สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 427 คดีกวาดล้างสังหารตระกูลโจว
บทที่ 427 คดีกวาดล้างสังหารตระกูลโจว
บทที่ 427 คดีกวาดล้างสังหารตระกูลโจว
จั่วอวิ๋นหู่ยังไปไม่ไกลนักตอนที่เซี่ยคุนและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาหาเขา
เซี่ยคุนเห็นจั่วอวิ๋นหู่จึงเรียกเขาให้หยุด
“สหายจั่ว ถอยกลับมาพูดคุยกันเสียก่อน”
จั่วอวิ๋นหู่เห็นบรรยากาศไม่ค่อยถูกต้องนัก เขาจึงสาวเท้าเข้ามาโดยเร็ว “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“คนจวนตระกูลโจวถูกฆ่าตายยกจวน” เซี่ยคุนเอ่ย “เจ้ารู้จักยอดฝีมือในยุทธภพผู้ใดที่เชี่ยวชาญเรื่องลูกดอกหรือไม่? วิธีการที่ใช้ฆ่าคนคือปาดคอด้วยกระบี่ สิ่งสำคัญคือรอยแผลบนคอของคนที่ถูกฆ่านั้นเป็นเพียงเส้นบาง ๆ เท่านั้น ฝีมือเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้”
“ยอดฝีมือ? ข้าไม่รู้จักยอดฝีมือเช่นนั้น” จั่วอวิ๋นหู่เอ่ย “ทว่าชายหนุ่มที่ข้าเพิ่งชนเมื่อครู่นี้ วิทยายุทธ์ที่เขาใช้หมดจดเป็นอย่างมาก ไม่เคยพบเขาในเมืองฮู่เป่ยมาก่อน”
“ไปที่ใดแล้ว?”
จั่วอวิ๋นหู่ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ขอบคุณ” เซี่ยคุนไล่ตามไปในทันที
จั่วอวิ๋นหู่เห็นเซี่ยคุนไล่ตามเขาไป ตนจึงตามไปเช่นกัน
เขาเป็นคนลุ่มหลงวรยุทธ์ เมื่อได้ยินว่ามียอดฝีมือ อีกทั้งยังเป็นมือสังหารฆ่าคนตาไม่กะพริบจึงอยากประชันฝีมือกับอีกฝ่าย
ต้าหนิวและเอ้อร์หนิวถามผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ทว่าไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงแม้แต่น้อย จวนตระกูลโจวมีคนมากมายถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังเป็นกลางวันแสก ๆ การฆ่าคนได้ในอึดใจเดียวต้องร้ายกาจเพียงใด?
ลู่อี้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง แต่กลับไม่พบสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
เขาเรียกนักการเกามาแล้วพาคนตรวจค้นทั่วทุกซอกทุกมุมของจวนตระกูลโจว ทว่ายังไม่พบร่องรอยใด ๆ
“ใต้เท้า นายท่านเซี่ยได้รับบาดเจ็บขอรับ” โหลวหานมาหาลู่อี้
“เขาตามไปถึงมือสังหารคนนั้นแล้วหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม
“ตามไปทันแล้วขอรับ เพียงแต่เขาหลบหนีไปได้อีกครั้งแล้ว” โหลวหานเอ่ย “คนผู้นั้นเก่งกาจในการใช้อาวุธลับ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการใช้ยาพิษ”
“ยาพิษ?” ลู่อี้เหลือบมองศพแวบหนึ่ง “ไม่แปลกใจว่าเหตุใดจึงมีกลิ่นจาง ๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ที่แท้อีกฝ่ายใช้ยานี่เอง คนมากมายเพียงนั้นถึงได้ไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย”
เซี่ยคุนกำลังทำแผลอยู่กับท่านหมอจู
เมื่อลู่อี้มาถึง ท่านหมอจูกำลังสั่งทังหยวนให้ต้มยาให้เขา แล้วแนะนำว่าระยะนี้อย่าเพิ่งสัมผัสน้ำ รอแผลตกสะเก็ดแล้วจึงจะอาบน้ำได้
“เจ้ามาพอดี” ท่านหมอจูเอ่ยกับลู่อี้ “เตือนเขาเสียดี ๆ อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะถูกแทงขั้วหัวใจแล้ว ถึงตอนนั้นแม้จะเป็นเทพเซียนก็ยื้อเขาไว้ไม่ได้ ถึงอยากจะจับผู้ร้าย แต่ไม่หวงแหนชีวิตตนเช่นนี้ไม่ได้ อย่าได้ลืมว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่เพียงลำพังแล้ว ไม่คิดถึงภรรยาหรืออย่างไร?”
