยงจง และเฟิงเจิงไปในคราเดียวเช่นนี้ ข้างกายข้าไม่มีผู้ใดสักคน นี่จะเกินไปแล้วนะ” เจิ้งซูอวี้แสร้งทำเป็นขุ่นเคือง
“คนของท่านคงมาหาท่านแล้วกระมัง” มู่ซืออวี่หันกลับมามองนาง “แต่ก่อนท่านได้รับการเคารพนับถือมากมาย ย่อมมีผู้คนที่ใช้สอยได้ไม่น้อย หากเจอคนที่ใช้ได้ ท่านก็ใช้พวกเขาเถิด ข้าไม่อยู่ ทุกอย่างที่เมืองฮู่เป่ยนั้นแล้วแต่ท่าน”
“ท่านลำบากลำบนสร้างทุกอย่างที่นี่ขึ้นมา บัดนี้กลับโยนทุกสิ่งทุกอย่างมาให้ข้า นี่ไม่นับว่าเป็นการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น*[1] หรือ?”
“กิจการยังคงเป็นของข้า ผู้ใดล้วนรู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงของเรือนกรุ่นฝันและ ลานหรรษาเป็นผู้ใด ถึงแม้จะเป็นชุดแต่งงาน นั่นก็เป็นชุดแต่งงานที่ข้าทำ อย่าครึ้มอกครึ้มใจไปล่ะ”
“ท่านไม่เสียเปรียบเลยจริง ๆ” เจิ้งซูอวี้เอ่ยด้วยความขัดเคือง “วาจาข้าไม่สู้ท่าน แต่ท่านวางใจได้ ข้าเจิ้งซูอวี้ไม่ใช่คนไม่รู้จักคุณคน หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าคงไม่ได้เป็นข้าอย่างทุกวันนี้ กิจการของที่นี่ข้าจะดูแลให้ท่านเป็นอย่างดี แน่นอนว่าท่านไม่อาจผิดต่อข้า เงินที่ได้รับอย่างน้อยต้องสามต่อเจ็ดส่วน ท่านเจ็ดข้าสาม”
“ตกลง”
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องการจัดการ ‘กลุ่มการค้า’
“ผู้นั้นที่อยู่ด้านหน้าใช่คุณหนูหลี่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามเจิ้งซูอวี้
เจิ้งซูอวี้หันกลับไปมอง เมื่อเห็นคนผู้นั้นจึงเอ่ยว่า “นอกจากนางแล้วจะมีผู้ใดได้เล่า”
“เหตุใดนางแต่งกายเช่นนั้น?”
สวมใส่เสื้อผ้าหยาบ ๆ มวยผมขึ้นเรียบ ๆ สีหน้านิ่งเย็นประหนึ่งแม่ชีเต๋าผู้เห็นโลกมามากอย่างไรอย่างนั้น
“ระยะนี้ท่านไม่อยู่ จึงไม่รู้เรื่องนาง” เจิ้งซูอวี้กล่าว “คนสกุลหลี่ทนนางไม่ได้ นางจึงเข้าสำนักเต๋าด้วยความขุ่นเคือง นางจ่ายเงินไปไม่น้อย กลายเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว”
“เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำกับตนถึงเพียงนี้กระมัง”
“ข้าพยายามโน้มน้าวนางแล้ว แต่นางไม่ฟัง ยังกล่าวอีกว่าข้าเห็นนางเป็นเรื่องตลก” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “นางเย่อหยิ่งทะนงตน แต่ก่อนชอบแข่งขันกับข้าเช่นนั้น บัดนี้กลับใช้ชีวิตอย่างนี้ ที่ไม่อยากเห็นที่สุดก็คือข้า ข้าเข้าใจความรู้สึกของนาง สุดท้าย ที่ควรโน้มน้าวก็โน้มน้าวแล้ว หากนางต้องการใช้ชีวิตเช่นนี้ อย่างนั้นก็แล้วแต่นางเถิด อย่างไรเสียก็ไม่อาจแย่กว่าเมื่อก่อนแล้ว”
“ผู้ดูแลเจิ้ง เถ้าแก่เนี้ยมู่” ฉินเหวินหานเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญจริง ถึงมาพบกันที่นี่ได้ การพบกันนับเป็นโชคชะตา ไม่สู้พวกเราไปดื่มชาสักถ้วยดีหรือไม่?”
“โชคชะตาก็คือโชคชะตา หากแต่ผู้ใดลิขิตนั้น ไม่อาจรู้ได้แล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “พวกท่านไปดื่มชาเถิด พอดีข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ”
ฉินเหวินหานมองเจิ้งซูอวี้ด้วยรอยยิ้ม “ผู้ดูแลเจิ้ง ให้เกียรติข้าได้หรือไม่?”
“เถ้าแก่ฉินเป็นลูกค้าผู้มีอุปการะคุณของเรา เกียรตินี้ข้าย่อมต้องให้เจ้า” เจิ้งซูอวี้เอ่ยอย่างนุ่มนวล “เถ้าแก่ฉินนำทางไปเถิด!”
มู่ซืออวี่เดินผ่านร้านแผงลอยแห่งหนึ่ง เห็นชายชราถือฟืนยืนตัวสั่นสะท้านท่ามกลางลมหนาว จึงให้จื่อซูไปซื้อฟืนทั้งหมดนั้นมา
จื่อซูบอกชายชราผู้นั้นแล้วจ่ายเงินให้ ชายชราขายฟืนผู้นั้นขอบคุณอย่างซาบซึ้งแล้วจากไป
“ฮูหยินเจ้าคะ ปีนี้อากาศหนาวยิ่งนัก”
“หนาวเพียงนี้ ชีวิตของชาวบ้านคงลำบากยิ่งกว่าเดิมแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “จวนพวกเราเตรียมถ่านและฟืนไว้ให้มากหน่อย”
“ไม่ต้องเอ่ยถึง ยังได้ยินว่าราคาถ่านปีนี้พุ่งขึ้นสูงอีกโขเลยเจ้าค่ะ” จื่อเยวี่ยนเอ่ย “เมื่อวานนี้ท่านป้าหลี่ในห้องครัวยังบ่นกับข้าอยู่เลย”
“ราคาสูงขึ้น พวกเรายังต้องฝืนใจซื้อ หากเป็นชาวบ้านทั่วไปเล่า พวกเขาจะมีเงินส่วนนี้หรือ?” มู่ซืออวี่กล่าว “วันที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามีคนกี่มากน้อยที่แข็งตายไป”
“นี่เป็นภัยธรรมชาติ ไม่มีทางแก้ ถึงแม้ฮูหยินจะมีเมตตา นายท่านจะเป็นขุนนางที่ดีห่วงใยราษฎร อย่างไรก็ไม่อาจต่อกรกับฟ้าได้” จื่อซูเอ่ย “เมื่อก่อนที่ยังอยู่ในหมู่บ้าน มักจะมีคนแก่คนเฒ่ามากมายหนาวตายทุกฤดูหนาว”
“บางทีก่อนที่จะไป ข้ายังสามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนเมืองฮู่เป่ยได้” มู่ซืออวี่กล่าวขึ้น
[1] ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น หมายถึง เหน็ดเหนื่อยทำงาน แต่ผลประโยชน์กลับตกอยู่ที่คนอื่น