สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 424 เป็นความผิดของข้าเอง
บทที่ 424 เป็นความผิดของข้าเอง
บทที่ 424 เป็นความผิดของข้าเอง
สำนักศึกษาเหวินชาง บรรยากาศเงียบสงบ
ฟ่านอวี๋จัดวางอาหาร รินสุราหนึ่งจอก แล้วเอ่ยกับเหวินอวี่เซวียนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้าต่าง “ปีใหม่แล้ว เหตุใดท่านไม่ออกไปเดินเล่นเสียบ้าง ปีใหม่ปีนี้ครึกครื้นเป็นพิเศษ เมืองเราชื่อเสียงโด่งดัง คนมากมายหลั่งไหลมาที่นี่ ท่านควรออกไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย”
เหวินอวี่เซวียนพลิกหน้ากระดาษ ดวงตาไล่ตามตัวอักษรในตำรา จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้าแล้ว ข้ารักความสงบ ไม่ชอบสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน เจ้าไปเล่นกับพวกเขาเถอะ”
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน” ฟ่านอวี๋เอ่ย จัดจานและตะเกียบให้เข้าที่เข้าทาง “หากท่านไม่อยากเห็นข้า เช่นนั้นก็มาทานอาหารกับข้าเถอะ อย่างนี้ข้าก็จะไม่รบกวนท่านแล้ว”
เหวินอวี่เซวียนวางตำราในมือลง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเดินไปด้วยท่วงท่าสง่างาม
ฟ่านอวี๋เห็นเขาเช่นนี้แล้ว ในใจของนางพลันรู้สึกขมปร่า “ท่านยังคงไม่ไว้หน้าข้าแม้แต่น้อยเช่นเคย”
“ข้าไม่มา เจ้าก็ไม่ยินดี ข้ามาแล้ว เจ้าก็ยังคงไม่ยินดี อารมณ์ของเจ้าช่างคาดเดาได้ยากขึ้นทุกทีแล้ว” เหวินอวี่เซวียนยิ้มบาง ๆ “เอาล่ะ อย่าได้น้อยใจราวกับเด็ก ๆ เลย มานั่งเถอะ”
“ท่านยังคงปฏิบัติกับข้าเฉกเช่นเด็กเสมอ” ฟ่านอวี๋หลุบตาลง “ช่างเถิด เวลานี้พวกเรามีความสุข หลีกเลี่ยงการโต้เถียงเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้นปีหน้าคงต้องทะเลาะกันไปอีกปี”
ภายในสำนักศึกษาเหลือเพียงพวกเขาสองคน
บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลเด็กยามปกติล้วนกลับบ้านไปเฉลิมฉลองปีใหม่แล้ว
ทุกคนล้วนมีญาติและคนรักที่รักใคร่ห่วงใย มีเพียงพวกเขาสองคนที่เป็นคนคุ้นเคยกันที่สุด กลับดูเหมือนไม่คุ้นเคยและแปลกหน้า ราวกับมีภูเขาและแม่น้ำนับพันหมื่นขวางกั้นพวกเขาเอาไว้ ดั่งธารน้ำแข็งคิมหันตฤดูเสียอย่างนั้น
เกิดบรรยากาศอันเงียบงันน่าอึดอัดขึ้นมา
ฟ่านอวี๋ยกจอกสุราขึ้น “พี่ใหญ่เหวิน หวังว่าท่านจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านต้องการ สมหวังดั่งใจท่านหมายปอง ภายหน้ามีแต่ความสุขในทุก ๆ วัน ไม่ต้องถูกสิ่งใดผูกมัดอีก”
“ขอบคุณ หวังว่าเจ้าจะพานพบความสัมพันธ์ที่ดีในเร็ววัน อย่าได้เสียเวลาอีกต่อไป” เหวินอวี่เซวียนมองนางอย่างจริงใจ
“ได้” ฟ่านอวี๋ดื่มสุราลงไป “เช่นนั้นท่านค่อย ๆ ทาน ข้าจะไปแล้ว”
“ข้าจะไปส่งเจ้า” เหวินอวี่เซวียนลุกขึ้น
“ไม่ต้องล่ะ” ฟ่านอวี๋เดินออกไปข้างนอก
พริบตาที่หมุนตัวจากมา หยาดน้ำตาพลันไหลลงจากดวงตานางอย่างไม่อาจควบคุม
ลาก่อน สิบห้าปีที่แอบรัก
ลาก่อน ตนที่ลุ่มหลงกับมันนานนับสิบห้าปี จวบจนร่วงหล่นสู่ความสิ้นหวัง
นางออกมาจากประตูแล้ว ประตูที่กำลังแง้มปิดก็เหมือนประตูหัวใจที่ปิดสนิทของเขาบานนั้น
“ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว” น้ำเสียงใสกระจ่างดังขึ้น “ข้างนอกหนาวเหลือเกิน ข้ารอท่านอยู่นานแล้ว โชคดีที่ท่านยังมีนโนธรรม รู้จักออกมาเร็ว ๆ”
ฟ่านอวี๋มองชายผิวคล้ำที่อยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าชอบสวมชุดตัวสั้นแขนแคบ ระยะนี้กลับเปลี่ยนรูปแบบการแต่งกาย บุรุษที่เคยสวมชุดคลุมไม่เข้าท่าเข้าทีกลับแต่งกายราวกับปัญญาชน
“อยากดื่มสุราหรือไม่?”
