สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 429 คลอดลูกสาวคนที่สอง
บทที่ 429 คลอดลูกสาวคนที่สอง
บทที่ 429 คลอดลูกสาวคนที่สอง
เสียงร้องไห้แผดลั่นฟ้า ตามมาด้วยเสียงยินดีจากทั่วทุกทิศทาง
“ฮูหยินคลอดแล้ว!”
“ฮูหยินคลอดแล้ว! รีบแจ้งทุกคน ฮูหยินคลอดแล้ว!”
“ฮูหยินลู่คลอดแล้ว!”
“คลอดได้เพศไหน?”
“ไม่รู้สิ ได้ยินข่าวมาจากจวน เพิ่งคลอดได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าได้เพศอะไร”
“รีบไปดูเร็วเข้า”
หน้าประตูมีชาวบ้านมากมายมารวมตัวกัน
พ่อบ้านทนการเร่งเร้าของทุกคนไม่ไหว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่าน ขอบคุณทุกท่านที่ห่วงใยฮูหยิน ฮูหยินเพิ่งคลอดคุณหนูรอง นามว่าจื่อชิง”
“จื่อชิง เป็นชื่อที่ดีจริง ๆ!” บัณฑิตผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ยินดีด้วย ๆ ไม่รู้ว่าฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ใช่แล้ว ฮูหยินไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” คนอื่น ๆ เอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
พ่อบ้านเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “วางใจเถิด มารดาบุตรล้วนปลอดภัย”
จื่อซูเดินออกมาจากข้างในแล้วแจ้งกับทุกคน “ทุกท่าน ฮูหยินฟื้นแล้ว นางกล่าวว่าอีกร้อยวัน พวกเราจะจัดงานเลี้ยงน้ำไหล*[1] ให้คุณหนูรอง ถึงตอนนั้นขอเชิญทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยง”
“งานเลี้ยงน้ำไหล! ฮูหยินใจกว้างจริง ๆ”
“เสียดายที่ใต้เท้าลู่ไม่อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นคงครึกครื้นรื่นเริงเป็นอย่างยิ่งแล้ว”
“ตอนนี้ใต้เท้าลู่เป็นขุนนางขั้นสูงในเมืองหลวงแล้ว เด็กคนนี้นับว่าโชคดี นางเป็นบุตรสาวของขุนนางในเมืองหลวง ดูจากความสามารถของใต้เท้าลู่แล้ว ภายหน้าจะต้องค่อย ๆ เลื่อนขั้นขึ้นเป็นแน่”
จื่อซูเล่าความครึกครื้นด้านนอกให้มู่ซืออวี่ฟัง
มู่ซืออวี่เพิ่งคลอดลูก อีกทั้งยังเป็นเวลาที่นางอ่อนแอที่สุด นางจึงนอนอยู่ตรงนั้น มองดูทารกน้อยที่อยู่ในเปล เอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋นและลู่ฉาวอวี่ว่า “ชอบน้องสาวหรือไม่?”
“ท่านแม่คลอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นน้องชายหรือน้องสาวล้วนน่ารักทั้งสิ้น” ลู่จื่ออวิ๋นป้อนคำหวานแล้วหันไปเอ่ยกับลู่ฉาวอวี่ “ท่านพี่ เชื่อข้าหรือยัง? ข้าพูดถูกแล้ว”
“ใช่แล้ว” ลู่ฉาวอวี่มองนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าดูแลน้องสาวกับท่านแม่ ข้าจะไปเขียนจดหมายให้ท่านพ่อ”
“ใช่แล้ว ควรแจ้งข่าวดีนี้กับท่านพ่อ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย
หมอตำแยได้รับเงินอั่งเปาแล้ว นางบอกทุกคนว่าคุณหนูรองลู่น่ารักน่าชังเพียงใด ชาวบ้านล้วนอยากเห็นมาก คุณหนูใหญ่หน้าตางดงามเพียงนี้ คุณหนูรองจะยิ่งหน้าตาดีเพียงใด
มู่ซืออวี่ไม่อาจพบแขกได้ ยกเว้นแขกที่เป็นสตรีเช่นเจิ้งซูอวี้ ส่วนแขกคนอื่น ๆ ล้วนเป็นท่านหมอจูและถงซื่อคอยต้อนรับ