“ช่างหุนหันพลันแล่นจริง ๆ” ลู่อี้เอ่ยกับเซี่ยคุน “พี่เซี่ย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านก็ควรถือความปลอดภัยของตนมาก่อน ภายหน้าท่านไม่อาจเสี่ยงชีวิตเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”
“ข้ารู้แล้ว” เซี่ยคุนเอ่ย “การต่อสู้ครั้งนี้ย่อมมีผลตอบแทนเช่นกัน”
“อย่างไร?”
“ระหว่างที่ต่อสู้กัน เสื้อผ้าของคนผู้นั้นถูกจั่วอวิ๋นหู่ฉีกออกมาชิ้นหนึ่ง ข้าเห็นแขนของเขา แขนของชายผู้นั้นมีลายเสือดาว ดวงตาของเสือดาวดวงนั้นสีแดง”
“เสือดาวเป็นสัตว์ประจำชาติอาณาจักรเหลียง” ท่านหมอจูที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ย “หรือว่าคนผู้นี้เกี่ยวข้องกับเหลียงกั๋ว?”
ลู่อี้เงียบไป
พ่อแม่ของเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไร้อำนาจไร้อิทธิพล ไม่ควรมีความเกี่ยวพันกว้างขวางเพียงนั้น
หลายปีมานี้โจวฟู่กุ้ยทำร้ายผู้คนมานับไม่ถ้วน บางทีอาจเป็นศัตรูของเขามาแก้แค้น
เพียงแต่นี่จะบังเอิญเกินไปหรือไม่?
ศัตรูประเภทใดกันถึงกับกล้าบุกรุกเข้าไปในคุกของศาลาว่าการ ลงมือฆ่าโจวฟู่กุ้ยตอนที่เขาจะสารภาพออกมา?
“ท่านเพิ่งเอ่ยว่าจั่วอวิ๋นหู่ลงมือหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม
“ใช่! เขายังตามไปอีกด้วย” เซี่ยคุนเอ่ย
“อย่างนี้จะอันตรายเกินไปหรือไม่? คนผู้นั้นฝีมือเยี่ยมยอดถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องพิษ ไม่ควรบุ่มบ่ามเช่นนั้น”
“ข้าพยายามโน้มน้าวเขาแล้ว แต่เปล่าประโยชน์ คนผู้นี้มุทะลุ ไล่ตามไปโดยไม่ฟังคำทัดทานของข้าแม้แต่น้อย” เซี่ยคุนเอ่ย “ทว่าจั่วอวิ๋นหู่อยู่รอดมาถึงวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะเขาขาดความรอบคอบ อย่าได้มองว่าเขาสูงใหญ่เทอะทะ วรยุทธ์เขากลับเป็นเลิศ ข้าคิดว่าเขาคงหลบหนีออกมาได้”
“นึกไม่ถึงว่าสหายเซี่ยจะเห็นความสามารถของข้าถึงเพียงนี้” จั่วอวิ๋นหู่สาวเท้าเข้ามา
“ดูสิ ไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ?” เซี่ยคุนมองจั่วอวิ๋นหู่แล้วเอ่ยกับลู่อี้ “หากสหายจั่วทำงานให้ใต้เท้าได้ ต้องการสิ่งใดเพียงแค่เอ่ยปาก”
“ซื้อตัวข้าหรือ? น่าเสียดายที่ข้าเป็นเพียงจอกแหน ไม่มีความสนใจอะไร” จั่วอวิ๋นหู่โยนป้ายสัญลักษณ์ให้ลู่อี้ “ข้าฉวยมาจากคนผู้นั้น ข้าเห็นคนผู้นั้นปกป้องมันยิ่งชีพ แม้กระทั่งได้รับบาดเจ็บเพราะข้าก็ยังต้องการเอามันกลับคืนไป แค่นี้ก็บอกได้ว่าของสิ่งนี้สำคัญเพียงใด”
ลู่อี้มองป้ายสัญลักษณ์นั้น
วัตถุเป็นสีดำ ด้านหลังมีคำว่า ‘เฮย*[1]’ อยู่หนึ่งคำ
ป้ายสัญลักษณ์นี้มีกลิ่นยาจาง ๆ ลอยออกมา คงเป็นสิ่งที่พกติดตัวของคนผู้นั้น เมื่อมองจากสีแล้ว ดูเหมือนจะถูกพกพามาเป็นระยะเวลานาน
“ขอบคุณ” ลู่อี้เอ่ยขึ้น
“ท่านเป็นขุนนางที่ดี ข้าช่วยท่านเพราะเรื่องนี้ ข้าไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับคนของศาลาว่าการอย่างพวกท่านหรอก” จั่วอวิ๋นหู่กล่าว