จั่วอวิ๋นหู่มองนางด้วยสายตาประหลาดใจ “ท่านอยากดื่มหรือ?”
“ข้าเพียงแค่ถามว่าท่านอยากดื่มสุราหรือไม่?” ฟ่านอวี๋ขมวดคิ้ว “ไม่อยากดื่มก็แล้วไปเถอะ”
“ดื่ม!” จั่วอวิ๋นหู่ตอบรับอย่างรวดเร็ว “ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่ดี ๆ แห่งหนึ่ง”
เมืองฮู่เป่ยคึกคักอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ตกกลางคืนแล้วนับว่าเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจอีกฉากหนึ่ง
ดอกไม้ไฟบานอยู่บนฟากฟ้า หอบความคาดหวังในอนาคตของทุกคนไป ทุกคนได้แต่หวังว่าอนาคตของตนจะเปล่งประกาย งดงามดุจดอกไม้ไฟบนผืนฟ้า
ลู่จื่ออวิ๋นมือหนึ่งจับลู่อี้ อีกมือหนึ่งจับมู่ซืออวี่ ส่วนลู่ฉาวอวี่เดินตามมา จากนั้นหยุดอยู่ข้างลู่อี้
หนึ่งครอบครัวสี่ชีวิต ไม่ใช่สิ บวกกับอีกหนึ่งชีวิตในท้องด้วย หนึ่งครอบครัวห้าชีวิตยืนอยู่บนระเบียงของภัตตาคาร มองดูดอกไม้ไฟเต็มท้องฟ้า ใบหน้าหล่อเหลางดงามของพวกเขาอาบย้อมไปด้วยแสงจากดอกไม้ไฟ
“นี่เป็นปีสุดท้ายของพวกเราที่จะได้ฉลองในเมืองฮู่เป่ยแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “เมืองฮู่เป่ยนับได้ว่าถูกพวกเราสร้างขึ้นมาทีละเล็กละน้อย ไม่อยากจากที่นี่ไปเลยจริง ๆ”
“หากเจ้าไม่อาจทำใจได้ ภายหน้าพวกเราค่อยกลับมาดู” ลู่อี้เอ่ย “สุสานของท่านพ่อท่านแม่อยู่ที่นี่ ที่นี่นับว่าเป็นรกรากของพวกเรา ไม่ช้าก็เร็วพวกเราย่อมกลับมา”
“เมืองฮู่เป่ยช่างสวยงามจริง ๆ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น “ที่นี่มีกลิ่นอายของท่านพ่อท่านแม่”
ลู่อี้ได้สร้างชื่อในฐานะที่เป็นขุนนางของที่นี่ไว้มากมาย
ส่วนมู่ซืออวี่ในฐานะหัวหน้ากลุ่มการค้า นับว่าเป็นผู้ทำการค้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังของที่นี่ นางเป็นที่เล่าลือไม่น้อย
ถึงแม้พวกเขาจะจากไปแล้ว เรื่องราวของพวกเขาจะยังคงอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพราะไม่มีขุนนางคนใดมีอำนาจตัดสินใจอย่างลู่อี้ และไม่มีฮูหยินนายอำเภอท่านใดที่เป็นดั่งญาติสนิทเหมือนมู่ซืออวี่แล้ว
“นั่นท่านลุงเซี่ยและน้าอัน” ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปยังข้างล่างแล้วเอ่ยว่า “ท่านลุงเซี่ยกำลังซื้อหน้ากากเจ้าค่ะ”
บนถนน เซี่ยคุนกำลังพาอันอวี้เที่ยวซื้อของ
เซี่ยคุนที่ปกติมักไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ วันนี้ก็สวมใส่เสื้อคลุมชุดใหม่เช่นกัน เขาจูงอันอวี้ที่แต่งกายงดงามเดินชมและซื้อของนานาชนิด ดูรักใคร่ภรรยาเฉกเช่นสามีภรรยาทั่วไป
เมื่อมองไปในฝูงชนก็พบคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีไม่น้อย
ทั้งถงซื่อและท่านหมอจู ครอบครัวของเหยาซื่อ ลู่เจินเจินและพวกพี่หญิงเฉิน…
คนคุ้นเคยเหล่านี้ล้วนแต่งกายงดงาม
“ใต้เท้า” นักการเกาเดินเข้ามา
