สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 430 ความวุ่นวายที่ทิ้งไว้ข้างหลัง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 430 ความวุ่นวายที่ทิ้งไว้ข้างหลัง
บทที่ 430 ความวุ่นวายที่ทิ้งไว้ข้างหลัง
บทที่ 430 ความวุ่นวายที่ทิ้งไว้ข้างหลัง
เวินเหวินซงรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมา
เมื่อก่อนเรื่องที่เกี่ยวกับเจียงเหล่า ลู่อี้เป็นคนจัดการด้วยตนเองเสมอ ไม่ต้องให้เขาเป็นห่วง บัดนี้พระพุทธรูปองค์ใหญ่ท่านนั้นจากไปแล้ว ก่อนจะจากไปกลับทิ้งความวินาศสันตะโรนี้ไว้ให้เขา ช่างน่าโมโหจริง ๆ เลย
“ใต้เท้าเวิน ท่านส่งคนไปตรวจสอบสถานที่ ดูว่ามีผู้เหลือรอดชีวิตแล้วหรือยัง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“แน่นอน ทันทีที่ข้าได้ยินข่าวก็สั่งให้ต้าหนิวและเอ้อร์หนิวนำคนไปแล้ว”
“เหมืองเป็นของราชสำนัก ไม่อาจครอบครองโดยส่วนตน ท่านรายงานเรื่องนี้ไปแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย แจ้งว่าภูมิประเทศอยู่ห่างไกล ไม่อาจเป็นที่พักอาศัย จึงมีคนลอบขุดเหมือง ในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ท่านพักเรื่องตนเองไว้ก่อน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการช่วยคน ช่วยได้คนเดียวก็ช่วยคนเดียว ส่วนผู้ที่ล้มตาย ไม่มีวิธีอื่นนอกจากชดเชยให้แล้ว”
“หากข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เช่นนั้นจะเป็นการดึงใต้เท้าฉินและใต้เท้าลู่เข้ามาพัวพันหรือไม่?” เวินเหวินซงเอ่ย “หากต้องมีผู้ใดสักคนแบกรับโทษไว้ เช่นนั้นข้าเลือกตนเอง”
ทั้งใต้เท้าฉินและลู่อี้ล้วนแต่เป็น ‘โป๋เล่อ'[1] และ ‘พี่น้อง’ คนสำคัญสำหรับเวินเหวินซง เขาไม่อยากทำร้ายผู้ใดทั้งสิ้น
เหตุการณ์เรื่องเหมืองเกิดขึ้นเมื่อใต้เท้าฉินยังรับตำแหน่งอยู่ที่นี่ ในตอนนั้นลู่อี้ก็มีส่วนช่วยในการแนะนำ เมื่อเหตุการณ์นี้ปะทุออกมา พวกเขาทั้งสองคนย่อมถูกดึงเข้ามาพัวพันได้อย่างง่ายดาย
“ใต้เท้าข้าหลวงคนปัจจุบันเป็นสหายร่วมเรียนของใต้เท้าฉิน หรือกล่าวได้ว่า หากเรื่องนี้ไปถึงหูเขา เขายังหาทางจัดการได้ นอกจากนี้เรื่องเหมืองอาจจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ได้ ใต้เท้าข้าหลวงไม่อาจจัดการเรื่องนี้เพียงลำพัง ถึงตอนนั้นจะต้องรายงานเบื้องบนเป็นแน่ เหตุการณ์ครั้งนี้เดิมทีเป็นหายนะที่เจียงเหล่าทิ้งไว้ เขาย่อมไม่กล้าให้เรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป”
“ท่านพูดถูก เจียงเก๋อเหล่าไม่กล้าให้คนรู้เป็นแน่ว่าเขาขุดเหมือง ถึงแม้เขาจะมีอำนาจมหาศาลเพียงใด อย่างไรก็ยังเป็นเรื่องต้องห้าม อีกทั้งคนเบื้องบนผู้นั้นขี้ระแวงถึงที่สุด เขาจะต้องหาวิธียับยั้งไว้เป็นแน่”
“ไม่ผิด”
“ข้าช่างตีตนไปก่อนไข้จริง ๆ”
“ท่านไม่ได้ตีตนไปก่อนไข้ เพราะเหตุการณ์เกี่ยวพันถึงชีวิตของราษฎร อีกทั้งยังอาจดึงใต้เท้าฉินและสามีข้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ท่านตื่นตระหนก อาจสับสนไปชั่วขณะ”
“สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือชาวบ้าน”
“ไม่ผิด” มู่ซืออวี่เอ่ย “การขุดเหมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษร้ายแรง ชาวบ้านเหล่านี้อยากเตือนตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว ทว่าพวกเขาไม่กล้าเอ่ยปากออกมา ท่านเพียงแค่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำใจให้สงบลง จากนั้นพยายามลดทอนความร้ายแรงให้ได้มากที่สุด”
เวินเหวินซงเร่งร้อนจากไป
มู่ซืออวี่ส่งคนไปสอบถาม จากนั้นจึงรู้ว่าคนเหล่านั้นได้รับการช่วยเหลือออกมาได้แล้ว ทว่าเนื่องจากพบล่าช้าเกินไป ยังคงมีถึงห้าชีวิตล้มตาย บาดเจ็บสาหัสอีกนับสิบคน ส่วนคนอื่น ๆ ที่ได้รับการช่วยเหลือมีเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น
เป็นดังที่มู่ซืออวี่คาด ครอบครัวของคนขุดเหมืองรู้ว่ากำลังทำสิ่งใด และรู้ว่าพวกเขาคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้จึงไม่กล้าสร้างปัญหาใด
เวินเหวินซงก้าวออกมา ร้องขอเงินจำนวนมากจากคนสนิทของเจียงเหล่าที่รั้งอยู่ที่เรือนย่อย เรื่องนี้จึงแดงออกมา ไม่อาจปิดบังเรื่องขุดเหมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตได้แล้ว เวินเหวินซงทำได้เพียงเขียนหนังสือส่งให้เบื้องบน ส่วนเรื่องน่าปวดหัวที่เหลือนั้นเป็นหน้าที่ของข้าหลวงจางแล้ว
ณ เมืองหลวง
ลู่อี้เพิ่งกลับถึงจวนก็ได้รับจดหมายทันที
เมื่อเขาอ่านจดหมายฉบับแรก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่ออ่านจดหมายฉบับที่สอง รอยยิ้มบนหน้าเขากลับเลือนหายไปแล้ว
จดหมายฉบับแรกเป็นลู่ฉาวอวี่ที่เขียนมา ในจดหมายเขียนว่ามู่ซืออวี่คลอดลูกสาวแล้ว ชื่อลู่จื่อชิง
ในหัวเขาเต็มไปด้วยภาพภรรยาและบุตร
ทว่าหัวใจกลับวูบโหวง
เมื่อไหร่ลูกเมียถึงจะได้มาเมืองหลวง?
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย
หากรู้อย่างนี้ เขาไม่ควรได้เลื่อนขั้นเร็วเช่นนี้
จดหมายฉบับที่สองเวินเหวินซงเขียนมา กล่าวถึงเรื่องเหมืองและเจียงเก๋อเหล่า เนื่องจากจดหมายฉบับนี้ถูกส่งไปยังศาลาพักม้าและได้รับการส่งอย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงมาถึงพร้อมกับจดหมายของลู่ฉาวอวี่
“เชิญนายท่านเซี่ยมาห้องตำรา” ลู่อี้เอ่ยกับลูกน้อง
“ขอรับ”
เซี่ยคุนรุดมาห้องตำราทันที “มีเรื่องอันใด?”
“อ่านนี่…” ลู่อี้ส่งจดหมายของเวินเหวินซงให้
เซี่ยคุนกวาดตาอ่านมัน
“ตอนนั้นก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นความยุ่งเหยิง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องสร้างปัญหาให้ท่าน เป็นดังคาด ปัญหามาแล้ว”
“ตอนนั้นพวกเราไม่มีทางเลือกอื่น” ลู่อี้เอ่ย “ตอนนี้… ท่านนำมันไปให้จงอ๋อง”
“นายท่านคิดจะหยิบยืมมือจงอ๋องต่อกรกับเจียงเก๋อเหล่าหรือ?”