“สหายจั่วทำให้คนผู้นั้นบาดเจ็บได้ ระยะนี้ฝีมือเจ้าเพิ่มขึ้นมาก” เซี่ยคุนเอ่ย
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าทำให้แขนของเขาได้รับบาดเจ็บ ข้าก็คงไม่มีโอกาสนี้” จั่วอวิ๋นหู่กล่าว “ข้าไปล่ะ”
โศกนาฏกรรมของตระกูลโจว ท้ายที่สุดก็สิ้นสุดลงแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่อี้อับจนปัญญานับตั้งแต่เขามาเป็นขุนนาง
ชาวบ้านทั่วไปเห็นเรื่องที่เกิดกับตระกูลโจวก็รู้ว่านี่เป็นการกระทำของยอดฝีมือ ใต้เท้าลู่ตรวจสอบไม่พบก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้กลายมาเป็นความด่างพร้อยในเส้นทางขุนนางของลู่อี้
เทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว ลู่อี้เตรียมตัวเข้าเมืองหลวง
ท้องของมู่ซืออวี่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน บัดนี้ก็ใกล้จะห้าเดือนแล้ว
ลู่อี้แนบสัมผัสลงกับท้องของมู่ซืออวี่เพื่อคอยฟังเสียง
“สัมผัสได้หรือไม่?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“เมื่อครู่นี้ลูกขยับ” ลู่อี้ฟังความเคลื่อนไหวภายในท้อง
“ตอนนี้ยังเล็ก มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อยเป็นบางครั้งเท่านั้น รอโตขึ้นอีกหน่อยถึงจะสัมผัสได้ว่าลูกขยับ” มู่ซืออวี่เอ่ย “อย่างไรก็ตาม ท่านคงไม่เห็นช่วงเวลานั้นแล้ว”
“เจ้าไม่ไปเมืองหลวงกับข้าหรือ?” ลู่อี้ลุกขึ้นมองนาง
“ข้าอยากไปกับท่าน แต่ท่านก็เห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้ของข้านั้นจะติดตามไปคงไม่ได้แล้ว ท่านอาจูก็กล่าวแล้ว ตอนนี้ข้าต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อาจให้เกิดปัญหากับเด็กได้” มู่ซืออวี่กล่าว “ไม่ง่ายเลยกว่าลูกจะมาหาพวกเรา หากเราดูแลลูกไม่ดี ลูกจะไม่โกรธเอาหรือ? ทำได้เพียงให้ท่านไปเมืองหลวงก่อน หลังจากข้าคลอดลูกแล้ว รอลูกโตอีกหน่อย ข้าถึงจะไปสมทบกับท่าน”
ครุ่นคิดคำนวณเป็นพันเป็นหมื่น กลับคำนวณไม่ถึงเด็กน้อยคนนี้
นางไม่อยากแยกจากเขาเช่นกัน แต่ผู้ใดให้เจ้าตัวเล็กนี้ก่อความวุ่นวายเล่า นางกลายเป็นสตรีตั้งครรภ์ที่แสนบอบบางไปแล้ว
ลู่อี้ลังเลใจว่าจะจัดการอย่างไรให้เหมาะสมที่สุด
เขาไม่อยากแยกจากนางแม้แต่ลมหายใจเดียว แต่สภาพร่างกายของนางไม่เอื้ออำนวยจริง ๆ
จากที่นี่ไปยังเมืองหลวง ถึงแม้เดินทางอย่างราบรื่นก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองเดือน หากเกิดปัญหาใดขึ้นระหว่างทาง อันตรายย่อมเพิ่มมากขึ้น ผลที่ตามมาเกินกว่าจะคาดเดาได้
“เอาละ ท่านไปก่อนเถอะ ข้าจะตามไปทีหลัง” มู่ซืออวี่เห็นคิ้วของเขาพันกันยุ่งเหยิงจึงเอ่ยปลอบเขา
ไม่ว่าลู่อี้จะไม่เต็มใจเพียงใด เขาก็ต้องตัดสินใจ ทางศาลต้าหลี่ขาดเขาคนเดียวไม่เป็นไร แต่เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ไม่อาจเสียเวลาได้อีกแล้ว
“ศาลต้าหลี่เก็บบันทึกคดีไว้มากมาย” เซี่ยคุนเอ่ยกับลู่อี้ “บางทีเราอาจหาเบาะแสได้จากที่นั่น”
[1] เฮย แปลว่า สีดำ