ลู่อี้เห็นนักการเกาจึงหันกลับไปมองมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่ลูบผมของลู่จื่ออวิ๋นเบา ๆ “อยากไปเล่นทายคำใบ้บนโคมลอยหรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นปล่อยมือลู่อี้ “ข้ารู้ว่าท่านพ่อจะวุ่นอยู่กับงานอีกแล้ว ท่านไปทำงานของท่านเถอะ ข้าจะไม่เกาะติดท่าน ท่านแม่ด้วย ตอนนี้ท่านต้องดูแลตัวเองดี ๆ ไม่อาจไปที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน อย่างที่ท่านตาจูกล่าว ข้าล้วนจำไว้หมดแล้ว”
มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา “ใช่แล้ว เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ของเราช่างเข้าอกเข้าใจ เฉลียวฉลาดเป็นที่สุด”
นักการเกาโน้มตัวเข้ามาแล้วเอ่ยกับลู่อี้ไม่กี่คำ
“วันนี้เป็นวันสิ้นปี ท่านไม่ต้องอยู่ศาลาว่าการแล้ว กลับไปอยู่กับคนในครอบครัวเถอะ!” ลู่อี้เอ่ย “ไม่ต้องสนใจชายคนนั้น จริงสิ ท่านไปภัตตาคาร สั่งสุราดีอาหารเลิศรสให้สหายที่ปฏิบัติหน้าที่เสียหน่อย วันนี้ลำบากพวกเขาแล้ว”
“ฮูหยินบอกไว้แล้ว วันนี้ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่จะได้รับหนึ่งตำลึงเงิน ทุกคนล้วนเต็มใจปฏิบัติหน้าที่ทั้งนั้น” นักการเกาเอ่ย “ได้ยินว่าพวกท่านต้องเข้าเมืองหลวง เจ้าเด็กพวกนั้นเศร้าใจเป็นอย่างมากเชียวล่ะ อย่างไรเสียนายท่านที่ใจกว้างอย่างใต้เท้าและฮูหยินก็หาได้ยากยิ่งนัก”
“เหวินซงได้ยินคำนี้คงปวดใจแล้ว” ลู่อี้หัวเราะ
“นี่เป็นความจริง ถึงแม้เขาจะอยู่ที่นี่ก็ต้องเอ่ยเช่นเดียวกัน” นักการเกากล่าว “ในเมื่อใต้เท้าบอกว่าไม่สนใจคนผู้นั้น เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนเวลาครอบครัวพวกท่านแล้ว”
หลังจากนักการเกาไปแล้ว มู่ซืออวี่จึงถามลู่อี้ “ไม่ไปดูสักหน่อยหรือ?”
ลู่อี้ส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น คงไม่รีบร้อนไปสักระยะหนึ่ง”
นักการเกาบอกเขาว่า ‘โจวฟู่กุ้ยเปิดปากแล้ว’
หากเป็นปกติ เขาย่อมต้องไปดู ทว่าวันนี้ไม่ได้ เขาอยากใช้เวลาช่วงปีใหม่อยู่กับภรรยาและลูก ๆ ของเขา ไม่มีสิ่งใดดึงดูดความสนเขาไปได้ ถึงแม้ภรรยาและลูกของเขาจะมีเหตุผล เข้าใจความลำบากใจของเขา เขาก็ไม่อาจสนใจเพียงตนเองแล้วเมินเฉยต่อความรู้สึกของพวกเขาได้
“ฉาวอวี่!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านล่าง “ลู่ฉาวอวี่! ลงมานี่!”
ลู่ฉาวอวี่มองฟ่านเหยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างล่างและกำลังกระโดดโลดเต้นราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง
การแต่งกายของฟ่านเหยี่ยนในวันนี้ช่างเหมือนกระต่ายน้อยจริง ๆ ไม่มีบรรยากาศขององค์ชายแม้แต่น้อย
“อวิ๋นเอ๋อร์ ทางด้านโน้นมีการแสดงกายกรรม มาจากดินแดนตะวันตก ไม่เหมือนกับการแสดงของที่นี่ รีบลงมาเร็วเข้า!” สายตาของฟ่านเหยี่ยนเปล่งประกายระยิบระยับทันทีที่เห็นลู่จื่ออวิ๋น