“ไม่นานเจียงเก๋อเหล่าก็จะกลับมาเมืองหลวงแล้ว ก่อนที่เขาจะกลับมาถึงเมืองหลวง ส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้เขาเสียก่อน ‘การดูแล’ จากเขาตอนอยู่เมืองฮู่เป่ยจะได้ไม่สูญเปล่า” ลู่อี้เอ่ย
“ท่านนี่ช่างเป็นคนจิตใจคับแคบเสียนี่กระไร” เซี่ยคุนเอ่ยขณะที่ถือจดหมายนั้นเอาไว้ “ทว่าข้าชอบท่าทีใจแคบเช่นนี้ของท่าน”
“นี่เป็นฟางเส้นสุดท้าย ทันทีที่เขากลับมา เขาจะต้องหาทางหลอกล่อเราให้เข้ากับฝ่ายเขา เขาเป็นคนขององค์ชายรอง ข้ายังไม่อยากเข้าไปพัวพัน ให้เขายั้งมือไว้จะดีที่สุด”
จงอ๋องเป็นคมดาบที่ดี
ฮ่องเต้เรียกลู่อี้เข้ามาในเมืองหลวงก็เพื่อใช้เป็นดาบกำจัดหนามที่ทิ่มแทงเขา ลู่อี้ย่อมใช้ดาบเล่มนี้ควบคุมคนที่ก่อปัญหาให้เขาได้เช่นกัน
“ได้”
“รีบไปรีบมา” ลู่อี้เอ่ย “ฮูหยินคลอดลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อจื่อชิง รอท่านกลับมาแล้วพวกเราไปร่ำสุรากับน้องเซวียน วันนี้ไม่เมาไม่เลิกรา”
“มีลูกสาวอีกคนแล้วรึ!” สายตาของเซี่ยคุนเต็มไปด้วยความอิจฉา “ลูกสาวดียิ่ง เหมือนกับอวิ๋นเอ๋อร์”
“ตอนที่ท่านเพิ่งมาอยู่ในครอบครัวเรา ท่านใจดีกับอวิ๋นเอ๋อร์มาก แต่เมินเฉยต่อคนอื่น ๆ ท่านชอบลูกสาวหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม
“เรื่องนานนมเพียงนั้นท่านยังจดจำได้ หาได้ยากจริง ๆ” เซี่ยคุนเอ่ย “พี่ใหญ่ของข้าครั้งหนึ่งเคยมีลูกสาว นางชอบเกาะติดข้าเป็นอย่างมาก ทั้งยังสนิทสนมกับข้ามากกว่าบิดาของนางเสียอีก”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ แววตาของเซี่ยคุนเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและความโกรธแค้น
“ใต้เท้าลู่ ยังจดจำข้อตกลงของเราได้หรือไม่?”
“แน่นอน” ลู่อี้พยักหน้า “สิ่งที่ข้าเคยรับปากท่านไว้ ข้าย่อมไม่ลืม”
“เช่นนั้นก็ดี ตระกูลเซี่ยของข้ามีชีวิตนับร้อย ข้ารอใต้เท้าลู่มาช่วยทวงคืนความเป็นธรรมให้” เซี่ยคุนกล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไป
เมื่อลู่เซวียนรู้ข่าวว่ามู่ซืออวี่คลอดลูกสาวออกมาคนหนึ่ง เขาก็ดื่มสุราลงไปหนึ่งไหด้วยความปลาบปลื้มใจ
บุรุษสามคนเมามายอยู่ในเรือนของลู่เซวียน ทว่าโชคไม่ดีที่คนคอยดูแลพวกเขาไม่อยู่ในเมืองหลวง จึงรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย
วันต่อมาเป็นวันพักผ่อนของลู่เซวียน เขาจึงพาผู้ติดตามไปซื้อของที่ร้านเครื่องประดับ
“นายท่าน อยากซื้ออะไรหรือ?”
“ข้าอยากซื้อสร้อยอายุยืนให้หลานสาวข้า” ลู่เซวียนเอ่ย “มีอะไรสวย ๆ หรือไม่?”
“รอครู่เดียวขอรับ” ผู้จัดการร้านรีบให้คนงานในร้านไปนำสินค้าใหม่ออกมาจากด้านหลังทันที
“ผู้จัดการ ข้ามารับเครื่องประดับที่ข้าสั่งไว้ครั้งก่อน” เสียงใสกังวานดังขึ้น
“คุณหนูฉู่ ท่านมาแล้ว” ผู้จัดการร้านจดจำฉู่หนิงจูที่เดินนำมาได้ทันที
ฉู่หนิงจูส่งยิ้มให้ผู้จัดการร้าน “ข้ายังอยากซื้อของอีกหน่อย มีสินค้าใหม่หรือไม่?”
“มีขอรับ เก็บไว้ให้คุณหนูฉู่แล้ว” ผู้จัดการร้านนำเครื่องประดับออกมาด้วยอย่างมีไหวพริบ “ดูสิขอรับ ของเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของใหม่ เก็บไว้ให้คุณหนูฉู่เป็นพิเศษเลยนะขอรับ”
ลู่เซวียนหันกลับไปเห็นเครื่องประดับผมชิ้นหนึ่ง เขาคิดว่ามันสวยไม่น้อย จึงอยากจะซื้อไปเป็นของขวัญให้พี่สะใภ้ อย่างไรเสียพี่สะใภ้ก็คลอดลูกออกมาอย่างยากลำบาก
“ผู้จัดการ ข้าต้องการชิ้นนั้น”
[1] โป๋เล่อ เป็นผู้ที่คัดสรรม้าศึกในสมัยโบราณ ใช้เรียกบุคคลที่สามารถคัดเลือกคนเก่งหรือคนดีได้