คนในหมู่บ้านเดียวกันต่างมาเยี่ยมไม่น้อย ทว่าไม่มีผู้ใดมามือเปล่า ถึงแม้จะไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร ทว่าล้วนเป็นน้ำใจของทุกคน ทำให้มู่ซืออวี่รู้สึกซาบซึ้งใจ
พ่อบ้านบอกว่าระยะนี้มักมีคนเอาของขวัญมาวางไว้ที่หน้าประตู
คนเหล่านั้นไม่ได้เปิดเผยตัวตน นำไข่หรือไก่จากบ้านของตนมาวางเอาไว้ ถึงแม้ไม่ดีพอให้กล่าวถึง ทว่ากลับทำให้มู่ซืออวี่รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ
การอยู่เดือนในยุคนี้ใช้เวลาเพียงสามสิบวัน ทว่ามู่ซืออวี่ยังคงอยู่เดือนเป็นเวลาสี่สิบวัน บางทีอาจเป็นเพราะนี่เป็นขนบธรรมเนียมของ ‘บ้านเกิด’ ที่นางทิ้งไว้ข้างหลัง จนกระทั่งตอนนี้ นางยังคงจดจำพื้นเพของตนเองได้
หนึ่งเดือนต่อมา เจิ้งซูอวี้ตระเตรียมงานเลี้ยงน้ำไหลแทนมู่ซืออวี่
พ่อครัวที่รับหน้าที่ในงานเลี้ยงเป็นพ่อครัวของภัตตาคารขนาดใหญ่ในเมือง
ในหนึ่งวันนี้ ภัตตาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองฮู่เป่ยถูกมู่ซืออวี่จองไว้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เอ่ยว่า ‘ยินดีที่ฮูหยินลู่ได้ลูกสาว’ ย่อมสามารถรับประทานอาหารโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
งานเลี้ยงน้ำไหลถูกจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันติตต่อกัน ถึงแม้จะเป็นขอทาน ก็ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
ทว่าเมืองฮู่เป่ยมีขอทานหรือ?
ยามนี้ในเมืองฮู่เป่ยไม่มีขอทานสักคน
ไม่ว่าชาวบ้านจะยากจนข้นแค้นเพียงใด ตราบใดที่ยังมีมือมีเท้า พวกเขาก็ทำงานเลี้ยงปากท้องได้ตามความสามารถของตน
“ดูเสี่ยวชิงเอ๋อร์ของพวกเราสิ หน้าตาน่ารักน่าชังจริง ๆ เหมือนพี่สาวไม่ผิดเพี้ยน” ถงซื่อมองลู่จื่อชิงอย่างรักใคร่เอ็นดู
“ท่านแม่ หากท่านยังเป็นอย่างนี้ ผิงอันจะอิจฉาแล้วนะ” มู่ซืออวี่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
จูเฉินนอนลงตรงหน้าเปล มองลู่จื่อชิงที่กำลังกลอกตาไปมา แล้วเปิดปากเรียก “ชิงชิง ชิงชิง…”
“ผู้ใดก็คงนึกไม่ถึงว่าคนแรกที่เสี่ยวผิงอันร้องเรียกจะไม่ใช่ทั้งพ่อ ไม่ใช่ทั้งแม่ แต่เป็นชิงชิง” เจิ้งซูอวี้เอ่ย
“กล่าวได้ว่าพวกเขามีวาสนาต่อกัน!” ถงซื่อเอ่ย “นอกจากนี้แล้ว เด็กน่ารักเช่นนี้ผู้ใดจะไม่ชมชอบ?”
“ข้าไม่ได้ออกไปข้างนอกเป็นเดือนแล้ว กิจการไม่มีปัญหากระมัง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามเจิ้งซูอวี้
“จะมีปัญหาอะไรได้ ท่านไม่เชื่อใจข้าหรือ”
“ข้าได้ยินมาว่าคุณชายฉินจะแต่งงานแล้ว ส่วนที่เขารับผิดชอบส่งต่อให้อีกคนแล้ว” มู่ซืออวี่มองอีกฝ่าย “ข้ายังคิดว่าท่านสนใจเขาเสียอีก! หรือว่าเป็นข้าที่คิดมากไป”
“เดิมทีก็เป็นท่านที่คิดมากไป” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “พวกเราและตระกูลฉินเพียงร่วมมือทางการค้ากัน ขอแค่เพียงยังติดต่อค้าขายกัน ผู้ใดรับผิดชอบติดต่อกับข้าล้วนไม่สำคัญ”
“เช่นนั้นก็ดี”
“ตอนนี้ลูกก็คลอดแล้ว ท่านคิดจะไปเมืองหลวงเมื่อใด?”
“หรือท่านคิดจะไล่ข้าไปเสียแล้ว?”
“ข้าหวังเหลือเกินว่าท่านจะอยู่ที่นี่กับข้า เพียงแต่หากท่านแยกจากสามีของท่านนานเกินไป มีคนฉกไปจะทำอย่างไร? สามีท่านเป็นเผือกหวาน คนมากมายล้วนจับจ้องเขา”
“หัวใจของบุรุษไม่อาจควบคุมได้ หากหัวใจของเขาไม่อยู่กับข้า ถึงแม้ข้าจะคอยจับตาดูเขาทุกวัน อย่างไรเขาก็ยังคงหาทางไปอยู่ดี หากเขามีข้าอยู่ในใจก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเฝ้า เขาจะควบคุมตัวเอง ตอนนี้ข้ายังไม่รีบร้อน อย่างไรเสียชิงเอ๋อร์ก็ยังเล็กนัก อย่างน้อยรอให้นางได้หนึ่งขวบปีค่อยไป จะได้ไม่ต้องเผชิญสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงได้ยากระหว่างทาง”
“ฮูหยิน…” ฉานอีเดินเข้ามา “ใต้เท้าเวินมาเจ้าค่ะ”
“เชิญเขาไปห้องตำรา” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปพบเขา”
เจิ้งซูอวี้มองมู่ซืออวี่ “ใต้เท้าลู่ไม่อยู่ เขายังเกรงอกเกรงใจท่านเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสายตาของใต้เท้าลู่ไม่เลวจริง ๆ”
“สามีข้าเป็นคนถี่ถ้วน อีกทั้งพูดคุยด้วยยาก หากได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเขา เขาก็จะปฏิบัติด้วยดั่งพี่น้อง แน่นอนว่าใต้เท้าเวินผู้นี้ไม่เลวจริง ๆ”
ในห้องตำรา เวินเหวินซงเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวายใจ
เมื่อมู่ซืออวี่เข้ามาเห็นสีหน้าร้อนอกร้อนใจของเขา ก็รู้ทันทีว่าเขาพบเจอปัญหาเข้าแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา
“ใต้เท้าเวิน มีอะไรหรือ?”
“พี่สะใภ้” เวินเหวินซงประกบมือคำนับ “ตอนที่ใต้เท้าอยู่ที่นี่ เขามีเรื่องอะไรก็จะปรึกษาและขอความเห็นจากท่าน ข้าไม่มีวิธีแล้ว อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดให้ปรึกษา ข้าจึงอยากขอความเห็นจากพี่สะใภ้สักเรื่อง”
“ไม่ต้องรีบร้อน ค่อย ๆ กล่าว”
“เจียงเก๋อเหล่าเคยขอเหมืองแห่งหนึ่งจากใต้เท้าฉินมาก่อน พี่สะใภ้ทราบหรือไม่?”
“ทราบ”
“ต่อมาภายหลังเหมืองแห่งนั้นไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับเมืองฮู่เป่ยเรา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจียงเก๋อเหล่าจะคอยกอบโกยจากเหมืองแห่งนั้น ทว่าเมื่อวานนี้เหมืองแห่งนั้นถล่มลงมาแล้ว อีกทั้งยังมีคนงานเหมืองติดอยู่ด้านใน ได้ยินว่ามีคนไม่น้อยกว่าร้อยคน หนึ่งร้อยคนนั้นล้วนแต่เป็นชาวเมืองฮู่เป่ยเรา ยังมีคนอีกมากรอคอยพวกเขากลับบ้าน เวลานี้…”
“นี่เป็นเรื่องใหญ่” มู่ซืออวี่เอ่ย “ทางเจียงเหล่าไม่จัดการอะไรเลยหรือ?”
“จัดการหรือ? เขาตรงดิ่งกลับเมืองหลวงแล้ว ปล่อยความยุ่งเหยิงทิ้งไว้ที่นี่ นี่นับว่าเป็นการจัดการหรือ?”
“เขาไปแล้วรึ?”
“ไม่ผิด เดิมทีข้าคิดจะไปหาเขา ทว่าคนในเรือนบอกว่าเจียงเหล่ากลับไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวงแล้ว”
“เขาไปแล้ว ความวุ่นวายนี้ก็กลายเป็นความรับผิดชอบของเจ้าจริง ๆ คนนับร้อยคน ล้วนแต่เป็นชีวิตทั้งสิ้น ป่านนี้ชาวบ้านไม่ตามหาเจ้าสุดชีวิตแล้วหรือ?”
[1] งานเลี้ยงน้ำไหล เป็นงานเลี้ยงที่จะเสิร์ฟอาหารให้แขกที่มาถึงอยู่เรื่อย ๆ ชื่อนี้มีที่มาจากการที่แม่ครัววางอาหารในถาดไม้ แล้วลอยไปตามน้ำเพื่อให้แขกที่แวะเวียนมาได้ทานอย่างสะดวก